คิดสักนิด...

สวัสดีทุกๆคนนะครับ ขอโทษที่หายไปนานเลย เรียนหนักมากๆ ไม่รู้ยังมีคนอ่านกันอยู่ไหม หลังจากเรื่องล่าสุดที่ได้เขียนไป ก็มีอะไรกลับมาเยอะนะครับ ทั้งดีและไม่ดี แต่ก็ดีใจที่มีหลังไมค์หลายท่านที่ส่งมาคุยกัน แล้วก็ยินดีในสิ่งที่หลายๆท่านพบเจอและได้รับ อย่างน้อยเด็กผู้ชายคนนึงก็ยังพอสร้างประโยชน์ให้ใครได้บ้าง แล้วผมก็เรียนรู้จากการสนทนากับทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านไปในตัว มีอะไรก็มาคุยกันได้ครับผม ผมยินดี แต่เช่นเคยครับ ผมขอบอกอย่าง ชัดเจน อีกครั้งว่า
‘ผม ไม่ได้รับดูดวง หรือว่า แก้กรรม’ นะครับ เพราะก็มีเข้ามาตลอดเลย ผมขออนุญาตไม่ตอบในรูปแบบนี้นะครับ หลายๆคนก็คงเคืองๆผมไปเหมือนกัน เหตุผลที่ผมไม่รับตรงนี้เพราะว่า อย่างที่ทุกคนรู้นะครับว่าถ้าต้องทำอะไรแบบนี้ผมต้องมี ค่าครู เพื่อป้องกันตัวเองในระดับนึง แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นหรอกครับ ไม่ใช่ว่าถ้าโอนให้ก็จะรับอะไรอย่างนี้นะครับ หลักๆที่ไม่อยาก รับ ผ่านทางโวเชียลแบบนี้เพราะว่า เราไม่ได้พบหน้ากันโดยตรง ความผิดพลาด ขอบเขต มันก็น้อยลงไปเยอะ ผมร็ผมเห็นบางอย่างได้ผ่าน ตัวหนังสือที่ส่งมา วดป เกิด แต่ผมก็ไม่สบายใจที่จะตอบอะไรหรือบอกอะไรที่มันเกี่ยวข้งกับ ชีวิต หรือบุญกรรมของใคร ผ่านทางนี้ มันดูไม่รับผิดชอบ มันส่งเดชยังไงไม่รู้ ถ้าเรามีโอกาสได้ เจอ กัน ผมไม่เกี่ยวครับ ยินดีช่วย ขอบคุณครับผม
        เรื่องที่จะเล่าในวันนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมได้พบเจอมาเมื่อไม่นานเท่าไหร่ ประมาณ 2 ปี เป็นอีกเรื่องที่ผมต้องปรับความคิด ทัศนะคติใหม่ และตอนนั้นยังเป็นช่วงที่เป็นเหมือนเด็กหัดเดินอยู่ด้วย ก็เลยโดนสอนโดนสั่งเยอะแยะไปหมด แต่ก็ยังดีครับที่ชีวิตส่วนตัวของผมไม่ได้หายไป นับว่าเป็นความใจดีของ ท่าน ด้วยเช่นกัน ตอนนั้นมันว่างๆละครับปิดเทอม ไม่ได้มีเรียนมีอะไร มีคนชวนไปวัด ตอนแรกกะว่าจะไปอยู่ยาวๆ สักอาทิตย์นึง แต่ก็ติดธุระจนไม่สามารถไปอยู่ได้ยาวขนาดนั้น แต่ด้วยความที่ตั้งใจแล้วก็อยากไปให้ได้กันครับ ตอนนั้นตัวผมไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ แต่ก็ต้องไปครับ เพราะโดน บังคับ ไม่งั้นคงเป็นเรื่องแน่ๆ เลยสรุปได้ว่าไปแค่ 1 วัน 1 คืน
        วันนั้นสวยงามครับ ผมชอบตรงที่ยังมีป่ามีอะไรอยู่ร่มรื่นมาก เป็นวัดที่สงบดีมาก ผมเดินเข้าไปก็มีอะไรหลายๆอย่างให้ได้พบเห็นครับ ระหว่างปฏิบัติธรรมตามที่เขาสอนกัน ก็มีทุกอย่างตั้งแต่สวดมนต์ เดินจงกลมนั่งสมาธิ ฟังเทศน์ แล้วก็ตอนเย็นๆมีให้ช่วยกันกวาดลานวัด ระหว่างกวาดไปนั้นก็มีอะไรให้ได้มองเยอะครับ ทั้งดีและ ไม่ดี พระบางท่านตั้งใจกวาดลานวัดพลางสวดมนต์ไปด้วย บ้างก็ไปชวนเด็กวัดมาช่วยกันทำ บ้างให้ข้าวหมาวัด เลี้ยงอย่างเอ็นดูและให้ความรักความเอาใจใส่มาก แต่ก็มีบางพวกที่ไม่ได้มาช่วยกันกวาดวัด แม้จะอยู่ในผ้าเหลืองแต่ทำแค่ยืนมอง สูบบุหรี่ไปเรื่อยๆ บ้างก็เดินไปร้านขายของ ใช้เงิน ซื้อสิ่งของที่อยากได้ ผมก็หกหู่เล็กน้อย เพราะในตอนนั้นผมก็เป็นคนนึงที่ไม่ค่อยจะเลื่อมใสในผ้าเหลืองมากนัก มีข่าวพระอย่างนั้นอย่างนี้แทบทุกวัน บางครั้งไปทำบุญก็ยังคงคิดว่า เขาเอาเงินเราไปทำบุญจริงรึเปล่า ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วก็ก้มหน้าก้มตากวาดลานวัดต่อไปเรื่อยๆ
        หลังจากทำวัตรเย็นและนั่งสมาธิเสร็จแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายไปนอน บางส่วนก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือเพื่อไปหาความรู้ศึกษาพระธรรมกัน ตอนนั้นผมไม่มีอะไรทำ เวลาก็ยังไม่ดึกมากเท่าไร ผมก็เลยเดินเล่นไปเรื่อยๆ อากาศดีมากครับ มีลมอ่อนๆ เดินไปเรื่อยๆก็ได้ที่เหมาะๆคือ เป็นศาลาเล็กๆ แล้วมีหมานอนหลับอยู๋เต็มเลย ผมเดินเข้าไปนั่งเล่นกับพวกมันอยู่นานสองนานจนมีหลวงพี่มาหาอาหารมันรอบดึก หลังจากพวกมันวิ่งไปกินข้าวหันอย่างดีใจ ผมเลยพิงเสาศาลาตรงนั้นมองไปบนท้องฟ้า มีดาวให้ดูสวยครับ พพระจันทร์ก็สวย มันเงียบสงบดีเหลือเกิน มันไม่เหมือนตัวเมืองเลย มีแต่ความเครียด มีแต่ปูน รถรา ความเห็นแก่ตัว ความเร่งรีบ ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด ที่นี่ทำให้ผมผ่อนคลายมาก สงสัยจะมากเกินไปหน่อย ผมเลยเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้
  ตื่น....
        ผมถูกปลุกด้วยเสียงที่คุ้นเคย เสียงนั้นดังมาจากข้างในหัวเลยไม่จำเป็นต้องเรียกซ้ำๆให้ได้ยิน ผมลืมตามาพบว่าตัวเองยังคงพิงเสาศาลอยู่อย่างนั้นพร้อมกับพลพรรคน้องหมาที่มานอนเป็นเพื่อนกันเต็มเลย ผมอมยิ้มนิดๆแล้วค่อยๆดันหมาตัวอ้วนที่นอนเกยขาผมอยู่ออกไป ผมเดินออกมาจากศาลานั้น ผมเดินไปตามทางเรื่อยๆ มองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนั้นตี1กว่า วัดเงียบสงบไปหมด ไม่มีผู้คนหรือใครแล้ว กุฏิทุกหลังปิดไฟหมดแล้ว เพราะทุกคนรู้หน้าที่ของตนว่ามีกิจเช้า เหล่าฆารวาษที่มาปฏิบัติธรรมก็ปิดไฟนอนกันหมดด้วยความเกรงใจว่าจะไปรบกวนพระท่าน ผมเดินไปเรื่อยๆตามทางดินเล็กๆ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความเงียบนั้น นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง นานเท่าไหร่ที่เราลืมไปว่าเสียงจักจั่นนั้นเพราะขนาดไหน เสียงใบไม้ที่เสียดสีกันผ่านสายลมมันช่วยผ่อนคลายเราได้ดีขนาดไหน ผมเดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ จนสัมผัสได้ถึงความเย็นของต้นไม้ ผมค่อยๆนั่งลงกับพื้นถอดรองเท้าออก นั่งเหม่อมองไปรอบๆตัว ตักตวงความสุขที่ไม่อาจหาได้จากตัวเมืองเก็บไว้ในสมุดความทรงจำอย่างเต็มที่ แม้ที่นี่จะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว หรือห้างสวยหรู แต่ที่นี่ก็มีหลายอย่างที่หาซื้อไม่ได้ด้วยเงิน
ว่างหรือ...
สุระเสียงนั้นดังขึ้นในหัวของผม ผมตอบรับกลับไปสั้นๆว่า ครับ
ลองนั่งสมาธิหน่อยไหม... โอกาสแบบนี้หายากนะ
         ผมตอบรับในคำเชิญชวนนั้นเพราะมันก็จริงของ ท่าน คงไม่ง่ายนักกับการพบเจอบรรยากาศแบบนี้ แล้วผมก็ว่าง อีกอย่างคือที่นี่คือ วัด ผมจะมีอะไรให้ทำได้อีก ผมค่อยๆจัดท่าทางให้เหมาะสมและสบายตัว ค่อยๆหลับตาลงช้า ผมค่อยๆกำหนดดูลมหายใจแล้วปล่อยให้จิตดิ่งลึกลงสู่ห้วงแห่งความเงียบ เสียงของบรรยากาศรอบตัวนั้นชัดเจน เสียงเพลงของธรรมชาติค่อยๆบรรเลงลอยผ่านเข้ามาในหู เสียงลม เสียงน้ำ เสียงใบไม้ เสียงของชีวิตเล็กๆที่ยังไม่หลับนอนผสมกันอย่างไพเราะ ผมปล่อยให้เสียงนั้นผ่านไปจนหูเราไม่ได้ยินอะไรอีก เมื่อสมาธินิ่งพอในระดับหนึ่ง เวลานานเท่าไหร่ไม่รู้จนผมค่อยๆรู้สึกตัวอย่างช้าๆ ด้วยสิ่งแปลกปลอมที่ผ่านเข้ามาในประสาทสัมผัสของผม
         กลิ่นเหม็นคาว เหมือนของเน่าลอยมาตะจมูก สายลมที่เข้ามาปะทะอย่างมีน้ำหนัก บ่งบอกว่ามีบางอย่าง เพิ่งเดินผ่านเราไป ผมมองหาที่มาของกลิ่นนั้น แล้วผมก็ได้พบกับบางอย่างที่ทำให้ผมตกใจและผงะไปชั่วครู่ ภาพที่ผมเห็นนั้นยังคงติดตาและชัดเจนในใจผมเหลือเกิน เนื่องจากมันเป็นภาพที่ไม่น่าดู และขัดแย้งกันพอสมควร
          ภาพของเงาร่างหนึ่ง สูง ใหญ่ ดำทะมึน ร่างนั้นสูงประมาณตึก 2 ถึง 3 ชั้นได้กระมัง ร่างนั้นค่อยๆก้าวขาที่ยาวเก้งก้างออกไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ร่างนั้นโครงเครงบอกถึงความไม่มั่นคงสองมือที่ใหญ่ผิดปกติ กวัดแกว่งไปมาราวกับพยายามควานหาอะไรบางอย่าง ในตอนแรกผมมองเห็นเงาดำนั้นได้ไม่ชัดนัก แต่เพียงเวลาไม่นานร่างนั้นก็เดินผ่านข้างหลังต้นไม้ที่ผมนั่งอยู๋ไป แสงจันทร์ทำให้ผมมองเห็น เขา ได้อย่างชัดเจน และกลิ่นที่ปะทุรุนแรงเข้ามาในจมูกทำให้ผมเวียนหัวเล็กน้อย ร่างนั้นเดินไปมาพร้อมกับเสียงครรางในลำคอ อือ..... อือ.... ฟังดีๆคล้ายกับคนร้องไห้ สักพักเสียงครางทุ้มต่ำในลำคอก็เปลี่ยนเป็นเสียงเล็กแหลม แหวกผ่านอากาศมาจนแสบแก้วหู เสียงนั้นดัง และฟังดูทรมานอย่างมาก เนื้อตัวของเขานั้นเต็มไปด้วยแผลพุพอง เนื้อหนังเน่าๆที่เละเทะน่าเกลียด น้ำหนองและเลือด หยาดเยิ้มไปทั่วร่างกาย ผิวหนังที่แห้งจนติดกระดูก แต่ท้องกลับป่องจนกลม หัวนั้นมีเส้นผมอยู๋เพียงไม่กี่เส้น ตานั้นลึกโบ๋และเยิ้มไปด้วยน้ำหนอง ปากที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่รู้ว่ามีอยู่จากเสียงเล็กแหลมนั้น และสิ่งหนึ่งที่ขัดแย้งในสายตาของผมมากก็คือ บนร่างกายของร่างนั้นมีสิ่งหนึ่งที่ไม่น่ามีอยู๋ปรากฏให้เห็น ผมพยายามมองอย่างละเอียด ก็ไม่สามารถปฏิเสธิในสิ่งที่เห็นจากสายตาได้ ผ้าเหลืองเก่าๆที่ปกคลุมร่างกายบางส่วนอยู่ แม้ว่าผ้านั้นจะเก่า และเปรอะเปื้อนน้ำเลือดน้ำหนอง ขาดวิ่นจนแทบไม่เหลือสภาพเดิมแต่ก็ดูออกได้ว่า นั่นคือ ผ้าเหลือง แน่ๆ
           จากความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย ว่าสิ่งใดที่ทำให้ เขา กลายมาเป็นแบบนี้ นี่อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้เห็น เปรต แต่แบบนี้ก็พึ่งเคยเห็นนี่แหละ ผมเฝ้ามองเขาอยู่ชั่วครู่ ร่างนั้นค่อยๆก้าวขาออกไปทีละข้าง เอามือลูบตามตัวราวกับจะแสดงออกว่า มันเจ็บ มันทรมาน ร่างนั้นเดินไปเรื่อยจนไปเจอถาดอาหารหมาที่เป็นเศษอาหารรวมๆกัน ร่างนั้นพยายามก้มลงไปทำท่าเหมือนจะกินแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ร่างนั้นเริ่มร้องครวญครางด้วยความทรมานอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่หน้า โบสถ์ ร่างนั้นย่อตัวลงนั่งยองๆ ยกมือไหว้ขึ้นท่วมหัว แล้วส่งเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ สลับกับการก้มลงกราบที่หน้าโบสถ์นั้น ซ้ำแล้ว... ซ้ำเล่า  
             ความสงสารปรากฏขึ้นในจิตใจ ผมมองไปที่ภาพตรงหน้าแล้ว แผ่เมตตาให้เขา หวังว่าเขาจะได้รับมันบ้าง เพียงสักนิด เพื่อที่เขาจะได้พ้นจากความทุกข์ทรมาน เมื่อผมแผ่เมตตาเสร็จ ผิวหนังของเขาดูดีขึ้น แผลพุพองจางลง ท่าทางของเขาแสดงออกว่า ความทรมานได้ทุเลาลงแล้ว แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ ยิ้ม แผลต่างๆมากมายก็เกิดขึ้นมาอีก แผลนั้นกลับมาสร้างความทรมานให้เขาอีกครั้ง เหมือนเป็นการบอกรู้ว่า เราช่วยเขาไม่ได้ ร่างนั้นยกคงยกมือไหว้ สลับกับก้มลงกราบที่ประตูหน้าโบสถ์ เสียงครวญครางดังไปทั่วบริเวรแต่ไม่สามารถแปลออกได้ว่า เขา พูดอะไร
เขาทำอะไรไว้กันแน่นะ ถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้...   ผมคิดในใจด้วยความสงสัย
อยากรู้หรือ... สุระเสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับวีดีโอม้วนหนึ่งที่ฉายเข้ามาในจิตใต้สำนึกของผม
             ภาพของชายวัยกลางคนตกแต่งร่างกายด้วยรอยสักนับไม่ถ้วน ผ้าเหลืองที่นุ่งอยู่อย่างลวกๆโดยไม่มีความปราณีต จากสิ่งที่เห็นจิตใจของผมก็เกิดความคิดอคติขึ้นในทันที จากนั้นภาพก็ค่อยๆฉายเรื่องราวต่างๆให้ผมได้ดู ชายคนนี้แม้จะอยู่ในผ้าเหลืองแต่ก็มิได้มีการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม หรือศึกษาในพระธรรมแต่อย่างใด ในเริ่มแรกนั้น เขาได้รับเงินทำบุญจากญาติโยมโดยส่วนมากแล้ว ก็มีบ้างที่พระจะเก็บไว้ใช้จ่ายเพื่อสิ่งจำเป็นส่วนบุคคล และนำส่วนที่เหลือไปรวมกองกลางเพื่อพัฒนาวัด เพราะ พระ นั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้ เงิน อยู่แล้ว แต่ชายคนนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้น ชายคนนี้หากได้เงินทำบุญเช่นจากการใส่บาตรหรือญาติโยมมาถวายก็จะแอบเก็บไว้เป็นของส่วนตัวเสมอๆ นอกจากนั้นยังนำเงินที่ได้มานั้นไปใช้จ่ายซื้อของที่ตัวเองอยากได้ แม้จะไม่ใช่ของแพงหรืออะไรแต่เขาก็ใช้มันเพื่อความสุขส่วนตัว และเมื่อไหร่ที่ไม่ค่อยมีคนมาทำบุญ ก็จะแอบไปหยิบเงินจากกองผ้าป่า หรือเงินกองกลางในบางครั้ง นอกจากเรื่องเงินๆทองๆแล้ว ชายคนนี้ยังไม่เคยที่จะศึกษาในพระธรรมคำสั่งสอนแต่อย่างใด เวลาที่ต้องมาทำวัตรหรืองานบุญก็จะสักๆแต่ว่าทำให้มันผ่านๆไป ให้มันจบๆไป หมาแมวในวัดก็ไม่เคยจะเอ็นดู ไล่ตีไล่เตะเพราะความรำคาญ บ่อยครั้งที่แอบเอาของวัดมาหลอกญาติโยมให้จ่ายเงินบูชา ทำของขังแจกญาติโยม เวลามีญาติโยมผู้หญิงมาถวายปัจจัยก็จะมองเขาในทางชู้สาว ด้วยตัณหา เรียกได้ว่าไม่เคย ละทางโลกเลยสักนิด จนวันหนึ่งเขาก็สิ้นสุดชีวิตลงในผ้าเหลือง ด้วยอาการป่วย เมื่อญาติโยมอละพระลูกวัดเข้าไปจัดการกับกุฏิของชายคนนั้นทุกคนก็ต้องเบือนหน้าหนีให้กับสิ่งที่เห็น เหล้ายาบุหรี่สิ่งเสพย์ติด รวมไปถึงวัตถุทางโลกมากมายกองไว้ระเกะระกะ และที่น่าเวทนาที่สุดคือ กล่องใบหนึ่งที่มี เงิน เก็บไว้ภายในจำนวนเยอะพอสมควร สิ่งของเหล่านั้นถูกเผาทำลายและบริจาคไปสู่ผู้ยากไร้ เงินที่เก็บไว้นั้นไม่มีใครนำไปใช้ต่อ แต่เอาไปลอยน้ำแทน
         วีดีโอถูกตัดจบแต่เพียงเท่านั้น ไม่ต้องถามก็รู้ว่า ชีวิตหลังความตายของชายคนนั้นเป็นอย่างไร เมื่อภาพที่เห็นตรงหน้ายังคงชัดเจนอยู่ ร่างนั้นยังคงโอดครวญด้วยความทรมานราวกับจะขอความช่วยเหลือ ในตอนนั้นความสงสารมีอยู๋เต็มในใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และอีกใจหนึ่งกับคิดว่า สมควรแล้ว...

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่