กริ๊ง...
กริ๊ง...
เสียงกระดิ่งกังวานใสลอยมาตามลมเช่นทุกครั้ง แม้ว่าจะไม่เคยได้เห็นที่มาของเสียงนี้แต่ก็มักจะได้ยินอยู่เสมอทุกๆครั้งที่มานั่งที่ลานนี้ตอนดึกๆ หลายต่อหลายครั้งที่ผมมักจะมานั่งอยู่ที่นี่คนเดียว เวลาเครียดๆ หรือเหนื่อยๆ บางครั้งก็มานั่งพักใจ หามุมเงียบๆ มองน้ำมองฟ้า ปล่อยให้ความคิดมันลอยไปกับลม
ครั้งนี้ก็เหมือนกับทุกที ผมเหนื่อยจากการเรียน การสอบ แล้วก็ปัญหาชีวิตมากมายที่ต้องพบเจอ คืนนั้นเป็นวันศุกร์ ผมจึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้นานเท่าที่ผมอยากนั่ง
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่แน่ใจ แต่ผู้คนบนลานเริ่มทยอยกันกลับออกไปแล้ว เหลืออยู่เพียงไม่กี่กลุ่ม ผมเริ่มเบื่อกับการนั่งอยู่เฉยๆ บวกกับยุงที่มาตอมจนสร้างความรำคาญมิใช่น้อย
ผมเดินไปตามทางข้างๆลานสมเด็จ เลาะสระน้ำที่นิสิตมักจะมาวิ่งกันทุกเย็น ผมเดินไปเรื่อยๆ ที่นี่มืดมากเพราะไม่มีไฟตามทางเลย มีเพียงแสงจันทร์นวลส่องสว่างกับแสงไฟตามตึกเรียนใกล้ๆ
ฮือ...
ผมได้ยินเสียงสะอื้นดังอยู่ไม่ไกลนัก ผมสะดุ้งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะมีใครอยู่แถวนี้ในเวลาแบบนี้ ผมทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินต่อ
ฮือ...
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นนั้นดังขึ้นกว่าเดิม ขนผมลุกชันไปทั่วทั้งตัว แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้ผมต้องเดินไปตามเสียงนั้น ผมค่อยๆ เงี่ยหูฟังอีกครั้ง พยายามจับทิศทางที่มาของเสียง ผมเดินตามเสียงนั้นไปไม่ไกลนักก็พบเห็นเงาๆหนึ่งนั่งอยู่กับพื้น
เงาร่างนั้นนั่งกอดเข่าอยู่กับพื้นหญ้าโดยที่รอบข้างปกคลุมไปด้วยต้นไม้ ในตอนกลางวันที่นี่อาจจะดูสวยงาม เป็นเหมือนสวนสาธารณะที่ใครๆก็มาพักผ่อน แต่ในตอนกลางคืนนั้นที่นี่ก็น่ากลัวมิใช่น้อย เงาร่างนั้นร้องไห้คร่ำครวญ พูดพึมพำในลำคอ ฟังไม่ได้ศัพท์
ผมเดินเข้าไปใกล้อีกนิดแต่ก็รักษาระยะไม่แสดงตัวออกไป ในใจผมตอนนั้นเชื่อเต็มที่ว่า ต้องเป็นผีแน่ๆ ใครจะมานั่งร้องไห้เวลานี้ แต่เมื่อเข้าไปใกล้พอสมควรก็เห็นว่า นั่นไม่ใช่ผี แต่เป็น รปภ. เพราะชุดที่เขาใส่อยู่ทำให้ผมรู้ทันทีว่าเขาไม่ใช่ผีแน่นอน พอเห็นแบบนั้นผมก็ค่อยๆถอยออก เพราะรู้ตัวว่าเสียมารยาท
ตุ้บ..ตุ้บ
พี่รปภ.ทุบพื้นอย่างแรงทั้งๆที่ยังร้องไห้ไม่หยุด จากนั้นก็เอาหัวโขกพื้นอีกสองสามที ผมตัดสินใจออกไปห้ามพี่เขาเพราะเขาก็โขกแรงไม่ใช่น้อยเลย
ผมพุ่งพรวดออกไปจับตัวพี่แกไว้ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผมตกใจอีกครั้ง ทันทีที่ผมสัมผัสตัวเขา เขาก็หันมาทางผม ตาเหลือกจนแทบไม่เห็นตาดำ แล้วเขาก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ก่อนจะฟุบทับผมลงมา พี่เขาตัวไม่ใหญ่มากนัก ทำให้ผมพอจะประคองพี่เขาได้
ไม่ถึงนาทีพี่เขาก็ตื่นมาคุยกับผม เขาทำหน้างงๆ เหมือนไม่รู้ตัว สะบัดหัวไปมาเหมือนจะสลัดเอาความมึนออกไปเรียกสติกลับมา
‘ผมมาทำอะไรตรงนี้’ พี่รปภ.ถามผม
ผมทำได้แค่นิ่งเงียบแล้วมองหน้าพี่เขา งงๆ เพราะผมก็ไม่รู้จริงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมก็เล่าไปตามที่ผมเห็น พี่เขาทำท่าตกใจมาก เราคุยกันต่อเล็กน้อย โดยสิ่งที่พี่เขาเล่าก็คือ
‘ ผมมาเข้าเวร แล้วกลางคืนมันน่าเบื่อ ผมก็เดินไปเดินมาแถวนี้ แล้วก็รู้สึกปวดฉี่ แต่ก็ขี้เกียดเดินไปเข้าห้องน้ำในตัวตึก แล้วก็ไม่กล้าจะห่างจากโต๊ะทำงานไกลนัก จะโดนผู้ใหญ่เขาดุเอาถ้ามีใครมาเห็น ผมจึงเดินเข้ามาแถวนี้เห็นว่ามันเป็นพุ่มไม้พุ่มหญ้า แล้วก็ดึกแล้วไม่น่ามีใครผ่านไปผ่านมา ผมก้เดินเข้ามาผมทำธุระจนเสร็จตอนที่หันหลังกลับ ผมรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง แล้วผมก็จำอะไรไม่ได้เลย’
นั่นคือคำบอกเล่าของพี่รปภ. ผมก็อึ้งๆ จะว่าแกมาฉี่ผิดที่ผิดทางมันก็ใช่อยู่ แต่เข้ากันง่ายๆแบบนี้ก็ไม่ค่อยเจอมากนัก สุดท้ายเราไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อก็แยกย้ายกัน พี่รปภ.ก็เดินไปไหว้สมเด็จ หวังว่าจะขอบารมีท่านคุ้มครอง ก็แน่ล่ะครับ เป็นใครใครก็กลัวเป็นธรรมดา
ผมกลับหอหลังจากนั้นทันที เพราะก็ไม่กล้าจะไปเดินเล่นต่อเท่าไหร่ หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เรื่องนี้ก็ยังคาใจผมอยู่เล็กน้อย เพราะสายตาที่มองมาที่ผมตอนนั้น มันเหมือนมีความนัยย์อะไรบางอย่าง
หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ไปนั่งเล่นที่ลานดึกๆดื่นๆอีกเลย เพราะเรียนก็เยอะ งานก็เยอะ น่าจะเป็นเดือนได้ จนรอบนั้นเป็นช่วงที่ผมสอบ แล้วมันก็มีวันว่างเป็นฟันหลอ ให้ได้พักหายใจหายคอ ก็เลยไปนั่งเล่นตามระเบียบ การหมกตัวอยู่กับหนังสือติดกันนานๆก็ทำให้ปวดหัว ปวดตาอยู๋ไม่น้อย
คราวนี้ผมไมได้นั่งอยู่บนพื้นกระเบื้องบนลานเพราะอากาศมันร้อน กลางคืนกระเบื้องจะคายไอร้อนออกมาจนมันนั่งไม่สบาย ผมเดินออกมาอีกหน่อยแล้วทิ้งตัวนั่งลงตรงตลิ่งริมสระที่เป็นหญ้าเตี้ยๆ นั่งมองฟ้ามองน้ำ คืนนี้ดาวสวย ท้องฟ้าปลอดโปร่งทำให้ลืมความเหนื่อยล้าไปได้ไม่น้อย
ผมชอบที่จะออกมาข้างนอกในเวลาแบบนี้ เพราะถ้าอยู่ที่หอพัก ก็คงไม่พ้นหน้าจอโทรศัพท์ ไม่ก็จอคอม จอทีวี เพราะมันไม่มีอะไรทำ การได้ออกมาสูดอากาศบ้างก็เป็นเรื่องดี ยิ่ง มน. ไม่ได้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเหมือนที่อื่นๆ ทำให้บริเวณแวดล้อมยังคงมีทุ่งนา ลำคลองอะไรให้ได้พักผ่อนหย่อยใจอยู่บ้าง เราคงไม่อยากมองถนน กลับรถสี่เหลี่ยมๆวิ่งไปวิ่งมาด้วยความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาหรอก
คืนนี้มีลมอ่อนๆโชยมา เป็นลมเย็นๆพอให้รู้สึกสบาย อาจเพราะเป็นช่วงสอบก็เลยไม่มีใครมานั่งเล่นอยู่แถวนี้มากนัก นอกเสียจากของเซ่นไหว้ ทั้งรูปปั้นไก่ พวงมาลัยดอกไม้ ที่วางสุมกันอยู่บนโต๊ะเครื่องเซ่นหน้าสมเด็จ รวมไปถึงก้านธูปจำนวนมหาศาลจนล้นออกมานอกกระถาง ลามไปถึงพื้นดินรอบๆลาน บ่งบอกได้เป้นอย่างดีว่า เด็กนิสิตที่นี่ ศรัทธาพ่อ ขนาดไหน รวมไปถึงความน่ากลัวของข้อสอบเลยทีเดียว
กริ๊ง...
กริ๊ง...
เสียงกังวานใสลอยมาตามลม เสียงนั้นคล้ายกับเสียงกระดิ่งที่ได้ยินทุกครั้ง แต่คราวนี้ต่างออกไป บ่งบอกว่าแหล่งที่มานั้นแตกต่างกัน เสียงนั้นฟังดูคล้าย กระพวน เสียงนั้นลอยมาตามลมจนไม่รู้ที่มาของต้นตอ สักครู่หนึ่งเสียงนั้นก็จางไป จนทิ้งไว้เพียงความเงียบเท่านั้น
ผมปล่อยให้ตัวเองเหม่อลอยไปกับท้องฟ้าและแสงดาว จนผมเคลิ้มๆเหมือนจะหลับไป แต่ยังไม่ทันจะได้หลับ ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
กลิ่นหอมๆลอยมาตามลม เป็นกลิ่นที่หอมมาก หอมเหมือนไม้หอมอบแห้ง ผสมกับน้ำอบ ผมเคยได้กลิ่นนี้มาก่อน แต่ก็นึกไม่ออกว่าเมื่อไหร่ และมันคือกลิ่นของอะไร ผมหันมองไปรอบๆ พยายามมองหาที่มาของเสียงนั้น แต่ก็ไม่พบอะไร
กลิ่นหอมจางๆลอยมาตามลม ผมจึงลองเดินไปทางที่ลมพัดมาเพราะคิดว่าคงมาจากต้นลมแน่ๆ แต่แล้วก็ไม่ใช่เลย กลิ่นนั้นไม่ได้ลอยมาตามลม กลิ่นนั้นวนอยู่รอบๆตัวผม ผมจึงหยุดเท้า เพราะเดินไปอีกเท่าไหร่ก็คงไม่พบที่มาของกลิ้น
‘ใครครับ’ ผมพอดลอยๆออกมา
ฮิ ฮิ....
เสียงใสๆของหญิงสาวลอยมาตามลม พร้อมๆกับที่มีร่างของหญิงสาวเดินออกมาจากมุมไม้ เงาร่างนั้นผ่องสว่าง บอกว่าเธอไม่ใช่ สัมภเวสี หรือผีสางที่เลวร้าย หน้าตาของเธอสวยงามราวกับภาพวาด ชุดเครื่องแต่งกายนั้นบ่องบอกว่าเธอ มีฐานะ ไม่ใช่ชนชั้นไพร่ แต่ก็มิใช่กษัตริย์ สงสัยจะเป็นคนในวังล่ะมั้ง
เธอยิ้มให้กับผมแต่ไม่ได้พูดอะไร รอยยิ้มนั้นเป้นเหมือนคำทักทายอย่างอ่อนโยน และดูคุ้นเคย เธอทำเหมือน เรารู้จักกัน เธอเดินเข้ามาใกล้ๆผม แล้วก็เดินเลยไป เธอเหลียวหลังกลับมานิดหนึ่ง พยักหน้าให้เล็กน้อย เหมือนเป็นการเรียกให้เดินกลับไป
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เธอคนนั้นรู้สึก ปลอดภัย ไม่น่ามีอันตราย ผมจึงเดินตามเธอไป แล้วสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นที่ข้อเท้าของเธอ มีกระพวนทองประดับอยู่ ทุกก้าวที่เธอเดินนั้นเปล่งเสียกังวานไพเราะ
ผมเดินตามเธอไปเรื่อยๆ เธอเดินไปหยุดอยู่ตรงพุ่มไม้มืดๆ แล้วชี้มือเข้าไปในนั้น เป้นสัญญาณให้ผมเดินเข้าไป ผมก็กล้าๆกลัวๆ เพราะมันมืด แต่ผมก็ตัดสินใจเดินเข้าไป พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาส่องไฟที่พื้น เดินไปนิดนึงไฟก็ดับไป เพาะแบตหมด ผมแทบจะเดินถอยหลังออกมาทันที
ฮือ....
เสียงร้องไห้สะอื้นดังขึ้นมาในความมืด ผมหันหลังกลับไปมองทันที ภาพที่เห้นตรงหน้าคือ เงาร่างสีดำร่างหนึ่งนั่งร้องไห้คร่ำครวญ เดี๋ยวสะอื้น เดี๋ยวโวยวาย ภาพตรงหน้านั้นน่ากลัวไม่ใช่น้อย เพราะสภาพเขาก็ไม่ได้น่าดูมากนัก และเมื่อสังเกตดีๆ ผมก็รู้สึกตัวว่า ที่นี่คือบริเวณเดียวกับที่ผมเจอพี่ รปภ.
‘ช่วยด้วย...’
‘ช่วยเราด้วย...’
จะเสียงร้องไห้ เริ่มฟังเป็นคำพูด คำพูดนั้นสะดุดใจผม ทำให้ผมสงสัย แม้ในใจจะกลัวภาพตรงหน้า ขาสองข้างเริ่มอ่อนแรงและก้าวไม่ออก เมื่อหันหลังไป ก็ไม่พบเธอคนนั้นแล้ว ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ หวังจะพูดคุย
‘เห้ย!’
ภาพตรงหน้าทำให้ผมอุทานออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ตรงหน้าภาพปรากฏภาพของชายคนนั้นที่ล้มนอนอยู่กับพื้น พร้อมกับหมาดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่ยืนเหยียบเขาอยู่ หมาตัวนั้นท่าทางดุร้าย แยกเขี้ยว ส่งเสียขู่ มันคงเหมือนหมาทั่วๆไป หากไม่ใช่ว่ามันตัวใหญ่หว่าปกติ กับดวงตาสีแดงก่ำที่จ้องมาด้วยความมุ่งร้าย หมารอบๆนั้นพร้อมใจกันหอนปนเห่ากันจนน่ากลัว แล้วหมาตัวนั้นก็กระโจนใส่ตัวผม ผมยกมือขึ้นมาปัด ผมรู้สึกได้ถึงความ เจ็บ ทั้งที่แขน และหลังที่ล้มลงกระแทกกับพื้น ด้วยความตกจ ผมจึงหันหลังวิ่งทันที จนมาถึงรถมอเตอร์ไซดที่จอดไว้ เมื่อหยุดมองก็พบว่า มันไม่ได้ตามมา ด้วยความกลัวปนตกใจทำให้ผมขับรถกลับทันที ผมรู้สึกเจ็บแปลบๆที่แขน เมื่อก้มดูก็พบสิ่งที่ไม่คาดคิด มันมีรอยเลือดเปื้อนอยู๋ ผมตกใจมากว่าผมโดนอะไร ผมเอาเสื้อเช็ดทันทีเพื่อจะดูแผล
แต่ก็พบว่า มันไม่มีแผลอะไรเลยที่แขนของผม...
..............................
แล้วจะมาต่อนะครับ
นิทาน...จากความเงียบ
กริ๊ง...
เสียงกระดิ่งกังวานใสลอยมาตามลมเช่นทุกครั้ง แม้ว่าจะไม่เคยได้เห็นที่มาของเสียงนี้แต่ก็มักจะได้ยินอยู่เสมอทุกๆครั้งที่มานั่งที่ลานนี้ตอนดึกๆ หลายต่อหลายครั้งที่ผมมักจะมานั่งอยู่ที่นี่คนเดียว เวลาเครียดๆ หรือเหนื่อยๆ บางครั้งก็มานั่งพักใจ หามุมเงียบๆ มองน้ำมองฟ้า ปล่อยให้ความคิดมันลอยไปกับลม
ครั้งนี้ก็เหมือนกับทุกที ผมเหนื่อยจากการเรียน การสอบ แล้วก็ปัญหาชีวิตมากมายที่ต้องพบเจอ คืนนั้นเป็นวันศุกร์ ผมจึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้นานเท่าที่ผมอยากนั่ง
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่แน่ใจ แต่ผู้คนบนลานเริ่มทยอยกันกลับออกไปแล้ว เหลืออยู่เพียงไม่กี่กลุ่ม ผมเริ่มเบื่อกับการนั่งอยู่เฉยๆ บวกกับยุงที่มาตอมจนสร้างความรำคาญมิใช่น้อย
ผมเดินไปตามทางข้างๆลานสมเด็จ เลาะสระน้ำที่นิสิตมักจะมาวิ่งกันทุกเย็น ผมเดินไปเรื่อยๆ ที่นี่มืดมากเพราะไม่มีไฟตามทางเลย มีเพียงแสงจันทร์นวลส่องสว่างกับแสงไฟตามตึกเรียนใกล้ๆ
ฮือ...
ผมได้ยินเสียงสะอื้นดังอยู่ไม่ไกลนัก ผมสะดุ้งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะมีใครอยู่แถวนี้ในเวลาแบบนี้ ผมทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินต่อ
ฮือ...
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นนั้นดังขึ้นกว่าเดิม ขนผมลุกชันไปทั่วทั้งตัว แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้ผมต้องเดินไปตามเสียงนั้น ผมค่อยๆ เงี่ยหูฟังอีกครั้ง พยายามจับทิศทางที่มาของเสียง ผมเดินตามเสียงนั้นไปไม่ไกลนักก็พบเห็นเงาๆหนึ่งนั่งอยู่กับพื้น
เงาร่างนั้นนั่งกอดเข่าอยู่กับพื้นหญ้าโดยที่รอบข้างปกคลุมไปด้วยต้นไม้ ในตอนกลางวันที่นี่อาจจะดูสวยงาม เป็นเหมือนสวนสาธารณะที่ใครๆก็มาพักผ่อน แต่ในตอนกลางคืนนั้นที่นี่ก็น่ากลัวมิใช่น้อย เงาร่างนั้นร้องไห้คร่ำครวญ พูดพึมพำในลำคอ ฟังไม่ได้ศัพท์
ผมเดินเข้าไปใกล้อีกนิดแต่ก็รักษาระยะไม่แสดงตัวออกไป ในใจผมตอนนั้นเชื่อเต็มที่ว่า ต้องเป็นผีแน่ๆ ใครจะมานั่งร้องไห้เวลานี้ แต่เมื่อเข้าไปใกล้พอสมควรก็เห็นว่า นั่นไม่ใช่ผี แต่เป็น รปภ. เพราะชุดที่เขาใส่อยู่ทำให้ผมรู้ทันทีว่าเขาไม่ใช่ผีแน่นอน พอเห็นแบบนั้นผมก็ค่อยๆถอยออก เพราะรู้ตัวว่าเสียมารยาท
ตุ้บ..ตุ้บ
พี่รปภ.ทุบพื้นอย่างแรงทั้งๆที่ยังร้องไห้ไม่หยุด จากนั้นก็เอาหัวโขกพื้นอีกสองสามที ผมตัดสินใจออกไปห้ามพี่เขาเพราะเขาก็โขกแรงไม่ใช่น้อยเลย
ผมพุ่งพรวดออกไปจับตัวพี่แกไว้ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผมตกใจอีกครั้ง ทันทีที่ผมสัมผัสตัวเขา เขาก็หันมาทางผม ตาเหลือกจนแทบไม่เห็นตาดำ แล้วเขาก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ก่อนจะฟุบทับผมลงมา พี่เขาตัวไม่ใหญ่มากนัก ทำให้ผมพอจะประคองพี่เขาได้
ไม่ถึงนาทีพี่เขาก็ตื่นมาคุยกับผม เขาทำหน้างงๆ เหมือนไม่รู้ตัว สะบัดหัวไปมาเหมือนจะสลัดเอาความมึนออกไปเรียกสติกลับมา
‘ผมมาทำอะไรตรงนี้’ พี่รปภ.ถามผม
ผมทำได้แค่นิ่งเงียบแล้วมองหน้าพี่เขา งงๆ เพราะผมก็ไม่รู้จริงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมก็เล่าไปตามที่ผมเห็น พี่เขาทำท่าตกใจมาก เราคุยกันต่อเล็กน้อย โดยสิ่งที่พี่เขาเล่าก็คือ
‘ ผมมาเข้าเวร แล้วกลางคืนมันน่าเบื่อ ผมก็เดินไปเดินมาแถวนี้ แล้วก็รู้สึกปวดฉี่ แต่ก็ขี้เกียดเดินไปเข้าห้องน้ำในตัวตึก แล้วก็ไม่กล้าจะห่างจากโต๊ะทำงานไกลนัก จะโดนผู้ใหญ่เขาดุเอาถ้ามีใครมาเห็น ผมจึงเดินเข้ามาแถวนี้เห็นว่ามันเป็นพุ่มไม้พุ่มหญ้า แล้วก็ดึกแล้วไม่น่ามีใครผ่านไปผ่านมา ผมก้เดินเข้ามาผมทำธุระจนเสร็จตอนที่หันหลังกลับ ผมรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง แล้วผมก็จำอะไรไม่ได้เลย’
นั่นคือคำบอกเล่าของพี่รปภ. ผมก็อึ้งๆ จะว่าแกมาฉี่ผิดที่ผิดทางมันก็ใช่อยู่ แต่เข้ากันง่ายๆแบบนี้ก็ไม่ค่อยเจอมากนัก สุดท้ายเราไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อก็แยกย้ายกัน พี่รปภ.ก็เดินไปไหว้สมเด็จ หวังว่าจะขอบารมีท่านคุ้มครอง ก็แน่ล่ะครับ เป็นใครใครก็กลัวเป็นธรรมดา
ผมกลับหอหลังจากนั้นทันที เพราะก็ไม่กล้าจะไปเดินเล่นต่อเท่าไหร่ หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เรื่องนี้ก็ยังคาใจผมอยู่เล็กน้อย เพราะสายตาที่มองมาที่ผมตอนนั้น มันเหมือนมีความนัยย์อะไรบางอย่าง
หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ไปนั่งเล่นที่ลานดึกๆดื่นๆอีกเลย เพราะเรียนก็เยอะ งานก็เยอะ น่าจะเป็นเดือนได้ จนรอบนั้นเป็นช่วงที่ผมสอบ แล้วมันก็มีวันว่างเป็นฟันหลอ ให้ได้พักหายใจหายคอ ก็เลยไปนั่งเล่นตามระเบียบ การหมกตัวอยู่กับหนังสือติดกันนานๆก็ทำให้ปวดหัว ปวดตาอยู๋ไม่น้อย
คราวนี้ผมไมได้นั่งอยู่บนพื้นกระเบื้องบนลานเพราะอากาศมันร้อน กลางคืนกระเบื้องจะคายไอร้อนออกมาจนมันนั่งไม่สบาย ผมเดินออกมาอีกหน่อยแล้วทิ้งตัวนั่งลงตรงตลิ่งริมสระที่เป็นหญ้าเตี้ยๆ นั่งมองฟ้ามองน้ำ คืนนี้ดาวสวย ท้องฟ้าปลอดโปร่งทำให้ลืมความเหนื่อยล้าไปได้ไม่น้อย
ผมชอบที่จะออกมาข้างนอกในเวลาแบบนี้ เพราะถ้าอยู่ที่หอพัก ก็คงไม่พ้นหน้าจอโทรศัพท์ ไม่ก็จอคอม จอทีวี เพราะมันไม่มีอะไรทำ การได้ออกมาสูดอากาศบ้างก็เป็นเรื่องดี ยิ่ง มน. ไม่ได้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเหมือนที่อื่นๆ ทำให้บริเวณแวดล้อมยังคงมีทุ่งนา ลำคลองอะไรให้ได้พักผ่อนหย่อยใจอยู่บ้าง เราคงไม่อยากมองถนน กลับรถสี่เหลี่ยมๆวิ่งไปวิ่งมาด้วยความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลาหรอก
คืนนี้มีลมอ่อนๆโชยมา เป็นลมเย็นๆพอให้รู้สึกสบาย อาจเพราะเป็นช่วงสอบก็เลยไม่มีใครมานั่งเล่นอยู่แถวนี้มากนัก นอกเสียจากของเซ่นไหว้ ทั้งรูปปั้นไก่ พวงมาลัยดอกไม้ ที่วางสุมกันอยู่บนโต๊ะเครื่องเซ่นหน้าสมเด็จ รวมไปถึงก้านธูปจำนวนมหาศาลจนล้นออกมานอกกระถาง ลามไปถึงพื้นดินรอบๆลาน บ่งบอกได้เป้นอย่างดีว่า เด็กนิสิตที่นี่ ศรัทธาพ่อ ขนาดไหน รวมไปถึงความน่ากลัวของข้อสอบเลยทีเดียว
กริ๊ง...
กริ๊ง...
เสียงกังวานใสลอยมาตามลม เสียงนั้นคล้ายกับเสียงกระดิ่งที่ได้ยินทุกครั้ง แต่คราวนี้ต่างออกไป บ่งบอกว่าแหล่งที่มานั้นแตกต่างกัน เสียงนั้นฟังดูคล้าย กระพวน เสียงนั้นลอยมาตามลมจนไม่รู้ที่มาของต้นตอ สักครู่หนึ่งเสียงนั้นก็จางไป จนทิ้งไว้เพียงความเงียบเท่านั้น
ผมปล่อยให้ตัวเองเหม่อลอยไปกับท้องฟ้าและแสงดาว จนผมเคลิ้มๆเหมือนจะหลับไป แต่ยังไม่ทันจะได้หลับ ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
กลิ่นหอมๆลอยมาตามลม เป็นกลิ่นที่หอมมาก หอมเหมือนไม้หอมอบแห้ง ผสมกับน้ำอบ ผมเคยได้กลิ่นนี้มาก่อน แต่ก็นึกไม่ออกว่าเมื่อไหร่ และมันคือกลิ่นของอะไร ผมหันมองไปรอบๆ พยายามมองหาที่มาของเสียงนั้น แต่ก็ไม่พบอะไร
กลิ่นหอมจางๆลอยมาตามลม ผมจึงลองเดินไปทางที่ลมพัดมาเพราะคิดว่าคงมาจากต้นลมแน่ๆ แต่แล้วก็ไม่ใช่เลย กลิ่นนั้นไม่ได้ลอยมาตามลม กลิ่นนั้นวนอยู่รอบๆตัวผม ผมจึงหยุดเท้า เพราะเดินไปอีกเท่าไหร่ก็คงไม่พบที่มาของกลิ้น
‘ใครครับ’ ผมพอดลอยๆออกมา
ฮิ ฮิ....
เสียงใสๆของหญิงสาวลอยมาตามลม พร้อมๆกับที่มีร่างของหญิงสาวเดินออกมาจากมุมไม้ เงาร่างนั้นผ่องสว่าง บอกว่าเธอไม่ใช่ สัมภเวสี หรือผีสางที่เลวร้าย หน้าตาของเธอสวยงามราวกับภาพวาด ชุดเครื่องแต่งกายนั้นบ่องบอกว่าเธอ มีฐานะ ไม่ใช่ชนชั้นไพร่ แต่ก็มิใช่กษัตริย์ สงสัยจะเป็นคนในวังล่ะมั้ง
เธอยิ้มให้กับผมแต่ไม่ได้พูดอะไร รอยยิ้มนั้นเป้นเหมือนคำทักทายอย่างอ่อนโยน และดูคุ้นเคย เธอทำเหมือน เรารู้จักกัน เธอเดินเข้ามาใกล้ๆผม แล้วก็เดินเลยไป เธอเหลียวหลังกลับมานิดหนึ่ง พยักหน้าให้เล็กน้อย เหมือนเป็นการเรียกให้เดินกลับไป
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เธอคนนั้นรู้สึก ปลอดภัย ไม่น่ามีอันตราย ผมจึงเดินตามเธอไป แล้วสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นที่ข้อเท้าของเธอ มีกระพวนทองประดับอยู่ ทุกก้าวที่เธอเดินนั้นเปล่งเสียกังวานไพเราะ
ผมเดินตามเธอไปเรื่อยๆ เธอเดินไปหยุดอยู่ตรงพุ่มไม้มืดๆ แล้วชี้มือเข้าไปในนั้น เป้นสัญญาณให้ผมเดินเข้าไป ผมก็กล้าๆกลัวๆ เพราะมันมืด แต่ผมก็ตัดสินใจเดินเข้าไป พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาส่องไฟที่พื้น เดินไปนิดนึงไฟก็ดับไป เพาะแบตหมด ผมแทบจะเดินถอยหลังออกมาทันที
ฮือ....
เสียงร้องไห้สะอื้นดังขึ้นมาในความมืด ผมหันหลังกลับไปมองทันที ภาพที่เห้นตรงหน้าคือ เงาร่างสีดำร่างหนึ่งนั่งร้องไห้คร่ำครวญ เดี๋ยวสะอื้น เดี๋ยวโวยวาย ภาพตรงหน้านั้นน่ากลัวไม่ใช่น้อย เพราะสภาพเขาก็ไม่ได้น่าดูมากนัก และเมื่อสังเกตดีๆ ผมก็รู้สึกตัวว่า ที่นี่คือบริเวณเดียวกับที่ผมเจอพี่ รปภ.
‘ช่วยด้วย...’
‘ช่วยเราด้วย...’
จะเสียงร้องไห้ เริ่มฟังเป็นคำพูด คำพูดนั้นสะดุดใจผม ทำให้ผมสงสัย แม้ในใจจะกลัวภาพตรงหน้า ขาสองข้างเริ่มอ่อนแรงและก้าวไม่ออก เมื่อหันหลังไป ก็ไม่พบเธอคนนั้นแล้ว ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ หวังจะพูดคุย
‘เห้ย!’
ภาพตรงหน้าทำให้ผมอุทานออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ตรงหน้าภาพปรากฏภาพของชายคนนั้นที่ล้มนอนอยู่กับพื้น พร้อมกับหมาดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่ยืนเหยียบเขาอยู่ หมาตัวนั้นท่าทางดุร้าย แยกเขี้ยว ส่งเสียขู่ มันคงเหมือนหมาทั่วๆไป หากไม่ใช่ว่ามันตัวใหญ่หว่าปกติ กับดวงตาสีแดงก่ำที่จ้องมาด้วยความมุ่งร้าย หมารอบๆนั้นพร้อมใจกันหอนปนเห่ากันจนน่ากลัว แล้วหมาตัวนั้นก็กระโจนใส่ตัวผม ผมยกมือขึ้นมาปัด ผมรู้สึกได้ถึงความ เจ็บ ทั้งที่แขน และหลังที่ล้มลงกระแทกกับพื้น ด้วยความตกจ ผมจึงหันหลังวิ่งทันที จนมาถึงรถมอเตอร์ไซดที่จอดไว้ เมื่อหยุดมองก็พบว่า มันไม่ได้ตามมา ด้วยความกลัวปนตกใจทำให้ผมขับรถกลับทันที ผมรู้สึกเจ็บแปลบๆที่แขน เมื่อก้มดูก็พบสิ่งที่ไม่คาดคิด มันมีรอยเลือดเปื้อนอยู๋ ผมตกใจมากว่าผมโดนอะไร ผมเอาเสื้อเช็ดทันทีเพื่อจะดูแผล
แต่ก็พบว่า มันไม่มีแผลอะไรเลยที่แขนของผม...
..............................
แล้วจะมาต่อนะครับ