ฟังก่อน....

หลายคนอยากเห็นในสิ่งที่มองไม่เห็น
หลายคนเห็น...ในสิ่งเหล่านั้น
อะไร...ที่ทำให้เกิดความแตกต่าง
เรา....เป็นผู้เห็น
หรือว่า ใคร ..... อยากให้เราเห็น

           ผมเชื่อว่าหลายๆคนนั้นต้องเคยมีความคิดที่อยากจะเห็น อยากรับรู้ในเรื่องราวต่างๆที่เคยได้ยินได้ฟังมาตลอดชีวิต สิ่งที่เราถูกปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็กๆ สิ่งที่หลอมรวมอยู่กับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของเรามานานแสนนาน สิ่งเหนือธรรมชาติ สิ่งที่เหนือการรับรู้ หรือที่เรามักเรียกกันติดปากว่า ผี นั่นเอง เหตุผลของแต่ละคนนั้นอาจไม่เหมือนกัน บางคนแค่อยากรู้ อยากติดต่อ หรือแม้แต่อยาก ใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ และผมเชื่อว่าหลายคนต่างมีคำถามว่า ทำไม บางคนถึงเห็น ถึงได้พบเจอในเรื่องราวของสิ่งเหล่านี้
          ผมก็เป็นคนหนึ่ง ที่เห็น ในสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เหนือการพิสูจน์หรือความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ใดๆ คนอย่างพวกผมหากพูดอย่างหยาบๆ จะแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1 คนที่เห็นมาตั้งแต่ต้น   2 คนที่เห็นเพราะผ่านการปฏิบัติหรือพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ตัวผมนั้นจัดอยู่ในคนจำพวกที่ 1 เพราะผมเริ่มเห็นในสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่จำความได้ แต่ในชีวิตที่ผ่านมาอาจจะเป็นเวลาไม่มาก แต่ผมก็พอจะผ่านเรื่องราวมามากมายพอสมควร ในเรื่องราวเหล่านั้น ผมได้รู้จักกับหลายๆคนที่ เห็น เหมือนกัน แต่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ต้น แต่เกิดจากการปฏิบัติสมาธิ เกือบทั้งหมดในคนเหล่านั้นเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ทที่เดินตามเส้นทางบุญหรือคำสอนของพระพุทธเจ้า และอีกส่วนนึงคือผู้ที่ผ่านการปฏิบัติมาเช่นกัน แต่เป็น อวิชชา สิ่งที่ผมกำลังจะบอกทุกๆท่านนั้นคือ ทุกๆคนสามารถ เห็น และรับรู้ในสิ่งเหล่านี้ได้ หากคิดในทางกลับกัน หากเราไม่เคยได้เรียนหนังสือ ไม่เคยศึกษาในวิทยาสาสตร์ ก็ไม่อาจจะเข้าใจในหลักการหรือทฤษฎีต่างๆได้ ไม่ต่างกันกับเรื่องฝั่งนี้ หากคุณไม่เคยได้ลองศึกาหรือปฏิบัติ คุณก็ไม่มีทางที่จะรับรู้หรือพิสูจน์ในสิ่งเหล่านี้ได้ หากแต่สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เห็นผลทันตาอาจกินเวลาเป็นปี หรือหลายปี หรือแม้แต่ทั้งชีวิต หลายคนตราหน้าเรื่องาวเหล่านี้ว่า งมงาย ผมอยากขอทุกๆท่านไว้ตรงนี้ว่า อย่าพึ่งกล่าวหาในสิ่งนี้ว่างมงาย อยากขอให้ท่านได้ลองฟัง ลองศึกษา ในสิ่งนี้ดูก่อน หากท่านได้ผ่านการศึกษาในสิ่งเหล่านี้แล้วจะรับรู้ได้ว่า นี่ไม่ใช่สิ่งงมงาย ทุกอย่างมีเหตุและผม มีต้นกำเนิด และจุดจบไม่ต่างจากวิทยาสาสตร์ หากคุรเชื่อในวิทยาศาสตร์อย่างลหลับหูหลับตาเชื่อ ไม่ว่าเขาพูดมาว่าอะไรก้เชื่อไปหมด คุณก็คงเป็นคนนึงที่ งมงาย ในวิทยาศาสตร์ ซึ่งในหลักการของวิทยาสาสตร์นั้นก็สอนให้เรา พิสูจน์ ก่อนที่จะเชื่อเสมอ ตัวผมนั้นเรียนสายวิทยาศาสตร์มาโดยตลอดชีวิต และก็เป็นอีกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่ไม่สามารถพิสูจน์ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้ แน่นอนว่า ผมไม่ได้เชื่อมาตั้งแต่แรก ผมได้พิสูจน์แล้วในสิ่งเหล่านี้ และผมก็ได้รับในคำตอบนั้น
          หลายคนมองว่าเรื่องราวเหล่านี้ งมงาย หรือเป็นพิษภัยต่อสังคม เป็นสิ่งที่ทำให้ความเจริญเสื่อมถอยไป ผมไม่เถียงในความคิดเหล่านี้ของพวกท่านทุกคน เพราะในปัจจุบันนี้มีผู้คนมากมายที่หากินกับสิ่งเหล่านี้ หากินในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ บางครั้งถึงขั้นเอาชีวิตกัน หาเงินหาทอง ลัทธิต่างๆที่มอมเมาผู้คน หลอกให้เชื่อ และหาประโยชน์จากศรัทธานั้น ผู้คนเหล่านี้ทำให้ทุกๆอย่างดูเลวร้ายลงเป็นอย่างมาก แต่ในทางกลับกัน ก็มีอีกลายคนที่อาศัยเรื่องราวเหล่านี้ในการ ช่วยเหลือผู้คนหรือดวงวิญญาณต่างๆ แต่อย่างว่าล่ะครับ ทำดีร้อยครั้งก็ไม่เท่าทำชั่วครั้งเดียว ก็โดนเหมารวมกันไปหมด ทำให้หลายๆคนที่มีเจตนาดีก็ท้อกันไปเป็นอย่างมาก ถอดใจไปก็มี หรือไม่ก็ไม่กล้าที่จะเปิดเผย หรือเปิดตัวออกมา เพราะกลัวการตอบกลับของสังคม แต่ผมยกย่องในผู้คนหลายๆคนที่ กล้า ก้าวออกมาสู่โลกเบื้องหน้า กล้าท้าทาย กล้าที่จะเดินสวนกระแส ยอมเสียสละตนเอง ยอมสละชีวิตประจำวัน สิ่งที่เรียกว่า ปกติ ยอมที่จะโดนโจมตีและเสียงนินทามากมาย เพื่อสิ่งที่เขามุ่งหวังในการกระทำของเขา สิ่งที่มากกว่าคำติฉินนินทาของ คนอื่นๆ ยึดมั่นในสิ่งที่ตนเชื่อ และเดินไปตามทางนั้นอย่างยากลำบาก บางครั้งผมก็เคยคิดแทนพวกเขาว่า เขาจะเหนื่อยกันบ้างไหม ที่ต้องมาคอยโดนคนทั้งประเทศจับผิด ทำดีไปเท่าไหร่ก็โดนด่าทอเสียๆหายๆ ว่าหลอกลวงมอมเมา ทั้งๆที่มันเหนื่อยและรู้สึกแย่มากเท่าไหร่ ผมก็เป็นคนนึงที่ยัง ไม่กล้า จะเดินออกไปสู่โลกเบื้องหน้า ผมยังคงทำงานให้ฝั่งนี้อยู่ในโลกเบื้องหลัง คอยช่วยเหลือผู้คนและเหล่าดวงวิญญาณที่ ท่าน พามาหรือสั่งให้ผมทำ คนที่รู้เรื่องราวของผมนั้นมีอยู่ไม่มาก เพราะตัวผมนั้นไม่โดดเด่นหรือเป็นที่สะดุดตาใดๆ ผมไม่เคยโฆษณาหรืออวดอ้างสิ่งใดที่ตนมีหรือทำได้ ผมพยายามอยู่อย่างเงียบๆในมุมหนึ่งของสังคม หลายครั้งที่ผมถูกเชื้อเชิญให้ ก้าวออกมา สู่โลกเบื้องหน้า ซึ่งผมก็ไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้น บางครั้งถูกเชื้อเชิญด้วย งาน หรือสิ่งที่ต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น คนที่เราไปช่วยเหลือนั้นเขามีหน้ามีตาในสังคมเป็นคนใหญ่คนโต ไม่แปลกหากเรื่องมันจะลุกลามไปปากต่อปาก บางครั้งก็ถูกเชื้อเชิญด้วย เงิน ซึ่งเป็นอะไรที่ผมปฏิเสธอยู่แล้ว คนใกล้ตัวผมจะรู้ดีว่าผมจะไม่แตะต้องเงินที่ได้มาจากเรื่องทางนี้เลย
       หากย้อนไปในสมัยโบราณนั้น ในสมัยที่ผู้คนยังไม่รู้จักเรื่องราวอะไรในโลกมากมายนะ ในสมัยที่ พุทธศาสนายังไม่เป็นที่รู้จักมากมาย ในสมัยที่ยังไม่มี เงินตรา เทคโนโลยี การฆ่าฟัน หรือ กิเลสต่างๆมากมายคอยยั่วยุผู้คน ในสมัยนั้น คน สามารถมองเห็น และติดต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านี้ได้อย่างปกติ เป็นเสมือนเรื่องธรรมดา เพราะคนสมัยนั้นอาศัยอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับสัจจะธรรมความเป็นจริง การที่จะเห็น หรือสามารถติดต่อกันได้นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป จิตใจของ คน ค่อยๆต่ำลง กิเลสที่มากขึ้นค่อยๆก่อตัว ปกคลุม ทำให้คนเราไม่สามารถติดต่อกับทางนั้นได้อีก ฟากนั้น มองเห็น และได้ยินเราเสมอ มีเพียงเราที่ไม่สามารถรับรู้ได้เอง หลายคนที่ยังคงมองเห็นและรับรู้ได้ อาจเป็นเพราะ ของเก่า ที่สั่งสมมาข้ามภพข้ามชาติ หรือ แม้แต่ภาระหน้าที่ที่ติดตัวมา ในสมัยนี้จึงกลายเป็น ตัวประหลาด
       เป็นเวลาหลายปีที่ผมเดินมาบนเส้นทางนี้ อยู่เบื้องหลัง และในวันหนึ่งผมก็ถูกเสนอด้วย งาน ชิ้นหนึ่งที่ตัวผมเองนั้นยังไม่แน่ใจเสียด้วยซ้ำว่า ผม จะสามารถทำได้ ไม่เคยแน่ใจในตัวเองเลยว่า ผม จะเหมาะสมและมีค่ามากพอต่องานชิ้นนี้ แม้นี่จะไม่ใช่ หน้าที่หลัก แต่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มันติดอยู่ในใจผมมาตลอดตั้งแต่สมัยเด็กๆ ผมนั้นจะมีความรู้สึกต่ออะไรที่เกี่ยวกับเรื่องเก่าๆ สมัยก่อนเป็นอย่างมาก เช่นเด็กๆก็เคยงอแงๆขอให้แม่พาไปดูบางระจัน บางระจันตั้งแต่รุ่นแรก สมัยโน้นที่โรงหนังบ้านเรายังไม่ค่อยดีเลย ตอนนั้น ไม่แน่ใจว่าประถมหรืออนุบาลนี่แหละ ดูแล้วก็อิน ก็ร้องไห้ แล้วชอบฟังชอบให้แม่เล่าเรื่องเก่ากับเหล่าผู้คนที่ช่วยกันกู้ชาติให้เรา พอโตมาหน่อย ถ้าทุกคนเคยเห็นนะครับ จะเป็นหนังสือการ์ตูนไทยที่จะเป็นเรื่องราวของวีรบุรุษไทยในสมัยก่อนแบบเล่มเดียวจบ ผมชอบมากๆ ถึงกับเก็บตังคฺซื้อจนครบทุกเล่มเลย ต่อมาหน่อยสิ่งที่ฝังใจมากก คือ พระสุริโยไทย ผมชอบมาก ชอบมากๆ ต่อมาก็แน่นอนครับ ตามดูพระนเรศวร แต่ตอนนี้ยังดูไม่ครบทุกภาคเลย แล้วเวลาไปไหว้ศาลของท่านเหล่านี้ก็จะชอบนั่งมองนั่งเหม่ออยู่พักใหญ่ บางครั้งก็ได้เห็นเรื่องราวในสมัยนั้นบ้าง และงานที่ถูกเสนอมานั้นก็เป็นอะไรที่ผมก็ไม่ค่อยกล้ารับปากในครั้งแรก นั่นคือ การบอกเล่าเรื่องราวของ บูรพมหากษัตริย์ไทยที่ทุกๆคนร็จักกันดี และมีลงตามหนังสือเรียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งบางอย่างที่ผมได้รับรู้นั้น มันไม่เหมือนกับที่ผมเคยเรียนมาในประวัติศาสตร์สักเท่าไหร่ ในตอนนั้นผมไม่รู้ว่า ผมจะเอาอะไรไปเล่าให้ชาวบ้านเขาฟัง เพราะผมก็รู้เท่าที่ได้เรียนมา ไม่ก็ดูหนัง ฟังเขาเล่า จนในวันหนึ่ง ผมนอนหลับอยู่ที่บ้าน ผมก็ฝันเห็นเมืองเก่า เห็นผู้คนในสมัยนั้น ผมเดินไปตามทาง ราวกับว่าผมรู้จักเส้นทางนี้ ผมรู้ปลายทาง ผมรู้ว่าต้องเดินไปที่ไหน เพื่อไปพบใคร เมื่อไปถึงผมก็ได้พบกับคนที่ผมคุ้นเคยและคุ้นหน้าคุ้นตา ท่าน ประทับอยู่บนบัลลังก์ สวยงาม ผมก้มกราบลงที่เท้าท่านก่อนที่ท่านจะตรัสกับผมว่า
‘เราไม่ชินกับวังสวยๆสักที เราไปคุยที่ที่เราคุ้นเคยกันดีกว่า’
       ภาพทุกอย่างถูกตัดไปเป็นภาพทุ่งหญ้าโล่งๆ มีกระโจมทำจากฟาง และหนังสัตว์ บางส่วนเป้นผ้า เหล่าทหารมากมายกำลังพักผ่อนกัน บ้างก็บาดเจ็บ กองศพกองพะเนินเหมือนภูเขา
‘ตัวเราคงไม่มีวาสนาได้นั่งกินนอนกินอยู่ในวัง แต่เราคิดว่า ที่นี่ คงเหมาะกับเรามากกว่า’
       ร่างของชายหนุ่มร่างใหญ่กำยำผิวคล้ำกรำแดดจนเกือบดำ ร่างนั้นสนทนากับผมอยู่พักนึงถึงเรื่องราวต่างๆ ท่านให้ผมได้เห็น ส่วนนึงของชีวิตที่ผ่านมา ส่วนนึงที่เคยได้เกี่ยวข้องและรับใช้อยู่ใต้เบื้องบาตรของท่าน หากแต่ ผมก็ไม่สามารถอยู่ในเวลานั้นได้นานพอ ผมถูก ท่าน ที่เป็นเจ้าของวิญญาณผม เรียกกลับเสียก่อน เพื่อเตรียมการในงานข้างหน้าต่อไป เมื่อผมได้รับรู้เรื่องราวเหล่านั้น ผมได้รู้แล้วว่า นอกจากหน้าที่หลักที่ผมถูกส่งมา ผมยังมีภาระหน้าที่ที่ผมทำมันไม่ลุล่วงเหลืออยู๋ และนี่ก็คือคำตอบให้ผมตกลงทำ งาน นี้ แม้มันจะไม่มากมาย ผมอาจจะโดนด่า โดนกล่าวหาอย่างไรก็ตามแต่ ผมจะลองพยายามทำมันดู แต่ผมก็ยังไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวตน อย่างไรก็ตามผมคิดว่า ตัวผมจะเป็นใคร มันคงไม่ใช้เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญ คือเรื่องราวที่ผมต้องการจะบอกเล่าออกไป หากผมคือสะพานของทั้งสองโลก ผมก็ขอทำให้มันลุล่วง ไม่ใช่ผมคนเดียว ยังมีคนที่เป็นเหมือนผมอีกมากมายที่พยายามเหมือนกับผมอยู่ แม้เราจะไม่รู้จักกัน แต่ผมเชื่อว่า ยังมีผู้คนอีกมากมายที่พยายามทำในสิ่งเดียวกับผม เรื่องนี้เป็นหนึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้ผมเลือกมาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ด้วยความ เต็มใจ ผมมาอยู่ที่นี่เพื่อต้องการที่จะกลับมารับใช้ท่านอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำสิ่งที่มันค้างคาอยู่ให้ลุล่วงไป นอกจาก พระนเรศวรแล้วยังมีเรื่องราวของหลายๆท่านที่ผมจะนำมา บอกต่อ แต่ผมขอเวลาในการเรียบเรียงยหน่อยนะครับ เพราะจะเล่าอะไรแบบนี้ออกไป ก็อยากทำให้มันดีๆ เรื่องเล่าของผมนั้นไม่มีสิ่งใดพิสูจน์ได้ ผมไม่ขอให้ท่านผู้อ่านทุกคน เชื่อ ในสิ่งที่ผมเล่า ผมไม่ได้หวังให้ท่านเชื่อ เพียงแต่หวังว่า ท่านจะเก็บสักเศษเสี้ยวหนึ่งของเรื่องราววีรกรรมของทุกๆท่านที่สละชีพเพื่อช่ติไปนั้นกลับไปคิด ไปทบทวน และกลับมาทำอะไรเพื่อผืนแผ่นดินที่เรายืนอยู่นี้บ้าง หรืออย่างน้อยหากมันเป็นเรื่องราวที่ ทุกๆท่านอยากบอกเล่าให้ชนรุ่นหลังงได้ฟัง ใครจะรู้ว่าขณะนี้ พวกท่าน เศร้าใจเพียงใดที่เห็นลูกหลานทำได้แค่แก่งแย่งชิงดีนึกถึงแต่ตัวเองและเงินทอง โลกในปัจจุบันนั้นไม่ใช่โลกที่ทุกท่านหวังไว้เลย บ้านเมืองที่สงบสุข ผู้คนมีน้ำใจ ยิ้มให้กัน การแบ่งปันที่ไม่สิ้นสุด ผู้ใหญ่ที่คิดถึงลูกหลาน วางรากฐานให้คนรุ่นหลังนั้น ประเทศแบบนั้นมันตายไปแล้วหรือ
แต่ถ้าหากเรื่องนี้มันไม่ถูกใจท่านทั้งหลายก็ขอเพียงทุกท่านได้ อ่าน และปล่อยให้มันผ่านตาไปก็เพียงพอ
.....................................................................
ข้าแต่บูรพมหากษัตริย์ทุกๆพระองค์
ข้านั้นเป็นเพียงมนุษย์เดินดินอันต่ำต้อย
คงมิอาจเล่าขานเรื่องราวของท่านได้อย่างหมดจบสมบูรณ์
พระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นเหลือประมาณ
ข้านั้นเปรียบดังหินก้อนเล็กๆ...ที่ถูกโยนลงในมหาสมุทร
ตัวข้ามิอาจก่อเกิดคลื่นยักษ์...คงเป็นเพียงระรอกน้ำวงเล็กๆ
ไม่อาจเปลี่ยนแปลง...หรือสร้างสิ่งใดได้
แต่หากระรอกน้ำนั้นคือสิ่งที่ข้า...ทำได้
ข้าจะขอทำอย่างไม่ลังเล...หวังเพียงว่า
ใครสักคนสังเกตุเห็น...และจดจำระรอกน้ำนั้น
แลเล่าขานเรื่องราวของวีรชนไปจนชั่วลูกชั่วหลาน
..................................................................

ถวายบังคม ณ เบื้องบาท
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่