สวัสดีครับ หลังจากหายไปนานเลยเพราะยุ่งกับการเรียนและการสอบ มาลงแบบขาดๆหายๆ ตอนนี้ปิดเทอมแล้วก็เริ่มว่างครับถึงจะมีทำโปรเจคอยู่บ้างแต่ก็มีเวลามากกว่าเปิดเทอมเยอะเลย และช่วงที่ปิดเทอมใหม่ๆก็ได้อยู่เงียบๆกับตัวเอง ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนผ่อนคลาย แล้วก็มานั่งคิดนั่งนึกถึงเรื่องที่ผ่านๆมา ว่าจะเขียนอะไรต่อไปดี เพราะมันมีเรื่องเยอะ ทั้งที่จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ไปค้นไดอารี่เก่าๆ คนสมุดบันทึก รวมไปถึงเฟสบุ๊คทวิตเตอต่างๆที่เราเคยบ่นๆเรื่องพวกนี้ลงไป ค้นหาสิ่งของเก่าๆ รูปเก่าๆ ไปนั่งคุยกับเพื่อน กับคนรอบตัวเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านๆมา ว่าตัวเองผ่านอะไรมาบ้าง เจออะไรมาบ้าง ทั้งในมุมมองของเรา และคนรอบข้าง ที่สำคัญคือคนที่ใกล้ชิดที่สุดในชีวิตผม หรือคุณแม่นั่นเอง ผมอาจจะมีหลงลืมอะไรไปบ้างเพราะเป้นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องราตัวเองเท่าไหร่ แต่สำหรับแม่ ท่านคงไม่ลืมเลยสักนิดเดียว เพราะกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ แม่ก็เหนื่อยกับเรื่องราวแปลกๆของผมมาเยอะ คลำทางกันสองคนในความมืด ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร เรียนรู้มาพร้อมๆกัน จากคนที่ไม่เชื่อ จนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวเหล่านี้
.
.
และจากการนั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆ ผมก็ได้พบว่า จริงๆแล้วเราโดนล้อมกรอบ เราถูกรายล้อมด้วยสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์นี้มาตั้งแต่เด็กๆ สิ่งนี้อาจเป็นอุบายอันแยบคายที่เราไม่เคยคาดไว้กันแน่นะ ไม่ใช่แค่เรา แม้แต่คนในครอบครับก็ไม่เคยรู้เลยว่าถูก ดึง ให้เข้ามาสู่เส้นทางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ปากตนบอกว่าไม่เชื่อ แต่ก็มีความสัมพัยธ์กับสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอๆ หรืออีกนัยย์หนึ่งเราอาจจะพูดได้ว่า เรา ถูกสอน และถูกเตรียมมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่เราจะรู้ ก่อนที่เราจะเฉลียวใจเสียอีก
.
.
เรื่องแรกที่จะเล่าต่อไปนี้นั้น ไม่ใช่เรื่องราวของจัวผมทั้งหมด แต่จะกล่าวถึงเรื่องราวต่างๆที่ยังคงมีอยู๋ในปัจจุบัน แต่ว่าถูกมนุษย์สงสัย และกล่าวหาว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีอยู่จริง เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยหายไปไหน ไม่เคยน้อยลง มีเพียง คน ที่ไม่สามารถสัมผัสถึงสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ไม่สามารถรับรู้ถึงพวกเขาได้นั่นเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องงตอนผมอยู่ประมาณ ป.4 ตอนนั้นก็เด็กๆครับ ซนไปตามเรื่องตามราว พูดอะไรก็ไม่ค่อยคิด บ้านผมจะมีวัดอยู่วัดหนึ่งที่นับถือกันมาตั้งแต่สมัยแม่ยังสาวๆ ตอนนั้นเป็นวัดเล็กๆ เป็นวัดป่าที่มีแต่พระปฏิบัติ อยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์ เพราะแม่ของผมเป็นคนอุตรดิตถ์โดยกำเนิดแต่ว่ามาทำงานที่พิษณุโลก จึงมาตั้งรกรากที่นี่เลย แต่ก็ไปกลับที่บ้านเกิดอยู่บ่อยๆ ผมโตมาโดยเดินไปมาระหว่างสองจังหวัดนี้เป็นปกติ แล้ก็ถูกพามาที่วัดนี้ตั้งแต่จำความได้ โดยมีเจ้าอาวาสที่เรียกกันติดปากว่า พระอาจารย์ใหญ่ แล้วทุกครั้งที่ไปวัดก็จะโดนแกล้งบวกกกับชักชวนว่าให้มาบวชเณร แล้วครั้งหนึ่งที่พระอาจารย์ยังงแหย่ผมเล่นอยู่ ด้วยความที่พูดอะไรไม่ค่อยคิดสมัยนั้น ก็ตกปากรับคำท่านไป ว่าปิดเทอมนีจะมาบวชเณร 2 อาทิตย์
แล้วพอปิดเทอมจริงๆ พอแม่บอกว่าจะพาไปบวชแล้วนะ ผมก็ งงๆ เพราะว่าตัวเองลืมไปหมดแล้วที่พูดกับพระอาจารย์ไว้ แต่แม่ก็พูดว่า โกหกพระบาปนะ ตกนรก ตอนนั้นผมเครียดมาก ตอนนั้นไม่รู้ว่าบวชเป็นยังไง ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง รู้แต่ว่าจะไม่ได้ดูการ์ตูน จะไม่ได้ไปวิ่งเล่นกับเพื่อน จะไม่ได้อยู่บเน ไม่ได้เจอพ่อแม่ ผมก็อารมณ์เสียไปสองสามวันจนวันที่ไปบวชก็ยังอารมณ์เสียอยู่ แต่ก็พอจะดีหน่อยที่มีเพื่อนตามมาด้วยสองคน มาบวชเป็นเพื่อนกัน สุดท้ายก็ต้องไปบวชตามที่รับปากพระอาจารย์ไว้
วัดนี้เป็นวัดป่ามีพระและแม่ชีรวมกันไม่ถงสิบรูป รอบๆวัดนั้นก็มีแต่ป่าและตนไม้ ห่างไกลบ้านเรือนและผู้คนเป็นอย่างมาก ใช้คำว่า ไม่มีอะไรเลยก็ได้ แต่ก็มีโยมที่มาดูแลวัดอยู่ตลอด มาช่วยเหลือทำความสะอาดดูแลอาหารการกิน เนื่องจากวัดไกลจากตัวเมืองมากๆ แถวนั้นไม่มีอะไรเลย ไม่มีบ้านคน การบิณฑบาตรจึงเป็นไปไม่ได้เลย และวัดนี้ก็ไม่เคยมีเณรมาก่อน การที่มีเด็กน้อยสามคนมาบวรเณรจึงเป็นเรื่องสนุกของทุกคนในวัดมาก ทั้งโดนแกล้งโดนอะไรมากมาย พวกผมจะนอนอยู่ที่ศาลากลางของวัด โดยในคืนแรกที่เข้านอนนั้น ก็แอบหวาดระแวงครับ เพราะว่าตอนเด็กๆนี่กลัวผีมาก กลัวความมืด คือกลัวทุกอย่าง แล้วก็ไม่เคยไปนอนที่อื่นนอกจากบ้านด้วย ก็ทำใหนอนไม่ค่อยหลับครับ จะทำอะไรก็ไม่มีอะไรให้ทำ อย่าว่าแต่ทีวีเลย วิทยุสักเครื่องยังหาไม่ได้เลย ผมก็ได้แต่นอนพลิกไปพลิกมา ส่วนเพื่อนเณรอีกสองคนนั้นหลับไปพักนึงแล้ว เวลาเท่าไหร่ผมก็ไม่ทราบครับ ผมได้ยินเสียง เหมือนคนเดินลากเท้าอยู่ข้างนอกศาลา ผมก็กล้าๆกลัวๆ แต่เสียงนั้นก็ดังไปรอบๆตัวศาลา บอกได้ชัดเลยว่ากำลังมี ใคร บางคนเดินวนไปมาอยู่ในเวลานี้แน่ๆ ด้วยความกลัวก็เลยปลุกเพื่อนให้ตื่นแล้วค่อยๆแอบมองออกไปนอกหน้าต่างของศาลาภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้านั้นทำให้ผมกับเพื่อนตกใจเป็นยอย่างมาก ตกใจจนร้องไห้ รีบกลับมาคลุมโปงนอนกันเลยทีเดียว นั่นคือ มีขาคู่หนึ่งสีดำสนิทที่ยาวมาก สูงจนเลยสายตาไป แต่ดูออกว่าเป้นขาแน่นอน เพราะมีกริยาการย่างก้าวให้เห็น แล้วก็มีใบหน้าใหญ่ๆค่อยๆก้มลงมามอง พอใบหน้านั้นเข้ามาใวนขอบหน้าต่างในระยาที่สายตาเราเห็นได้ สติก็แตกกระเจิงแล้วรีบคลุมโปงทันทีไปจนเช้า
ในตอนเช้าหลังจากฉันท์เช้าเสร็จแล้ว พระอาจารย์ก็เรียกให้ไปคุยด้วยว่าเป้นอย่างไรบ้าง ในการนอนวัดคืนแรก นอนได้ไหม อยากเปลี่ยนที่นอนรึเปล่า
‘เมื่อคืนเจอผีหลอกครับ’ เณรทั้งสามคนตอบพร้อมกัน
‘ผีที่ไหน’ พระอาจารย์ถามแบบยิ้มๆ
‘เปรตครับ ตัวสูงใหญ่มาก ดำทั้งตัวเลย’ เด็กๆยังคงยืนยันในคำตอบเดิม
‘อ่อ นั่นไม่ใช่เปรตหรอก เป็นเจ้าป่าเจ้าเขาน่ะ เขาดูแลพื้นที่แถวนี้ ตอนพระอาจารย์จะสร้างวัดก็ไปขอเขามานี่แหละ เวลามีพระใหม่มาก็จะมาดูอย่างนี้ตลอด เจอกันมาหมดแล้ว สงสัยถูกใจเณรเข้าให้แล้ว’ พระอาจารย์ตอบด้วยอารมณ์สนุกปนขำ
ในการไปบวชครั้งนั้นผมได้รับการดูแลจาก หลวง พี่สองคน สมมติว่าชื่อ หลวงพี่ ทวี กับหลวงพี่โชคนะครับ ในตอนนั้นท่านทั้งสองก็เกือบจะสามสิลแล้ว แต่ก็ให้เรียกว่าหลวงพี่ หลวงพี่จะคอยสอนว่าต้องทำอะไรบ้างในหนึ่งวัน ในช่วงระหว่างวันว่างๆก็จะเอาหนังสือมาให้อ่าน ให้ฝึกสวดมนต์ พาไปเดินดูวัดไปทำความรู้จักกับแม่ชี กับโยมที่มาอยู๋ที่วัด แล้วก็คอยช่วยงานวัดเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นล้างจานเก็บขยะกวาดใบไม้ ทั้งสองท่านใจดีมากๆ หลังจากคืนนั้น 2 3 วันพวกผมก็นอนที่กุฏิของหลวงพี่โชคเพราะว่าระอวง และไม่กล้าไปนอนที่ศาลาแล้ว แต่ว่าก็เป็นกุฏิเล็กๆ สุดท้ายหลวงพี่ทั้งสองจึงยอมมานอนกับพวกผมด้วยที่ศาลา ก็อุ่นใจทำให้สามารถนอนที่ศาลานั้นต่อไปได้
ข้างๆกันกับกุฏิของหลวงพี่โชคนั้น จะมีกุฏิอีกหลังหนึ่ง เป้นของหลวงตาท่านหนึ่ง ในตอนนั้นผมไม่แม้แต่จะถามชื่อท่านไว้เลย เรียกแต่หลวงตาจนติดปาก ตอนนั้นท่านก็อายุเยอะมากแล้ว ประมาณ 70 80 ได้แล้ว ซ฿งหลวงพี่โชคก็พาผมไปนมัสการท่านที่กุฏิ ท่านดูดุมากครับในครั้งแรกที่ได้เจอกัน แล้วต่มาช่วงบ่ายๆในแต่ละวันนั้นหลวงตาจะบอกให้พวกผมสามคนมาหาที่กุฏิเพื่อฝึกสมาธิ ตอนนั้นก็ทำไม่เป็นหรอกครับ แต่ก็กลัวไม่กล้าขัดท่าน ก็ไปหาท่านทุกวัน ท่านสอนตั้งแต่ท่านั่ง การกำหนดลมหายใจ รวมไปถึงการจัดการกับความคิดของตัวเอง โดยที่ตอนนั้นตัวเองก็ไม่เข้าใจหรอกครับ ทำๆๆไปให้มันจบๆ แต่ก็แอบน้อยใจและสงสัยในบางอย่างว่า ทำไมเพื่อนผมเนี่ยชอบอู้ ชอบอ้างว่าไปทำนั่นทำนี่ ท่านก็ไม่ดุไม่ว่า ปล่อยไป แต่ผมเนี่ย ท่านไม่ปล่อยไปไหนเลย เคี่ยวเข็ญ บังคับตลอด หนีไม่รอดสักวัน ในตอนนั้นคำสอนที่พอจะเข้าใจได้ และพอจะจำได้ก็มีอยู่ว่า
‘นั่งให้สบายๆ อย่าเกร็ง ผ่อนคลายที่สุด หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ค่อยๆจับความรู้สึกที่มาสัมผัสที่ปลายจมูก มองว่าลมเข้าไปถึงตรงไหน แล้วจึงกลับออกมา ทำช้าๆ ไม่ต้องรีบ มองเห็นแสงสีขาวใช่ไหม มองไว้ แต่อย่าคิดอะไร เฝ้าดู อย่าเอาความคิดไปจับ อย่าใช้จินตนาการ อย่างสร้างภาพ ไม่เช่นนั้นจะเป็นได้เพียงของปลอม ความคิดอะไรจะผ่านเข้ามาชั่งเขา มองไป เฝ้ามองไปนิ่งๆ ได้ยินเสียงกังวานแหลมในหูไหม อย่าใส่ใจ ปล่อยเขา เขาอยากทำอะไรทำ เขาอยากคิดอะไรคิด จิต มีธรรมชาติของเขา อย่าไปฝืนอย่าไปห้าม’
หลวงตาท่านพูดเหมือนว่าท่านรับรู้ไปกับผมด้วยทุกอย่าง ซึ่งทุกคำที่หลบวงตาพูดนั้นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ตอนนั้นก็ได้แต่ทำตามท่านครับ แต่ก็แอบแปลกใจ แต่ด้วยความเป้นเด็กกระมัง เลยไม่นึกสงสัยจนเก็บมาคิดเป็นประเด็นในหัวใจ และก็โดนหลวงตาท่านกำชับว่าให้ทำอย่างนี้ทุกวัน ให้จำทุดอย่างให้ขึ้นใจ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรครับก็ฟังผ่านๆพร้อมกับคิดในใจว่า ไม่ทำหรอก ขี้เกียด ผมถูกพูดกรอกหูแบบนี้ทุกวัน พร้อมกับประโยคเดิมๆที่จะตามมาท้ายสุดเสมอๆ
‘วันนึงจะได้ใช้’
ในวันนั้นผมไม่เคยรู้เลยว่า ผมจะได้ใช้สิ่งนี้จริงๆ อาจเพราะเรื่องนั้นเกิดในตอนเด็กจนทำให้ผมลืมเลือนไปว่า เคยถูกสอนมา แต่แปลกตรงที่ผมยังจำ วิธี และความรู้สึกเหล่านั้นได้เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ต้อง เริ่ม ฝึกอย่างจริงจัง
.
.
.
ในช่วงที่บวชอยู่นั้นหลวงพี่ทั้งสองจะหาอะไรๆให้ผมทำเสมอๆ และในวันนึงผมก็ถูกหลวงพี่ทั้งสองชวนไป เที่ยว บอกว่าวันนี้จะพาไปเที่ยว ให้ไปเอาน้ำใส่ขวดติดตัวใส่ย่ามไว้ แล้วก็ไม่ต้องใส่จีวรมา เอาให้เดินง่ายที่สุด ตอนนั้นยังไม่รู้ครับ แต่คิดว่าคงสนุกกว่าการอยู่วัดเฉยๆ และการไปเที่ยวของหลวงพี่นั่นก็คือ การไปเดินขึ้นเขาที่หลังวัด เป็นเขาจริงๆครับ ภูเขาเลย ออกเดินจากวัดไปตอนหลังฉันท์เช้าเสร็จ เดินไปเรื่อยๆ ทางก็ชัน ถนนก็ไม่มี มีแต่หิน มีแต่ต้นไม้ เดินลำบากมาก เหนื่อยมาก เหนื่อยจริงๆครับ แต่ก็ตามขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยความที่เป็นเด็ก ตัวเล็ก ทำให้เดินช้า หลวงพี่ทั้งสองนำขึ้นไปก่อนแล้วแต่ก็ไม่ห่างมากเพราะชะลอรอเด็กสามคนอย่างพวกผม ผมกึ่งเดินกึ่งปีนขึ้นไปเรื่อยๆ เห็นลานหินกว้างๆสูงขึ้นไป ตอนนั้นแดดจ้ามาก เห็นสีจีวรปลายตาแว้บๆ ก็คิดว่าเป็นหลวงพี่ทั้งสอง ก็รีบปีนขึ้นไปคิดว่าหลวงพี่คงหยุดพักรอเรา ผมก็อยากพักบ้าง ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นชัดว่าเป็นจีวรแน่ๆ เพราะเห้นเป็นรูปร่างคนนั่งขัดสมาสอยู่ แต่เมื่อปีนขึ้นมาถึงข้างบ้านแล้วกลับไม่มีใครเลย มีแต่ที่โล่งๆ ว่างๆ กับหินก้อนใหญ่ๆ แบนๆที่เป็นเหมือนที่นั่ง ผมก็ งงๆ คิดว่าคงตามไม่ทันอีกแล้ว ผมปีนขึ้นไปเรื่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ก็มาถึงยอด ซึ่งมีหลวงพี่ทั้งสองยืนรอยู่
‘หลวงพี่ไม่รอผมเลย’ ผมบ่น
‘หลวงพี่ขึ้นมาบ่อยแล้ว เดินรวดเดียวก็ถึง ยังไม่ได้พักเลย’ หลวงพี่พูดเหมือนแกล้ง
‘หลวงพี่ขี้โม้ เมื่อกี้เห็นนั่งพักที่หินตรงนั้นอยู่’
ผมเถียงกลับไป แต่แทนที่จะได้คำพูดคำตอบกลับมา ก็เห็นเพียงแค่หลวงพี่ทั้งสองมองหน้ากันแปลกๆ แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟัง
‘เขานี้น่ะ เมื่อก่อนเป้นที่ธุดงค์ที่พระจากต่างทมี่ชอบมากัน เพราะมันสงบ แล้วก็มีอย่างอื่นที่น่าสนใจด้วย พระที่วัดเราก็ชอบขึ้นมา แต่เท่าที่เห็นก็เห็นแต่ว่ามีพระอาจารย์รูปเดียวที่มาอยู่ที่นี่เป็นเดือนๆ จะลงไปก็ตอนรับฉันท์เช้าเท่านั้น สงสัยเราจะได้เห็นของดีเข้าแล้วล่ะเณร’
บทพิสูจน์...บนความเชื่อ
.
.
และจากการนั่งทบทวนเรื่องราวต่างๆ ผมก็ได้พบว่า จริงๆแล้วเราโดนล้อมกรอบ เราถูกรายล้อมด้วยสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์นี้มาตั้งแต่เด็กๆ สิ่งนี้อาจเป็นอุบายอันแยบคายที่เราไม่เคยคาดไว้กันแน่นะ ไม่ใช่แค่เรา แม้แต่คนในครอบครับก็ไม่เคยรู้เลยว่าถูก ดึง ให้เข้ามาสู่เส้นทางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ปากตนบอกว่าไม่เชื่อ แต่ก็มีความสัมพัยธ์กับสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอๆ หรืออีกนัยย์หนึ่งเราอาจจะพูดได้ว่า เรา ถูกสอน และถูกเตรียมมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่เราจะรู้ ก่อนที่เราจะเฉลียวใจเสียอีก
.
.
เรื่องแรกที่จะเล่าต่อไปนี้นั้น ไม่ใช่เรื่องราวของจัวผมทั้งหมด แต่จะกล่าวถึงเรื่องราวต่างๆที่ยังคงมีอยู๋ในปัจจุบัน แต่ว่าถูกมนุษย์สงสัย และกล่าวหาว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีอยู่จริง เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ ทั้งๆที่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยหายไปไหน ไม่เคยน้อยลง มีเพียง คน ที่ไม่สามารถสัมผัสถึงสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ไม่สามารถรับรู้ถึงพวกเขาได้นั่นเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องงตอนผมอยู่ประมาณ ป.4 ตอนนั้นก็เด็กๆครับ ซนไปตามเรื่องตามราว พูดอะไรก็ไม่ค่อยคิด บ้านผมจะมีวัดอยู่วัดหนึ่งที่นับถือกันมาตั้งแต่สมัยแม่ยังสาวๆ ตอนนั้นเป็นวัดเล็กๆ เป็นวัดป่าที่มีแต่พระปฏิบัติ อยู่ในจังหวัดอุตรดิตถ์ เพราะแม่ของผมเป็นคนอุตรดิตถ์โดยกำเนิดแต่ว่ามาทำงานที่พิษณุโลก จึงมาตั้งรกรากที่นี่เลย แต่ก็ไปกลับที่บ้านเกิดอยู่บ่อยๆ ผมโตมาโดยเดินไปมาระหว่างสองจังหวัดนี้เป็นปกติ แล้ก็ถูกพามาที่วัดนี้ตั้งแต่จำความได้ โดยมีเจ้าอาวาสที่เรียกกันติดปากว่า พระอาจารย์ใหญ่ แล้วทุกครั้งที่ไปวัดก็จะโดนแกล้งบวกกกับชักชวนว่าให้มาบวชเณร แล้วครั้งหนึ่งที่พระอาจารย์ยังงแหย่ผมเล่นอยู่ ด้วยความที่พูดอะไรไม่ค่อยคิดสมัยนั้น ก็ตกปากรับคำท่านไป ว่าปิดเทอมนีจะมาบวชเณร 2 อาทิตย์
แล้วพอปิดเทอมจริงๆ พอแม่บอกว่าจะพาไปบวชแล้วนะ ผมก็ งงๆ เพราะว่าตัวเองลืมไปหมดแล้วที่พูดกับพระอาจารย์ไว้ แต่แม่ก็พูดว่า โกหกพระบาปนะ ตกนรก ตอนนั้นผมเครียดมาก ตอนนั้นไม่รู้ว่าบวชเป็นยังไง ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง รู้แต่ว่าจะไม่ได้ดูการ์ตูน จะไม่ได้ไปวิ่งเล่นกับเพื่อน จะไม่ได้อยู่บเน ไม่ได้เจอพ่อแม่ ผมก็อารมณ์เสียไปสองสามวันจนวันที่ไปบวชก็ยังอารมณ์เสียอยู่ แต่ก็พอจะดีหน่อยที่มีเพื่อนตามมาด้วยสองคน มาบวชเป็นเพื่อนกัน สุดท้ายก็ต้องไปบวชตามที่รับปากพระอาจารย์ไว้
วัดนี้เป็นวัดป่ามีพระและแม่ชีรวมกันไม่ถงสิบรูป รอบๆวัดนั้นก็มีแต่ป่าและตนไม้ ห่างไกลบ้านเรือนและผู้คนเป็นอย่างมาก ใช้คำว่า ไม่มีอะไรเลยก็ได้ แต่ก็มีโยมที่มาดูแลวัดอยู่ตลอด มาช่วยเหลือทำความสะอาดดูแลอาหารการกิน เนื่องจากวัดไกลจากตัวเมืองมากๆ แถวนั้นไม่มีอะไรเลย ไม่มีบ้านคน การบิณฑบาตรจึงเป็นไปไม่ได้เลย และวัดนี้ก็ไม่เคยมีเณรมาก่อน การที่มีเด็กน้อยสามคนมาบวรเณรจึงเป็นเรื่องสนุกของทุกคนในวัดมาก ทั้งโดนแกล้งโดนอะไรมากมาย พวกผมจะนอนอยู่ที่ศาลากลางของวัด โดยในคืนแรกที่เข้านอนนั้น ก็แอบหวาดระแวงครับ เพราะว่าตอนเด็กๆนี่กลัวผีมาก กลัวความมืด คือกลัวทุกอย่าง แล้วก็ไม่เคยไปนอนที่อื่นนอกจากบ้านด้วย ก็ทำใหนอนไม่ค่อยหลับครับ จะทำอะไรก็ไม่มีอะไรให้ทำ อย่าว่าแต่ทีวีเลย วิทยุสักเครื่องยังหาไม่ได้เลย ผมก็ได้แต่นอนพลิกไปพลิกมา ส่วนเพื่อนเณรอีกสองคนนั้นหลับไปพักนึงแล้ว เวลาเท่าไหร่ผมก็ไม่ทราบครับ ผมได้ยินเสียง เหมือนคนเดินลากเท้าอยู่ข้างนอกศาลา ผมก็กล้าๆกลัวๆ แต่เสียงนั้นก็ดังไปรอบๆตัวศาลา บอกได้ชัดเลยว่ากำลังมี ใคร บางคนเดินวนไปมาอยู่ในเวลานี้แน่ๆ ด้วยความกลัวก็เลยปลุกเพื่อนให้ตื่นแล้วค่อยๆแอบมองออกไปนอกหน้าต่างของศาลาภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้านั้นทำให้ผมกับเพื่อนตกใจเป็นยอย่างมาก ตกใจจนร้องไห้ รีบกลับมาคลุมโปงนอนกันเลยทีเดียว นั่นคือ มีขาคู่หนึ่งสีดำสนิทที่ยาวมาก สูงจนเลยสายตาไป แต่ดูออกว่าเป้นขาแน่นอน เพราะมีกริยาการย่างก้าวให้เห็น แล้วก็มีใบหน้าใหญ่ๆค่อยๆก้มลงมามอง พอใบหน้านั้นเข้ามาใวนขอบหน้าต่างในระยาที่สายตาเราเห็นได้ สติก็แตกกระเจิงแล้วรีบคลุมโปงทันทีไปจนเช้า
ในตอนเช้าหลังจากฉันท์เช้าเสร็จแล้ว พระอาจารย์ก็เรียกให้ไปคุยด้วยว่าเป้นอย่างไรบ้าง ในการนอนวัดคืนแรก นอนได้ไหม อยากเปลี่ยนที่นอนรึเปล่า
‘เมื่อคืนเจอผีหลอกครับ’ เณรทั้งสามคนตอบพร้อมกัน
‘ผีที่ไหน’ พระอาจารย์ถามแบบยิ้มๆ
‘เปรตครับ ตัวสูงใหญ่มาก ดำทั้งตัวเลย’ เด็กๆยังคงยืนยันในคำตอบเดิม
‘อ่อ นั่นไม่ใช่เปรตหรอก เป็นเจ้าป่าเจ้าเขาน่ะ เขาดูแลพื้นที่แถวนี้ ตอนพระอาจารย์จะสร้างวัดก็ไปขอเขามานี่แหละ เวลามีพระใหม่มาก็จะมาดูอย่างนี้ตลอด เจอกันมาหมดแล้ว สงสัยถูกใจเณรเข้าให้แล้ว’ พระอาจารย์ตอบด้วยอารมณ์สนุกปนขำ
ในการไปบวชครั้งนั้นผมได้รับการดูแลจาก หลวง พี่สองคน สมมติว่าชื่อ หลวงพี่ ทวี กับหลวงพี่โชคนะครับ ในตอนนั้นท่านทั้งสองก็เกือบจะสามสิลแล้ว แต่ก็ให้เรียกว่าหลวงพี่ หลวงพี่จะคอยสอนว่าต้องทำอะไรบ้างในหนึ่งวัน ในช่วงระหว่างวันว่างๆก็จะเอาหนังสือมาให้อ่าน ให้ฝึกสวดมนต์ พาไปเดินดูวัดไปทำความรู้จักกับแม่ชี กับโยมที่มาอยู๋ที่วัด แล้วก็คอยช่วยงานวัดเล็กๆน้อยๆ อย่างเช่นล้างจานเก็บขยะกวาดใบไม้ ทั้งสองท่านใจดีมากๆ หลังจากคืนนั้น 2 3 วันพวกผมก็นอนที่กุฏิของหลวงพี่โชคเพราะว่าระอวง และไม่กล้าไปนอนที่ศาลาแล้ว แต่ว่าก็เป็นกุฏิเล็กๆ สุดท้ายหลวงพี่ทั้งสองจึงยอมมานอนกับพวกผมด้วยที่ศาลา ก็อุ่นใจทำให้สามารถนอนที่ศาลานั้นต่อไปได้
ข้างๆกันกับกุฏิของหลวงพี่โชคนั้น จะมีกุฏิอีกหลังหนึ่ง เป้นของหลวงตาท่านหนึ่ง ในตอนนั้นผมไม่แม้แต่จะถามชื่อท่านไว้เลย เรียกแต่หลวงตาจนติดปาก ตอนนั้นท่านก็อายุเยอะมากแล้ว ประมาณ 70 80 ได้แล้ว ซ฿งหลวงพี่โชคก็พาผมไปนมัสการท่านที่กุฏิ ท่านดูดุมากครับในครั้งแรกที่ได้เจอกัน แล้วต่มาช่วงบ่ายๆในแต่ละวันนั้นหลวงตาจะบอกให้พวกผมสามคนมาหาที่กุฏิเพื่อฝึกสมาธิ ตอนนั้นก็ทำไม่เป็นหรอกครับ แต่ก็กลัวไม่กล้าขัดท่าน ก็ไปหาท่านทุกวัน ท่านสอนตั้งแต่ท่านั่ง การกำหนดลมหายใจ รวมไปถึงการจัดการกับความคิดของตัวเอง โดยที่ตอนนั้นตัวเองก็ไม่เข้าใจหรอกครับ ทำๆๆไปให้มันจบๆ แต่ก็แอบน้อยใจและสงสัยในบางอย่างว่า ทำไมเพื่อนผมเนี่ยชอบอู้ ชอบอ้างว่าไปทำนั่นทำนี่ ท่านก็ไม่ดุไม่ว่า ปล่อยไป แต่ผมเนี่ย ท่านไม่ปล่อยไปไหนเลย เคี่ยวเข็ญ บังคับตลอด หนีไม่รอดสักวัน ในตอนนั้นคำสอนที่พอจะเข้าใจได้ และพอจะจำได้ก็มีอยู่ว่า
‘นั่งให้สบายๆ อย่าเกร็ง ผ่อนคลายที่สุด หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ค่อยๆจับความรู้สึกที่มาสัมผัสที่ปลายจมูก มองว่าลมเข้าไปถึงตรงไหน แล้วจึงกลับออกมา ทำช้าๆ ไม่ต้องรีบ มองเห็นแสงสีขาวใช่ไหม มองไว้ แต่อย่าคิดอะไร เฝ้าดู อย่าเอาความคิดไปจับ อย่าใช้จินตนาการ อย่างสร้างภาพ ไม่เช่นนั้นจะเป็นได้เพียงของปลอม ความคิดอะไรจะผ่านเข้ามาชั่งเขา มองไป เฝ้ามองไปนิ่งๆ ได้ยินเสียงกังวานแหลมในหูไหม อย่าใส่ใจ ปล่อยเขา เขาอยากทำอะไรทำ เขาอยากคิดอะไรคิด จิต มีธรรมชาติของเขา อย่าไปฝืนอย่าไปห้าม’
หลวงตาท่านพูดเหมือนว่าท่านรับรู้ไปกับผมด้วยทุกอย่าง ซึ่งทุกคำที่หลบวงตาพูดนั้นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ตอนนั้นก็ได้แต่ทำตามท่านครับ แต่ก็แอบแปลกใจ แต่ด้วยความเป้นเด็กกระมัง เลยไม่นึกสงสัยจนเก็บมาคิดเป็นประเด็นในหัวใจ และก็โดนหลวงตาท่านกำชับว่าให้ทำอย่างนี้ทุกวัน ให้จำทุดอย่างให้ขึ้นใจ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรครับก็ฟังผ่านๆพร้อมกับคิดในใจว่า ไม่ทำหรอก ขี้เกียด ผมถูกพูดกรอกหูแบบนี้ทุกวัน พร้อมกับประโยคเดิมๆที่จะตามมาท้ายสุดเสมอๆ
‘วันนึงจะได้ใช้’
ในวันนั้นผมไม่เคยรู้เลยว่า ผมจะได้ใช้สิ่งนี้จริงๆ อาจเพราะเรื่องนั้นเกิดในตอนเด็กจนทำให้ผมลืมเลือนไปว่า เคยถูกสอนมา แต่แปลกตรงที่ผมยังจำ วิธี และความรู้สึกเหล่านั้นได้เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ต้อง เริ่ม ฝึกอย่างจริงจัง
.
.
.
ในช่วงที่บวชอยู่นั้นหลวงพี่ทั้งสองจะหาอะไรๆให้ผมทำเสมอๆ และในวันนึงผมก็ถูกหลวงพี่ทั้งสองชวนไป เที่ยว บอกว่าวันนี้จะพาไปเที่ยว ให้ไปเอาน้ำใส่ขวดติดตัวใส่ย่ามไว้ แล้วก็ไม่ต้องใส่จีวรมา เอาให้เดินง่ายที่สุด ตอนนั้นยังไม่รู้ครับ แต่คิดว่าคงสนุกกว่าการอยู่วัดเฉยๆ และการไปเที่ยวของหลวงพี่นั่นก็คือ การไปเดินขึ้นเขาที่หลังวัด เป็นเขาจริงๆครับ ภูเขาเลย ออกเดินจากวัดไปตอนหลังฉันท์เช้าเสร็จ เดินไปเรื่อยๆ ทางก็ชัน ถนนก็ไม่มี มีแต่หิน มีแต่ต้นไม้ เดินลำบากมาก เหนื่อยมาก เหนื่อยจริงๆครับ แต่ก็ตามขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยความที่เป็นเด็ก ตัวเล็ก ทำให้เดินช้า หลวงพี่ทั้งสองนำขึ้นไปก่อนแล้วแต่ก็ไม่ห่างมากเพราะชะลอรอเด็กสามคนอย่างพวกผม ผมกึ่งเดินกึ่งปีนขึ้นไปเรื่อยๆ เห็นลานหินกว้างๆสูงขึ้นไป ตอนนั้นแดดจ้ามาก เห็นสีจีวรปลายตาแว้บๆ ก็คิดว่าเป็นหลวงพี่ทั้งสอง ก็รีบปีนขึ้นไปคิดว่าหลวงพี่คงหยุดพักรอเรา ผมก็อยากพักบ้าง ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นชัดว่าเป็นจีวรแน่ๆ เพราะเห้นเป็นรูปร่างคนนั่งขัดสมาสอยู่ แต่เมื่อปีนขึ้นมาถึงข้างบ้านแล้วกลับไม่มีใครเลย มีแต่ที่โล่งๆ ว่างๆ กับหินก้อนใหญ่ๆ แบนๆที่เป็นเหมือนที่นั่ง ผมก็ งงๆ คิดว่าคงตามไม่ทันอีกแล้ว ผมปีนขึ้นไปเรื่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ก็มาถึงยอด ซึ่งมีหลวงพี่ทั้งสองยืนรอยู่
‘หลวงพี่ไม่รอผมเลย’ ผมบ่น
‘หลวงพี่ขึ้นมาบ่อยแล้ว เดินรวดเดียวก็ถึง ยังไม่ได้พักเลย’ หลวงพี่พูดเหมือนแกล้ง
‘หลวงพี่ขี้โม้ เมื่อกี้เห็นนั่งพักที่หินตรงนั้นอยู่’
ผมเถียงกลับไป แต่แทนที่จะได้คำพูดคำตอบกลับมา ก็เห็นเพียงแค่หลวงพี่ทั้งสองมองหน้ากันแปลกๆ แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟัง
‘เขานี้น่ะ เมื่อก่อนเป้นที่ธุดงค์ที่พระจากต่างทมี่ชอบมากัน เพราะมันสงบ แล้วก็มีอย่างอื่นที่น่าสนใจด้วย พระที่วัดเราก็ชอบขึ้นมา แต่เท่าที่เห็นก็เห็นแต่ว่ามีพระอาจารย์รูปเดียวที่มาอยู่ที่นี่เป็นเดือนๆ จะลงไปก็ตอนรับฉันท์เช้าเท่านั้น สงสัยเราจะได้เห็นของดีเข้าแล้วล่ะเณร’