เจอบ้าง...อะไรบ้าง

เรื่องที่จะเล่าในเรื่องนี้อาจจะต่างจากกระทู้ก่อนๆอยู่บ้างนะครับ ถือว่าเปลี่ยนอารมณ์ละกันนะครับ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เป้นประสบการณ์โดยตรงกับตัวเอง เป้นเรื่องที่ผมเจอมาเองเกิดขึ้นกับตัว โปรดใช้วิจารณญาณ์ในการอ่านนะครับ

         ช่วงนั้นผมยังเรียนอยู่ ม.ปลาย เป็นช่วงกำลัง ห้าว ตามประสาเด็กวัยรุ่น ทางบ้านก็เริ่มปล่อยเรามากขึ้นไม่ต้องกลับบ้านตรงเวลาหรือบังคับอะไรเราเยอะมากนัก ยิ่งโรงเรียนที่ผมเรียนนั้นมีเด็กต่างจังหวัดมาเรียนเป็นส่วนมากทำให้มีหอพักของเพื่อนอยู่ใกล้ๆโรงเรียน เรียกได้ว่าเป็นแหล่งสุมหัวชั้นดีเลยทีเดียว เรามักจะไปรวมตัวกันอยู่ห้องใครสักคนแล้วหาอะไรทำกัน และอีกหนึ่งอย่างที่พวกผมทำบ่อยๆคือ การไปนั่งกื่มอะไรบ้างในตอนกลางคืน ในตอนนั้นจะมีสถานที่หนึ่งของพิษณุโลก ที่เรียกว่า หลังไนท์ เป้นที่ที่เด็กมัธยมมักจะไปเที่ยวกัน เพราะว่าไม่ค่อยมีการตรวจตราอะไรมากมายนัก ราคาก็ไม่แพง เหมือนเป็นการเรียนรู้ชีวิตเด็กมหาลัยแบบย่อมๆไว้ก่อนที่จะไปเจอของจริงตอนเข้ามหาลัยแล้ว แต่ตอนนี้ก็โดนสั่งปิดไหมดแล้วครับ กลายเป้นร้านข้าว ร้านน้ำปั่นไปหมดแล้ว ในสมัยนั้นจะมีร้านหนึ่งที่พวกผมสนิทกับพี่เจ้าของร้านมาก เลยไปกันบ่อยๆ และในคืนนั้นพวกเราก็ไปที่นั่นกันเหมือนทุกที
          หลังจากที่เรานั่งดื่มอะไรกันนานพอสมควรแล้ว เราก็ตกลงกันว่าวันนี้เราจะกลับกันก่อน เพราะพรุ่งนี้ก็ยังต้องไปโรงเรียนจะโต้รุ่งก็คงไม่ไหว พวกผมแยกย้ายกันไปคนละทางตอนนั้นเวลาประมาณ ตี 2 กว่าๆ เนื่องจากพิษณุโลกก็ไม่ใช่เมืองใหญ่มากนักทำให้เมืองในตอนกลางคืนนั้นค่อนข้างเงียบ รถราบนถนนนั้นแทบไม่มีเลย ผมชอบช่วงเวลาดึกๆแบบนี้เพราะรู้สึกอิสระ แล้วก็ไม่วุ่นวายดี ชวงนั้นเป็นฤดูหนาว อากาศตอนกลางคืนเลยทำให้ผมขี่มอเตอร์ไซด์ได้ไม่เร็วมากนักบวกกับผมก็เริ่มมึนนิดๆจากฤทธิ์แอลกอฮอล ผมค่อยๆขี่รถไปตามถนนเรื่อยๆ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันแต่ไฟถนนเกือบทุกดวงจะออกสีส้มๆ แสงจันทร์เต็มดวงในคืนนั้นก็ทำให้เรามองทางได้ง่ายขึ้น ออกจากหลังไนท์มาตามทางเรื่อยๆ ผ่านหอนาฬิกา เลยออกมาทางถนนตัดไปสถานีรถไฟ ตามทางมาเรื่อยๆ จะเจอเจอทางข้ามรถไฟใกล้ๆกับร้านขายปืนที่ติดกันเป็นแถวๆ ตอนนั้นที่ผ่านไปมีรถไฟมาพอดี ผมหยุดรอที่หน้าทางกั้นพอขบวนรถไฟผ่านหน้าผมไปจนหมดขบวนสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้า คือผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินข้ามทางรถไฟไปทางเดียวกับผม ค่อยๆเดินช้าๆ แต่ลูกลักษณ์การแต่งตัวภายนอกชของเธอนั้นดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยมีเงินเท่าไหร่ เป็นเสื้อผ้าเก่าๆดูมอมๆ ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะตัดสินใจไปทักเธอคนนั้น
‘น้าครับ จะไปไหน ผมไปส่งไหม’
‘...’ ไม่มีเสียงตอบใดๆกลับมามีเพียงรอยยิ้มชองเธอคนนั้น
‘น้าจะไปไหนครับ’
‘...’ ยังคงไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา ตอนนั้นผมคิดว่าเรายุ่งไม่เข้าเรื่องหรือเปล่า
‘ไปด้วยกันไหมครับ’
         ผมยังคงถามย้ำเธอตรงนั้นแต่ก็ไม่ได้คำตอบใดๆกลับมาเลยนอกจาก รอยยิ้ม ผมจึงทำอะไรไม่ถูกเลยตัดสินใจขี่รถออกมาจากตรงนั้นเพื่อกลับบ้านในทันที ผมขี่รถออกมาได้หน่อยหนึ่งก็มองกระจกรถกลับไปด้านหลังเพื่อดุว่าเธอคนนั้นจะทำอย่างไรต่อไป แต่ตรงนั้นกลับไม่มีใครอยู่เลย ผมก็ได้แต่คิดในใจว่า เดินไปไหนแล้วหว่า แปลกคนจัง ดึกดื่นๆมาเดินคนเดียว หรือเขาจะสติไม่ดีนะ?
         
          ผมขี่รถมาตามทางเรื่อยๆจนมาถึงหน้าหมู่บ้านผมเลี้ยวรถเข้ามอเตอร์ไซด์ในหมู่บ้านได้ก็จะเจอกับหมาประมาณ3 4 ตัวที่เป็นหมาจรจัดไม่มีเจ้าของ แต่แม่ผมให้ข้าวเป็นประจำจึงรู้จักมักคุ้นกันเสมอปกติก็จะเข้ามาเล่นมาคลอเคลีย แต่ในคืนนั้นพวกมันทุกตัวกลับพร้อมใจกัน หอน หอนลากยาวและโหยหวนมาก ผมขนลุกไปหมดเลยสันหลังเย็นวาบไปหมด ยิ่งที่หน้าหมู่บ้านจะมีสนามหญ้ารกๆที่ไม่ได้ใช้งานอยู่ด้วย ลมเย็นอ่อนๆที่โชยมายิ่งทำให้ความกลัวในจิตใต้สำนึกทวีคูณความรุนแรงขึ้นอย่างมาก ผมรีบบิดรถให้ไปถึงบ้าน เมื่อไปถึงหน้าบ้าน ผมรถลงไปเปิดประตูบ้านทันที แล้วผมก็สะดุ้งตกใจอย่างสุดตัว
โฮ่ง! โฮ่งๆๆ !!!
หมาที่ผมเลี้ยงไว้ในบ้านทั้งสามตัวพร้อมใจกันวิ่งมารุมเห่าผมที่หน้าประตูบ้าน เห่าอย่างจริงจัง เห่าอย่างเอาเป้นเอาตายอย่างกับผมเป้นคนแปลกหน้า
‘เห้ย เห่าทำไม จำกันไม่ได้รึไง เดี๋ยวเขาก็ตื่นกันทั้งบ้านหรอก’ ผมเอ็ดหมา
ทั้งสามตัวยังคงไม่หยุดเห่า จนผมเปิดประตูบ้านได้แล้ว เดินเข้าไปใกล้ๆมันมันจึงหยุดเห่าแล้วหันหลังแยกย้ายกันไปนอนตามเดิม ผมเข็นรถเข้ามาจอดภายในบ้านแล้วก็เข้าบ้านไปนอน
.
.
        ผมตื่นมาในตอนเช้าด้วยความปวดเมื่อยเนื้อตัวเป็นอย่างมาก แล้วก็เพลียๆเหมือนเรานอนไม่พอคล้ายอาการแฮงค์ ผมเดินมึนๆออกไปอาบน้ำ ผมออกมาเจอแม่ที่หน้าห้องพอดี แม่กำลังจะไปทำงานผมพูดคุยกับแม่ครู๋หนึ่งก็เข้าไปอาบน้ำแต่งตัว ขี่มอเตอร์ไซด์ไปโรงเรียนเหมือนในทุกๆวัน ในวันนั้นผมพะอืดพะอมยังไงไม่ร็ มันรู้สึกแน่นๆในท้อง เหมือนไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ก็ไม่มี แต่มันไม่หิว มันยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก ในตอนกลางวันเพื่อนผมชวนไปกินข้าวตามปกติ
‘กินข้าวไหนดี โรงอาหารไหม ง่ายดี’ เพื่อนผมคนนึงพูดถามขึ้นมา
‘โรงอาการอีกละ เบื่ออะ วันนี้มันไม่อยากกินไรยังไงไม่รู้ด้วยว่ะ’ ผมตอบกลับไป
‘งั้นไปหาไรกินข้างนอกไหม เปลี่ยนบรรยากาศด้วย บ่ายไม่มีเรียนอยู่ละ’ เพื่อนคนอื่นในกลุ่มก็เห็นด้วยกันหมด
        สุดท้ายเราก็จบลงที่ ร้านส้มตำ ใกล้ๆโรงเรียน ร้านนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นร้านปรพจำร้านหนึ่งเลยทีเดียว เพราะว่าราคาถูก แล้วก็แซ่บมาก เหมาะกับเด็กนักเรียนเป็นอย่างดี พอมาถึงร้านส้มตำ ความเบื่ออาหารมันก็หายไปโดยสิ้นเชิง เห็นอะไรในร้านยก็อยากกินไปหมด เหมือนกับว่าทุกเมนูนั้นน่าอร่อยเหลือเกิน อยากกินมาก แล้วผลลัพธ์ของความอยากก็คือ ผมสั่งอาหารมาเสียเต็มโต๊ะ ด้วยความเกรงใจเพื่อน ผมก็เลยบอกว่า เดี๋ยวเราออกเอง ผมกินไปเรื่อยๆ กินทุกอย่างบนโต๊ะ กินยังไงก็ไม่อิ่ม อยากกินอีก จนผมรู้สึกแน่นท้อง เพราะกินไปเยอะมาก แต่ว่ามันก็ยังอยากอยู๋ มันเป้นความ อยาก มากกว่าความ หิว แต่ตอนนั้นมันแน่นท้องจนไม่ไหวแล้ว ผมก็เลยไม่กินอะไรต่อ วันนั้นผมก็นั่งเล่นนอนเล่นอยู๋ที่หอเพื่อนจนมืดจนค่ำ กลับไปบ้านก็ประมาณ 3 ทุ่ม แล้ววันนี้ก็เป็นเหมือนเดิม หมาสามตัวที่เลี้ยงไว้ ก็มารุมเห่าผมอีกครั้ง จนผมเริ่ม งง ว่า นี่เรากลับบ้านดึกทุกวันจนมันลืมหน้าเรารึไงนะ ในตอนกลางคืนผมก็อาบน้ำไหว้พระ แต่ในตอนนั้นตอนที่นั่งอยู่ในห้องพระมันรู้สึกไม่สบายตัวเอามากๆ มันร้อน มันอึดอัด เหงื่อซึมไปหมด ลงมาจากห้องพระถึงกับต้องอาบน้ำใหม่อีกรอบ
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!
กลางดึกคืนนั้นผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเห่าของหมาที่เลี้ยงไว้ ห้องนอนผมนั้นอยู่ติดกับที่จอดรถของบ้านตรงกับประตูใหญ่หน้าบ้านพอดี แล้วก้มีหน้าต่างรอบห้อง ทำให้ได้ยินเสียงเห่าของหมาที่หน้าประตูอย่างชัดเจน ผมงัวเงียๆ พยายามเร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้น เพราะปกติเป็นคนที่ชอบเปิดเพลงเวลานอนอยู่แล้ว พยายามเอาหมอนมาปิดหู เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงหมาเห่า หมาที่เลี้ยงไว้ตัวใหญ่พอสมควรนทำให้เสียงที่เห่านั้นดังมาก สุดท้ายผมจึงหมดความอดทน ลุกขึ้นมากะว่าจะดุหมาเสียงหน่อยให้มันหยุด
       ผมกึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่บนเตียงแหวกม่านที่หัวนอนมองออกไปทางหน้าต่างไปยังหน้าประตูบ้าน ผมมองหาหมาสามตัวที่เลี้ยงไว้ก็เจอในทันที เพราะมันสามตัวยืนรวมตัวกันอยู๋ที่รั้วบ้านเลย พวกมันเห่าอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมจึงมองไปที่ต้นตอของสิ่งที่ทำให้มันเห่า สิ่งที่ผมเห็นคือ เป็นเงาดำๆเงาหนึ่ง ซึ่งเราแน่ใจว่าเป็นเงาของผู้หญิงแน่นอนเพราะผมที่ยาวเลยบ่าไป เงานั้นนั่งยองๆอยู๋หน้าประตูบ้านผม ผมไม่เห็นหน้าเพราะข้างนอกมันมืด หมาที่เห่านั้นก็ดูรักษาระยะห่างพอสมควร เงานั้นเหมือนพยายามยื่นมือเข้ามาในบ้าน ไม่รู้ว่าต้องการจะเปิดประตูบ้าน เพราะที่บ้านผมเป็นกลอนแบบที่อยู่ข้างล่าง หรือว่าจะยื่นอะไรมาให้หมาผมกิน ช่วงนั้นในหมู่บ้านมีคนมาวางยาเบื่อหมาอยู๋เป้นช่วงๆ ด้วยความเป็นห่วงหมา แล้วก็คือว่า เขาเป้นโจรหรือเปล่าผมจึงรีบลุกออกจากเตียงวิ่งไปหาแม่ที่นอนอยู่ตรงห้องดูทีวีหน้าบ้าน ปกติแม่จะชอบนอนตรงนี้เพราะไม่ชอบนอนในห้อง
‘แม่ๆ หมามันเห่าใครไม่รู้อยู๋หน้าบ้าน’ ผมปลุกแม่ขึ้นมา
ในตอนที่ปลุกแม่ขึ้นมานั้นหมายังคงเห่าอยู่ไม่หยุด แม่ผมเปิดประตูบ้านออกไปดู ตะโกนเรียกหมาสามตัวจากประตูในบ้าน มันสามตัวรีบวิ่งมาหาแม่ทันที แม่สำรวจทั่วทั้งตัว ทั้งในปากด้วย ก็ไม่มีอะไร เหมือนไม่ได้ไปกินอะไรมา เมื่อมองไปที่หน้าประตูบ้านก็ไม่พบใครแล้ว ไม่มีใครอยู่เลย แม่จึงเดินไปล็อกรั้วบ้านใหม่อีกครั้ง แล้วก็กำชับกับผมว่าต่อไปต้องล๊อกบ้านดีๆนะ
          วันต่อมาเป็นวันหยุด เย็นๆแม่มักจะปล่อยหมาให้ออกไปวิ่งเล่นในหมู่บ้าน ผมก็เดินไปกินข้าวเย็นที่ร้านในหมู่บ้านที่กินเป็นประจำ พร้อมกับซื้อมาฝากแม่ด้วย ค่ำๆผมเดินกลับบ้านระยะทางไม่ไกลนัก เข้ามาในบ้านก็ยื่นเข้าให้แม่ แล้วแม่ก็บอกว่า หมายังกลับมาไม่ครบเลย เหลืออีกตัวนึง ให้ผมออกไปตามมันเข้าบ้านด้วย ผมก็โอเค เดินออกไปตามหามัน พอตามเจอก็ไปเรียกมัน ก็ไม่ยอมเข้าบ้าน ตัวนี้มันซนอยู่แล้ว ผมต้องเดินไปร้านขายของชำ แล้วเอาขนมมาล่อมันให้เดินตาม จนมาถึงหน้าบ้านมันเห็นหมาบ้านตรงข้ามออกมาเดินเล่นก็ไม่เล่นกับเขาอีก ผมยืนรอมันพักหนึ่ง จนมันเดินมาแสดงว่ามันเล่นจนพอแล้ว
‘เอ้า เข้าบ้าน’ ผมบ่นอุบกับหมานั้นอีกครั้งด้วยความเอ็นดู แต่ก็ไม่รู้เลยว่าประโยคนี้มันจะทำให้เกิดเรื่องแปลกๆตามมา

................
ค้างไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ พรุ่งนี้จะมาต่อ เดี๋ยวตื่นไปวัดไม่ไหว แหะๆ ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันนะครับ ^^

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่