เวลานั้น....ใกล้มาถึง

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เกิดขึ้นกับ คนใกล้ตัว อาจจะไม่ใช่คนใกล้ชิดที่ได้เจอหน้ากันทุกวัน แต่ผมกับ พี่ คนนี้ก็ร็จักกันมาเป้นเวลานาน เราคุ้นเคยกัน พูดคุยกันอยู่เสมอๆในทุกๆเรื่อง เรารู้จักกันโดยบังเอิญผ่านคนหลายๆคน ได้มีโอกาสร่วมงานกันบ้างเมื่อก่อน เป็นงานเกี่ยวกับดนตรี เนื่องจากเราเล่นดนตรีเหมือนๆกันทำให้เราคุยกันถูกคอเป็นอย่างมาก เมื่อเราเริ่มสนิทกันมากขึ้นผมก็ไปมาหาสู่พี่เขาอยู๋บ่อยๆ และที่ที่หนึ่งที่ผมชอบไปก็คือ ที่ทำงานของพี่เขา พี่เขาเป็นสมาชิกของสตูดิโอเล็กๆที่หนึ่ง ไม่ใช่แถว ม. นะครับ เป็นสิ่งที่ทำร่วมกันในหมู่เพื่อน ที่ผมชอบไปหาพี่เขา เพราะชอบไปถามไปดูพี่เขาเวลาเล่นดนตรี บ่อยครั้งที่มีนักดนตรีเก่งๆมาอัดเสียง ผมจึงมีความชอบในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

               ผมมักจะไปขลุกอยู่กับพี่เขาที่นั่นจนดึกดื่นทุกวัน เพราะที่นั่นก็ไม่ได้ไกลจากบ้านผมมากมายนัก อีกอย่างตอนนั้นผมก็มีที่เรียนแล้ว แม่เลยไม่ค่อยว่าอะไรเท่าไหร่ถ้าผมจะกลับดึกบ้าง หรือไปค้างที่ไหนบ้าง แต่สิ่งที่ผมรู้สึกแปลกๆก็คือ ทุกครั้งเวลาที่ผมไปนั่งอยู่ที่นั่นผมจะรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่ง สายตาที่จับจ้องผมอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ผมรู้สึกขนลุกพอสมควร และอีกนัยย์หนึ่งผมรู้สึกได้ถึง ความหวาดระแวง ในอะไรบางอย่าง ผมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่ได้ติดใจจะถามถึง หรือหาที่มาที่ไป เพราะผมก็ไม่รู้ว่า พี่เขา เชื่อเรื่องพวกนี้หรือเปล่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะพูดเรื่องพวกนี้ออกไป

                ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผมไปยังที่ทำงานนี้ ผมจะรู้สึกถึงสายตาคู่นี้เสมอ แม้แต่ในเวลากลางวัน แม้กระทั่งตอนที่มีคนมาอัดเสียง มีเสียงดนตรีดังอึกกะทึกครึกโครม ผู้คนวุ่นวาย ก็ไม่ได้ทำให้สายตาคู่นี้หายไป ใจหนึ่งผมคิดว่าอาจจะเป็น เจ้าที่ หรืออีกทีหนึ่งอาจจะเป็น ใครบางคน ที่เสียชีวิตที่นี่หรือเปล่า เพราะตึกนี้ก็เป็นตึกเก่าหลายสิบปีตั้งแต่สมัยผมยังไม่เกิด แต่พวกพี่ๆเขามาเช่าต่อ ถึงผมจะบอกว่าผมไม่ได้ติดใจอะไร แต่ก็ปฏิเสธิไม่ได้เลยว่า มันก็ค้างคาใจพอสมควร

                 ในวันหนึ่งผมไปนอนค้างที่ทำงาน เพราะวันนั้นแม่ไม่อยู๋บ้านไปประชุมงานที่ กทม. ผมก็เลยหอบข้าวของมาที่นี่ตั้งแต่สายๆ ขลุกตัวอยู่ที่นี่ทั้งวัน ได้พบเจอลูกค้าหลายๆคนก็ได้เพื่อนใหม่ ได้ความรู้ทางดนตรี ช่วยงานพี่เขาเล็กๆน้อยๆ จนเวลาประมาณใกล้ๆเที่ยงคืน ลูกค้าที่มาเหมาคิววันนี้ก็ยังอัดเพลงไม่เสร็จ ทำให้ทุกคนตกลงกันว่า ถ้าอยู๋ต่ออย่างนี้คงหมดแรงหลับกันหมด ไปหาอะไรมากินกันดีกว่าจะได้โต้รุ่งได้สบายๆ ผลสรุปก็คือ เราตกลงกันว่าจะตั้งวงเหล้าที่นี่เลย ตามประสาคนดนตรีนะครับ มักจะขาดอะไรพวกนี้ไม่ค่อยได้ โดยคนที่อาสาไปซื้อก็คือ พี่คนที่สนิทกับผมคนนี้ เพราะพี่เขาจะไปธุระด้วยนิดหน่อย ในสตูตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับวงของลูกค้าแล้วก็พี่ที่เป็นเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง

                   เมื่อได้ยินเสียงสตาร์ทรถออกไปจากที่สตู สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดใจอย่างหนึ่งก็คือ ผมไม่ร็สึกถึง สายตาคู่นั้น อีกแล้ว ผมไม่รู้สึกว่ามีใครจ้องผมอยู่ ผมพยายามมองหา เดินหา ควานหา ก็ไม่พบใครในตึกนี้เลย ไม่มีแม้แต่เจ้าที่เจ้าทาง มีก็เพียงแต่พุทธรูปที่ตั้งไว้หน้าโต๊ะทำงาน ผมก็ งงๆ เล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ ผ่านไปประมาณ ครึ่ง ชม. พี่เขาก็กลับมาพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง พี่เขาโทรมาเรียกให้ผมลงไปช่วยถือ พอผมเปิดประตูตึกให้พี่เขา ผมก็เย็นสันหลังวาบ รู้สึกเหมือนมี ใคร เดินสวนเข้ามา แล้วสายตาที่คอยจับจ้องผม ก็กลับมาอีกครั้ง

                    ความสงสัยเกิดขึ้นมากมายในหัวผม ซึ่งผมก็คิดว่า สายตาคู่นั้นคงไม่ใช่เจ้าทีเจ้าทางแน่ๆ และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่ วิญญาณติดที่ แน่นอน เขาไม่ได้ตามผมด้วย แต่เขาอาจจะกำลังตามพี่คนนั้นอยู่ แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบใดๆกลับมา พี่เขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย จนวันนึงเราก้คุยกันไปเรื่อยเปื่อย จนคุยกันไปถึงว่าพี่เขาเป้นคนที่ไหนยังไง ก็ได้ความว่าพี่เขาเป็นคน เหนือ คุยไปคุยมาพี่เขาก็ถามผมมาตรงๆเลยว่า ผมมีอะไรรึเปล่า ผมงงกับคำถามนั้นจนผมต้องทวนคำถามนั้นกลับไป พี่เขาก็บอกว่า พี่เขาก็เคยเรียนดนตรีมา ผ่านการครอบครู พิธีต่างๆทางนาฏศิลป์มาบ้าง ทำให้พี่เขา พอจะรับรู้ได้บ้าง แล้วพี่เขาก็จับความรู้สึกบางอย่างได้เวลาอยู่ใกล้ๆผม แต่ก็ไม่ชัดเจนนัก ผมก็เปิดใจคุยกันตรงๆ เพราะสนิมกันอยู๋แล้ว


                พี่เขาดูไม่ตกใจเท่าไหร่ เพราะจากการได้พูดคุยกันก็ได้รู้ว่า พี่เขาเป็นคนที่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู๋แล้ว เชื่อมากด้วย เพราะทางบ้านของพี่แกมี พิธีไหว้ผีอยู่ โดยเรียกกันว่าเป็น ผีปู่ย่า โดยในทุกๆปีจะมีวันวันหนึ่ง ที่ทุกบ้านจะต้องไปรวมกันที่ บ้านใหญ่ เพื่อไปงานนี้ โดยในงานก็จะมีการกราบไหว้ตามพิธี เอาข้าวของไปร่วมงาน ทั้งบายศรี อาหารความหวาน ผลไม้ โดยทั้งหมดนั้นจะเป็น ลูกหลาน แล้วก็จะมีญาติผู้ใหญ่คนนึงเป็น ร่าง ให้ เหมือนเป็นการทรงผี ให้มาคุยกับลูกหลาน โดยร่างนี้ผีปู่ย่าจะเลือกของเขาเอง แล้วก็เป็นเรื่องยากมากที่จะเปลี่ยนร่าง นอกจากนี้เขาก็มีพิธีรีตอง กฎระเบียบอะไรต่างๆอีกพอสมควร แล้วก็จะมีการให้ลูกๆหลานๆมาขอพร ให้มาแจ้งว่า ตอนนี้ทำงานอยู๋ที่ไหน เรียนอยู่ที่ไหน โดยต้องบอกอย่างละเอียด เพราะเป็นความเชื่อว่า ท่านจะตามไปดูแลลูกหลานได้ถูกที่

            ผมนั่งฟังอย่างเงียบๆ เป็นความรู้ใหม่ เพราะเรื่องนี้เขาก็ไม่ค่อยจะบอกใครกัน เราคุยกันอย่างถูกคอ หลังจากนั้นเวลาผมไปที่สตูเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาก็ไม่รุ้สึกกลัวหรืออะไรมากนัก เพราะผมคิดว่าก็อาจจะเป็น ผีปู่ย่ามาดูแลพี่เขา แต่รับรู้ถึงอะไรบางอย่างในตัวผมได้ เลยร็สึกระแวง เพราะทางผมกับทางเขาก็ไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไหร่ แต่เราก็ไม่ล้ำเส้นของกันและกัน เวลาผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเรื่องอะไรผิดปกติ จนวันนึงที่ผมเข้าไปหาพี่เขาช่วงบ่ายๆหลังจากเลิกเรียน เมื่อเข้าไปก็เห็นพี่เขานั่งตัดต่อเพลงที่ลูกค้ามาอัดไว้ ผมเดินเข้าไปทักทายพี่เขาตามปกติ
‘พี่ ทำไร เพลงใกล้เสร็จยังอยากฟัง’ ผมเดินเข้าไปพร้อมกับวางของกินลงใกล้ๆโต๊ะ
‘อืม ใกล้แล้ว’ พี่เขาตอบผมเสียงเนือยๆ ผิดวิสัยเพราะปกติพี่เขาเป้นคนร่าเริงมาก
‘เป็นไรป่าวพี่’ ผมถามด้วยความสงงสัย
‘เหมือนจะไม่สบายมั้ง ช่วงนี้นอนน้อย’ พี่เขาตอบพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
‘พักหน่อยไหมพี่ ค่อยทำต่อ ผมซื้อของกินมา’

                พี่เขายอมผละจากงานมากินขนมที่ผมซื้อมาสภาพพี่เขาไม่สู้ดีเท่าไหร่ เหมือนพวกพักผ่อนน้อย ริมฝีปากแห้งดูอิดโรย หลังจากกินอะไรกันเสร็จพี่เขาก็ขอไปนอน ผมก็เลยกลับออกมาทันทีไม่อยากรบกวนพี่เขา ผ่านไปอีกวันพี่เขาก็ยังไม่หายจากอาการนี้ ยังดูระโหยโรยแรงเหมือนเดิม เหมือนคนเหนื่อยตลอดเวลา
        
                       ผมไปซื้อพวกเกลือแร่น้ำหวานอะไรมาให้แกกินแกก็ไม่ค่อยจะกิน ถามหาแต่ลาบ แต่ไข่ต้ม ไก่ต้มอะไรพวกนี้ ชอบบอกให้ผมซื้อพวกข้าวมันไก่ไปฝาก เอาแบบมีเครื่องในด้วย แล้วก็ให้ผมไปหาซื้อพวก ก้อย พวกอาหารที่มันคล้ายๆลาภที่มันสดๆมีเลือด ผมก็เรียกไม่ถูก เพราะผมไม่เคยกิน แกกินอย่างนี้อยู่เป็นอาทิตย์ แต่แกก็ไม่ได้ดูมีเรี่ยวมีแรงมากขึ้น จนวันนึงพี่เขาก็มาคุยกับผมในระหว่างที่เรากำลังนั่งกินข้าวด้วยกัน
‘พี่เป็นอะไรวะ พี่ งง ตัวเอง’
‘นั่นดิพี่ ผมก็ งง’
‘ปกติพี่ไม่กินอะไรพวกนี้นะ แต่ช่วงนี้มันอยาก’
‘...’ ผมเงียบเพราะไม่รู้จะตอบอะไร
‘หรือพี่จะผีเข้าวะ’
            
                       ความกังวลเริ่มมากขึ้น เพราะมันเริ่มแปลกจริงๆ แปลกจนเจ้าตัวก็รู้สึกได้ เพราะปกติพี่เขาก็เป็นคนอนามัยพอสมควรน แต่คราวนี้กับอยาก แล้วก็ชอบมากกับอาหารพวกนี้ ผมเห็นพี่แกดูไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เลยชวนพี่แกไปทำบุญ เราก็ไปทำบุญกันที่วัดใหญ่ หลังจากทำบุญเสร็จก็ไปให้พระท่านพรมน้ำมนต์ให้ แล้วพระท่านก็ผูกข้อมไม้ข้อมือให้ พี่เขาก็ดูสบายใจขึ้น แล้วเราก็แยกกลับกันที่หน้าวัด

                     วันรุ่งขึ้นขณะที่ผมเรียนอยู่ที่โรงเรียน ผมก็เห็นไลนพี่เขาแจ้งเตือนขึ้นมาเป็นข้อความสั้นๆ แต่มันก็ทำให้ผมคาใจได้พอสมควร
‘มาหาหน่อย โดดเรียนเลยได้ไหม’
ผมรู้สึกแปลกใจเล็กๆ เพราะปกติพี่เขามักจะด่าและไล่ผมไปเรียนก่อนค่อยมาหา พอเลิกเรียนผมก็รีบไปหาพี่แกเลย เมื่อเปิดประตูเข้าไปภาพที่เห็นก้คือ พี่เขานั่งกุมขมับอยู่ที่โซฟาในห้องอัด ผมเดินเข้าไปทักพี่เขาสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์แล้วถูกปลุกให้ตื่น ผมเขาเงยหน้ามามองผม ตาของพี่เขาแดงงระเรื่อ เหมือนคนอดหลับอดนอน
‘เป็นไรพี่’
‘พี่ว่ามันไม่ปกติแล้วว่ะ ทำไงดี’
‘อะไรพี่ เล่าให้ฟังก่อน’
‘เมื่อคืน พี่ทำเพลงต่อจนดึก พี่ก็ไปอาบน้ำ เตรียมตัวจะนอน พี่เดินขึ้นไปที่ชั้นบนเข้าห้องนอนไป พอพี่ล้มตัวลงนอนบนเตียงมันก็ยังไม่หลับทันทีหรอก พี่ได้ยินเสียงประตูห้องมันเปิด พี่ก็กกลัวๆนะ แล้วก็ง่วงมากด้วย เลยไม่เดินไปดู แล้วพี่ก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ แล้วพี่ก็รู้สึกตัวตื่นมาเพราะความอึดอัด เหมือนมีน้ำหนักกกดพี่อยู่ พี่หายใจไม่สะดวก พอพี่ลืมตาขึ้นมาพี่ก็ร้องตะโกนสุดเสียงแต่เสียงมันไม่ออกมา แล้วมันก็ขยับตัวไม่ได้ แต่ตรงหน้าพี่มีเงาของคนแก่ ตัวเล็กๆ ผอมๆ นั่งยองๆกอดเข่าอยู่บนอก พี่ตกใจมาก พยายามตะโกนโวยวาย แต่ก็ทำไม่ได้ พี่รีบหลับตา แล้วก็พยายามสวดมนต์ สวดผิดสวดถูกไม่รู้ ครู๋เดียวพี่ก็หลุดจากสภาพนั้น พี่รีบลุกลงจากเตียง พี่มองไปรอบๆห้อง ก็มองเห็นเงาร่างของคนแก่แอบมองอยู่ที่มุมประตูห้อง แล้วก็หายไป พี่กลัวมาก ไม่กล้านอนเลยเนี่ย’  พี่เขาเล่าด้วยอาการกลัว
‘พี่ไปทำอะไรใครมาป่าวเนี่ย’ ผมพยายามถามหาที่มาที่ไป
‘ไม่นะ พี่ก็อยู่แต่ที่สตู จะไปทำไรใครได้ แกช่วยไรพี่ได้ไหม’

            ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง เลยบอกให้พี่เขาทำใจนิ่งๆ ภาพจับมือพี่เขาทั้งสองข้าง ค่อยๆหลับตาลงพยายามค้นหาว่า ในตัวพี่เขา มีใครคนอื่น แฝงอยู่หรือเปล่า เมื่อผมพยายามทำอะไรสักอย่าง ผมก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่เดิม แต่คราวนี้สวายตานั้นอยู่ใกล้มากๆ เหมือนกับนั่งอยุ่ข้างหลังผมเลยทีเดียว ผมพยายามไม่สนใจแล้วตั้งสมาธิต่อไป จากสายตาที่จับจ้องมา ผมก้เริ่มรุ้สึกถึงลมหายใจที่ใกล้มากๆ ลมหายใจนั้นเย็นๆ ทำให้ขนลุกไปทั่วร่างกาย แล้ววูบนึงก็ปรากฏภาพของบ้าน ไม้ใต้ถุนสูง รอบข้างมีบ้านหลายหลัง เหมือนเป้นครัวใหญ่ ผมค่อยๆเดินขึ้นไปบนบ้านหลังนั้น บ้านนั้นเป็นโถงกว้างๆโล่งๆ แต่ตามขอบกำแพงจะมีรูปขาวดำพร้อมโกฏิกระดูกตั้งเรียงรายไว้หลายต่อหลายคน แล้วจู่ๆก็มีคนแก่คนนึงโผล่มาตรงหน้าผม แล้วผลักผมออกจากบ้าน ผมลืมตาขึ้นมาทันที
‘เป็นไงบ้าง’
ผมเล่าสิ่งที่ผมเห็นให้พี่เขาฟัง พี่เขาฟังนิ่งๆแล้วพูดออกมาเบาๆว่า ‘บ้านใหญ่..’

             คุยกันไปคุยกันมาผมก็แน่ใจแล้วว่าเป้น ผีปู่ย่าแน่ๆ ผมจึงบอกว่า ผมยุ่งไม่ได้ เพราะเขาก็ถือว่าเป็นญาติ เป็นผีเลี้ยง ผมก้าวก่ายไม่ได้ คงต้องกลับบ้านไปทำตามพิธีให้ถูกต้องอย่างเดียว พี่เขาก็ทำหน้าหนักใจเล็กน้อย แต่ก็ตัดสินใจนั่งรถกลับบ้านในเย็นวันนั้นทันที

              ผ่านไปสองสามวันพี่เขากลับมาแล้วก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังด้วยใบหน้าแจ่มใส เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อเขากลับไปถึงบ้าน ก็พบว่ามีญาติๆมารออยู่ที่บ้านของตน ทุกคนมาพร้อมกันหมด พี่เขาตกใจเป็นอย่างมาก แล้วแม่พี่เขาก้เดินเข้ามาบอกว่า
‘เดี๋ยวไปบ้านใหญ่กัน พ่อใหญ่เขารู้ว่าเอ็งจะกลับมา ไปขอขมาเขาซะ’
เมื่อไปถึงบ้านใหญ่ก็มีคุณตาแก่ๆคนนึงนั่งรออยู่กลางบ้าน แล้วการสนทนาก็เริ่มขึ้น ดดยทุกอย่างเกิดจากที่ พี่เขาไม่ได้กลับบ้านมาร่วมงานไหว้งานบุญของทางบ้านเลยหลายปีแล้ว ทำให้ผีปู่ย่าไม่พอใจ เลยไปตามกลับ พี่เขาก็ทำพิธีขอขมาต่างๆตามประเพณีของทางนั้น พี่เขาเป็นหลานชายคนโปรดด้วย เลยโดนหวงเป็นพิเศษ หลังจากได้ทำการขอขมา และสัญญาว่าจะกลับไปบ้านทุกปี พี่เขาก็เริ่มได้งานใหม่ที่ดี มีอนาคตที่ดีขึ้น แล้วก็ไม่มีปญหาเรื่องแบบนี้อีกเลย
...........................................
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่