Side Story 2 จาก 'อีกเรื่องเล่าจาก...ลูกพระนเรศ'

ต่อเลยนะครับ ก็คือหลังจากที่ไปเจรจาแล้วพาบอลมาได้แล้ว ก็เดินลึกเข้ามาด้านในของภาควิชา ซึ่งในตึกก็มีเจ้าที่เจ้าทางรักษาดูแลนะครับ แต่วันนั้นมันก็เงียบแปลกๆ เดินมาสักนิดนึงก็ถึงห้องที่พวกพี่ๆเขารออยู่ เป็นห้องอเนกประสงค์ของภาคววิชาที่นิสิตจะมาใช้ตอนไหนก็ได้ จะมากินอยู่นอนหลับอ่านหนังสือกันได้ตามอัธยาศัยเลย
  เมื่อเข้ามีข้างใน ก็พบว่ามีพี่ ป.โท นั่งรอกันเต็มเลย หนึ่งในนั้นที่บรรยากาศดูแปลกๆก็คือพี่วิทนั่นแหละครับ บรรยากาศมืดมนพอสมควร ท่าทางพี่แกซึมๆ แต่ว่ายังคุยรู้เรื่องนะครับ แต่บางทีก็มีแบบ ช๊อตไปบ้างคุยๆอยู่ก็นิ่งไปแล้วก็ หันมา ห๊ะ เมื่อกร้ว่าอะไรนะ คุยไปก็จับใจความไม่ค่อยได้ครับเหมือนคนลอยๆ เบลอๆ แต่ก็ถือว่ายังดีกว่าตอนแรกๆเยอะมาก พี่มุกก็เริ่มเล่าเรื่องเหตการและอาการของพี่วิทให้ฟัง ก็ตามที่ได้เล่าไปกระทู้ที่แล้วอะนะครับ
  เพื่อนผมก็มองพี่วิทนิ่งๆ แล้วบอกว่าให้ไปหาน้ำ หากะละมังมา ทุกคนก็ งง ๆ น้ำนี่พอเข้าใจได้ แต่กะละมัง เอามาทำไม แต่ก็ต้องหาครับ เพราะมันสั่งใครจะไปกล้าขัด สุดท้ายก็หามาได้ครับ กะละมังไปยืม(ขโมย) มาจากแม่บ้านใต้บันได แต่น้ำนี่มันดันจะเอาน้ำใหม่เท่านั้น ก็ต้องแว้นออกไปเซเว่นล่ะครับ ก็หามาได้จนครับ
  มันก็เริ่มนั่งนิ่งๆไม่พูดอะไร ขยับแหวนโอมที่นิ้วให้ถนัดขึ้น แล้วเอามือพี่วิทมาจับ สักพักนึงไม่นาน
'เอาอีกแล้ว ไม่จบไม่สิ้นซักทีนะ' เพื่อนผมบ่นลอยๆขึ้นมา
'คราวนี้หนักมั๊ยเนี่ยต้องไปสระแก้วอีกป่าว' พี่มุกถามดูท่าทางร้อนใจมาก
'ไม่เป็นไรครับครั้งนี้ไม่เป็นไร จัดการได้อยู่' แล้วเพื่อนผมก็หยิบห่อผ้าดำๆอันหนึ่งออกมาจากกระเป่า ล้วงมือเข้าไปมีเสียงแก๊งๆ เหมือนเหล็กกระทบกัน แล้วก็หยิบสิ่งของนึงออกมา เป็นเครื่องลางขนาดประมาณ 5 ซม. ทำจากทองเหลืองแต่คงเก่าน่าดูครับ มันออกดำๆ แบบ เห็นแล้วรู้เลยว่าเก่า เป็นตรีศูรครับ
  เพื่อนผมแกะฝาขวดน้ำออกแล้วเริ่มท่องคาถา เท่าที่ได้ยินและจำได้นะครับ ก็ นะโมตัสสะ โอม... ตามด้วยบทสรรเสริญสิ่งศักดิ์สิ่งประจำตัว ตามด้วยชินบรรชร เก้าจบ ผมไปถามมาทีหลังครับว่าชินบัญชรนี่ทำน้ำมนต์ได้ด้วยหรอ ก็ได้คำอธิบายมาแบบนี้ครับ ขอนอกเรื่องนิดนึงอย่าหาว่านอกเรื่องเลยครับ
   การทำน้ำมนต์นั้นไม่ได้มีกฏตายตัวว่า ต้องเป็นบทสวดบทนั้นบทนี้ หากแต่น้ำมนต์นั้นคือ การที่เราตั้งจิตอถิฐานขอห้สิ่งดีๆบังเกิดแก่ตัวเราหรือน้ำมนต์นี้ เป็นการตั้งจิตและใส่จิตลงไป บทสวดนั้นคือการโน้มน้าวจิตให้แน่วแน่ เหมือนเป็นการตั้งสมาธิว่า เราทำอะไรอยู่ เราทำทำไม ทำเพื่ออะไร แต่สำหรับคนธรรมดานั้นแค่จิตอยางเดียวไม่เพียงพอ ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์เพราะเจือปนด้วยกิเลศ จึงต้องอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือที่เราเรียกว่า อำนาจพุทธคุณนั้นเอง ให้มาอยู่นน้ำนี้ เนื่องจากเราไม่ได้บวชเราไม่มีผ้าเหลือง เราไม่ได้ละกิเลศลงไป ซึ่งถ้าเป็นพระสงฆ์ก็จะมีบทสวดสำหรับพระที่เวลาใช้ทำน้ำมนต์ แต่สำหรับฆารวาษก็อย่าไปเอามาใช้เลยครับ บารีเราไม่ได้ มันจะแย่เราเอง ซึ่งบทชินบัญชรนี้ถือเป็นสุดยอดพระคาาถาบทนึงเลย มีสรรพคุณมากมาย ท่องไว้เป็นสิ่งดีครับ โดยเฉพาะคนที่มีญาณหรือมีองค์นะครับ บทนี้จะเป็นการปรับธาตุปรับกระแสจิตได้เยอะทีเดียว สำหรับคนทั่วไปก็บทนี้ล่ะครับ
   ขอแทรกอีกนิดนึง คือวว่า อย่าคิดว่าการสวดมนต์แผ่เมตตาหรือนั่งสมาธิแล้วจะเจอผีหลอกนะครับ ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดเลย การสวดมนต์นั่งสมาธินั้นถือว่าเรา ทำสิ่งที่ดี ใครเขาจะมาแกล้งมาหลอกล่ะครับ การที่มีคนพบเจอขณะสวดนั้นเพียงแค่วิญญาณทั้งหลายนั้นมาร่วมอนุโมทนาขอส่วนบุญเท่านั้นเพราะเขาเป็นวิญญาณไม่มีกายเนื้อจะมาทำได้อย่างเรา น่าสงสารครับ ให้เขาไปเถอะอย่าไปกลัวเขาเลยครับ ถ้าสวดมนต์แล้วโดนผีหลอก โดนเรื่องแย่ๆ พระคงไม่สวดกันแล้วล่ะครับ
   เข้าเรื่องต่อครับ หลังจากจบบทชินบันชร มันก้เอาตรีศุรไปแกว่งในน้ำ พร้อมกับสวดคาถาอะไรไม่รุ้ผมฟังไม่ออก แล้วก้เอาตรีศูรนั้นไปให้พี่วิทถือไว้ แล้วมันก็เริ่มบทสวดต่อไป จะว่าบทสวดก็ไม่เขิงครับ เป็นการขอขมาและขออณุญาติ พระแม่คงคา ที่นำน้ำของท่านมาใช้ ขอบารมีท่านช่วยทำให้น้ำนี้มีผลศักดิ์ชะล้างสิ่งไม่ดีให้ออกไปจากตัว ก็อย่างว่านะครับ เราเอาน้ำมาใช้เราก็ควรจะขออณุญาติเจ้าของก่อน แต่ทุกันนี้คนเรามักคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของธรรมชาติกัน ก็แปลกดีครับ
   หลังจากเตรียมน้ำมนตเสร็จแล้ว ทุกคนหันไปทางพี่วิทซึ่งสิ่งที่เห้นคือ พี่เขาหงื่อซึมออกมาอย่างเห็นได้ชัดเลย พอสอบถามว่าพี่เขาเป็นอะไร
'พี่ร้อน ร้อนมาก ตอนแรกร้อนแค่มือ ตอนนี้มันร้อนไปทั่วตัวเลย'
'ไม่เป็นไรครับพี่ ทนนิดนึง ให้มันถูกเผาไปมให้หมดก่อน' เพื่อนผมตอบอย่างนั้นแล้วก็รออยู่ประมาณ 10 นาที เพื่อนผมก็ให้พี่วิทเอาเท้าใส่ลงมาในกะละมังเปล่าๆ
'เห้ย บอลไปยืนขวางประตูไว้ดิ๊ ล๊อกด้วย ใครเรียกห้ามเปิดใครเคาะห้ามเปิด ต่อให้เป็นเพ่อนก็ห้ามเปิดจนกว่าจะเสร็จ' เพื่อนผมหันไปสั่งบอลที่มันลากมาช่วย
'เออๆ โอเคๆ' บอลตอบแบบ งง ๆ แต่ก็ทำตาม
  จากนั้นเพื่อนผมก็เริ่มเทน้ำมนต์ที่ทำจากมือ ไล่ลงไปที่เท้า ทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาโดยที่พี่วิทก็ยังคงถือตรีศูรนั้นอยู่
'เป็นไงบ้างครับ' เพื่อนผมถามพี่วิท
'ตอนนี้พี่เย็นมาก เย็นจนหนาวเลย ที่ร้อนๆเมื่อกี้ค่อยๆดีขึ้นแล้ว' เพื่อนผมได้ยินคำตอบนั้นมันก็ยิ้มรับ แต่ความรู้สึกผมเหมือนไม่ใช่มันเลย เป็นรอยยิ้มที่แปลกๆ แต่ก็ทำให้ขนลุกมากเลย ระหว่างที่รดน้ำไปเรื่อย บอลก็พูดออกมาดังๆ
'เห้ยๆ ๆ ก-รุรุ้สึกว่ามีคนมาขยับประตูว่า มันชนหลังอะ' พอบอลมันพูดแบบนั้นเหมือนระบบอัตโนมัติเลยครับ ทุกคนเข้าหากันอย่างไว แทบจะกอดกัน พร้อมๆกับที่มีเสียงหมาหอนมาจากไกลๆ บรรยากาศนี่ดีจริงๆ
'เออ นั่นแหละ เขามา ยืนขวางไว้ไม่ต้องไปกลัว ครูดี เขาจัดการได้ นี่แหละเหตุผลที่ไปลากมา ขวางไว้'
'ไม่บอกก่อนวะ ไม่งั้นไม่มาแล้วเนี่ย' บอลทำท่าเหมือนจะร้องไห้เลย ตอนนี้ทางพี่วิทก็ดูเบลอๆครับ เหมือนหมดแรง เหมือนจะโดนแทรกนิดๆด้วย
'ไป ทางใครทางมันอย่ามายุ่งกัน อย่าสร้างกรรมเพิ่มเลย มาทางไหนไปทางนั้น' เพื่อนผมพูดออกมา เสียงดูไม่พอใจแต่สำเนียงกับลักษณะการพูดแปลกไป
'ๆ เอาอีกแล้ว มันหายใจไม่ออกยังไงไม่รุ้ว่า เจ็บๆแขนด้วยเหมือนคนมาบีบเลย' บอลน้ำตาคลอละครับ
'ทนไว้ อีกนิดเดียว'
แก๊ก แก๊ก...
คราวนี้กระโดดกันทั้งห้องเลยครับ เสียงประตูมันดังเหมือนคนมาผลักพยายามจะเปิดแต่มันล๊อกอยู่ผมนี่วิ่งไปรวมกลุ่มกับพี่ๆเลย ตกใจมากๆ ได้ยินทุกคน ไม่ใช่หูฝาดแน่ๆ
'เห้ย บอล เจ๋งจังวะไม่กลัวเลย ไม่ตกใจหรอวะ ยืนนิ่งเลย' ผมตะโกนไปถามบอลเพราะมันอยู่ชิดประตูน่าจะต้องเป็นคนที่กลัวสุดแล้ว
'กลัวดิ แต่ขามันแข็ง แก้วไม่ออกเนี่ย' น้ำตาเริ่มหยดละรับเพื่อนบอลของผม
อีกไม่กี่วิต่อมาน้ำจากแกลลอนใหญ่ๆนั้นก็หมดลง พร้อมกับที่เพื่อนผมพูดออกมาดังๆ
'เอ้า พอ หมดแล้ว จบ โอย โค-ตร เหนื่อยเลย' พร้อมๆกับบรรยากาศหนักๆอึมครึมในห้องก็หมดไปครับ มันรู้สึกโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก ส่วนพี่วิท ล้มพับไปละครับ เหมือนจะหลับไป
  ทุกคนก็เข้ามาดูพี่วิทมาพูดคุยถามว่าอะไรเป็นอะไร ส่วนบอลก็หมดหน้าที่เป็นยามแล้ว มานั่งบนโซฟาน้ำตาไหลเลยสงสัยจะกลัวมาก
'ๆ ตอนยืนอะรู้สึกว่ามีคีนมาบีบแขน เจ็บมากเลยอะ' บอลพูดขึ้นมา
'ลองเปิดดูดิ เป็นไรป่าว' เพื่อนผมก็ตอบไป
  ปรากฏว่าพอเปิดออกมาที่ต้นเเขนของบอลมีรอบแดงเป็นเส้นๆคล้ายมือครับ มันชัดมาก พอเห็นอย่างนั้นบอลก็น้ำตาไหลหนักกว่าเดิมอีก คงกลัวมาก เพื่อนผมก็บอกว่าไม่มีไรเด๋วก็หาย แล้วหันมาหาผมว่า ยกกะละมังไปหน่อย เอาไปเทนอกตึก พี่ป.โทผชคนนึงก็เข้ามาช่วยผมกับพี่แกก็ให้สัญญาณ ยกพร้อมกัน 1 2 3! แต่พอยกนี่แทบหลถดมือครับ หนักมาก มันหนักจริงๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยยกกะละมังที่มีน้ำ แต่นี่มันหนักเกินไปครับ หนีกแปลกๆ
'ยกไป อย่าสงสัย อย่าทัก' ผมกับพี่คนนั้นมองหน้ากันพยักหน้าให้กันหนึ่งที แล้วรีบแบกออกไปเลย ไอ้ตัวเพื่อนผมมันก็ตามมาด้วย
  พอไปถึงสวนหน้าตึก ก็ค่อยๆเทน้ำ ส่วนเพื่อนผมเอามือแตะที่พื้นดินแล้วพูดขึ้นมาเหมือนคุยคนเดียว
'ขออณุญาตินะครับ ขอบารมีพระแม่ธรณีฝากชำระล้างสิ่งเหล่านี้คืนสู่ดิน ทุกอย่างเริ่มจากดินกลับสู่ดิน ขอห้หมดเคราะห์หมดโศกขอให้แม่ธรณีเป็นสื่อกลางช่วยส่งสาน และผลบุญนี้แก่ดวงวิญญาณที่รับเคาราะ แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายใหอโหสิกรรม ส่วนของดำคุณไสยนั้นวมถึงวิญญาณที่ถูกส่งมา ขอให้หลุดพ้นไปในที่ที่ดี หรือหากมีที่ที่อยากไปก็ขอให้ไปแต่อย่าได้ทำร้ายใครอีกเลย'
  ผมถามภายหลังว่าการกล่าวแบบนี้เหมือนกับว่าเราไม่ได้ส่งของกลับ เราฝากแม่ธรณีไว้ ให้บุญกรรมเขาพาไปแต่ถ้าหากเขาอย่างกลับไปหาเจ้าของไปทวงสัญญากรรมกัน นั่นก็เรื่องของเขาเราไม่ได้ทำผิดไม่ได้ทำร้ายอะไรใคร

เหตุการณ์นี้จบลงตรงนี้ครับ หลายๆคนถามมาว่ายังคงเจอกันอยู่รึเปล่า ตอบเลยว่าตอนนี้ไม่แล้วครับ เพราะหลังจากเรื่องราวนี้ไปแล้วสักไม่กี่เดือน พี่วิทก็ตัดสินใจบวชครับ ถือเป็นการบวชทดแทนพระคุณแม่ไปด้วย หลังสึกออกมาก็ไม่โดนอะไรกันแล้ว ชีวิตพี่เขาก็รุ่งขึ้น อะไรๆก็ดีขึ้นตามไปด้วย ชายไทยควรบวชนะครับ แนะนำเลย เป็นสิ่งที่ต้องทำ ก่อนหน้าที่พี่เขาจะบวชก็เจอกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หนักอะไรมากมายครับ

ส่วนถามว่า จะมีมาเล่าอีกมั๊ย คำตอบคือ เรื่องเล่าผมมีเยอะครับ เยอะมากจริงๆ ทั้งใน ม. นอก ม. ในชีวิตประจำวัน ถ้ายังชอบ ยังถูกใจที่จะอ่านกัน ก็บอกไว้ด้วยนัครับ ผมจะได้มาอัพลงเรื่อยๆเลย แต่ถ้าเบื่อแล้วก็บอกด้วยนะครับ 55

ขอบคุณทุกคนนะครับ ผมดีใจมากที่มีคนสนใจ อาจจะไม่ใช่ในตัวผม แต่เป็นเรื่องราวที่ผมเล่าเท่านี้ก็ดีใจละครับ

ผมฝันว่าอยากมีหนังสือของตัวเอง เป็นนักเขียนตัวเล็กๆอะไรงี้ก็ตายตาหลับละครับ จะมาเล่าเรื่อยๆนะครับ ฝากติดตามด้วย

ปล. ลืมบอกครับว่า เรื่องเขมรนี้ยังไม่ใช่เรื่องหนักสุดแรงสุดที่เจอมานะครับ มีหนักกว่านี้เยอะ ^^

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่