สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การรักษาและลักษณะของโรคที่เราเป็นค่ะ
โรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ O.C.D (Obsessive Compulsive Disorder)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://med.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/general/05012014-1443
ในส่วนที่เราเป็นจะเป็นอาการย้ำคิดค่ะ จะมีอาการคิดถึงเรื่องความตาย จินตนาการความรู้สึกหลังตาย แต่ไม่ได้อยากตายนะคะ กลัวที่จะต้องตาย มองไปสุดปลายทางว่าตัวเองต้องตาย กลัวมากค่ะ หวาดระแวงจนต้องใช้ชีวิตแบบระวังจนไม่กล้าทำอะไรหลายๆอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เวลาเดินข้ามถนนเราจะมองข้างหลังบ่อยมากทุก 30 วิเลยค่ะ หันจนตัวเองเวียนหัว อาการของโรคเป็นมานานค่ะ ตอนนี้อายุ 19 ตอนที่เริ่มมีอาการกลัวความตาย หรือไม่อยากให้ครอบครัวตายครั้งแรกตอนประมาณ 9 เกือบ 10 ขวบ ตอนนั้นเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆค่ะ แต่คิดจนไปถึงว่าถ้าพ่อตายแม่ตายตัวเองจะอยู่ได้ไหม จะรับได้ไหม ถ้าพ่อหรือแม่ตายก่อน จะฆ่าพ่อหรือแม่ตายตาม ฆ่าตัวเองตายตาม ความคิดมันผุดขึ้นมาเอง ทรมานมากค่ะ ที่เป็นส่วนมากทรมานจนร้องไห้ค่ะ แต่บางครั้งก็เป็นตอนที่อยู่กับเพื่อนก็ต้องพยายามดึงตัวเองออกมา หาวิธีดึงตัวเองออกมาเช่น โทรคุยแม่ เป็นต้นค่ะ
อาการเริ่มกลับมาเป็นหนักๆก็ช่วงม.4 ค่ะ นอนไม่หลับด้วย หลับยาก พอต้องข่มตัวเองนอน พอมันเห็นแต่ความมืดในสมองมันก็จะคิดนั่นนี่ให้หลับจนสุดท้ายมันจะวกกลับไปคิดเรื่องตาย หัวใจเราจะเต้นแรง นอนไม่ได้เลยค่ะ ถ้าวันไหนถ้าไม่ล้าก็จะนอนตี 3-4 บ่อยๆค่ะ ถ้าหลับเร็วหน่อยก็ประมาณ ตี 1-2 ตอนหลับก็ฝันทุกครั้งไม่ว่างีบหลับหรือนอนตอนกลางคืนนะคะ เวลาเรียนก็จะเพลีย หาวบ่อย เหมือนสมองไม่ค่อยได้พักเลยค่ะ เราเริ่มขอแม่ให้พาไปพบจิตแพทย์ตั้งแต่ช่วงม.4ค่ะเพราะเราทรมานมาก การเรียนก็เสีย ชีวิตประจำวันต่างๆก็เสีย เพราะเราเริ่มปลีกตัวจากคน ไม่ชอบการไปเจอคนเยอะๆ เวลามองคนเยอะๆ เช่นไปตลาดเราจะเวียนหัว รำคาญคน หงุดหงิดง่าย เก็บตัวอยู่คนเดียว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราก็เป็นมาตลอดจนจบม.6 อาการก็ยังมีอยู่ตลอด เราไม่ได้เรียนต่อค่ะ ขอแม่เอง ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง แต่เราไปเรียนแต่งหน้ากับญาติค่ะเพราะตั้งใจอยากทำงานด้านนี้ เราเลยต้องย้ายไปอยู่หออยู่คนเดียว (ช่วงม.1-6 เราไปอยู่บ้านอาค่ะ แต่ก็เหมือนอยู่คนเดียวไม่ค่อยคุยกับอา อาเป็นคนเงียบๆด้วย) จนเดือนธันวาปีที่แล้วเราย้ายไปอีกหอเพื่อจะไปเรียนตัดผมค่ะ หอใหม่ใกล้ที่เรียนแต่บรรยากาศก็ค่อนข้างน่ากลัว ทั้งชั้นมีเราอยู่คนเดียว ห้องก็เก่าๆ แล้วช่วงนั้นก็เริ่มกลับมามีอาการหนักอีกค่ะ ทรมานจนร้องไห้โทรหาแม่ดึกๆต่อๆกันเป็นอาทิตย์ๆ นอนตอนเช้าเลยค่ะ หกโมงเช้าบ้าง ตีห้าบ้าง นอน เที่ยงๆกจะตื่นมาอาบน้ำไปเรียนตอนบ่าย
จนวันที่14 มกราคม แม่มาหาตัดสินใจพาเราไปหาหมอ แต่เพราะลุงที่พามารีบไปธุระแล้วแม่กลัวเราขาดเรียนตัดผมเลยพาไปร.พ.เอกชนในจังหวัด เพราะอยากให้เรากินยาที่ช่วยให้นอนหลับไปพลางๆก่อนถ้าพ่อเราว่างวันไหนจะพาไปหาหมอเฉพาะทางวันหลัง ที่เราไปเจอก็เป็นคณหมอธรรมดาเลยค่ะไม่ใช่หมอเฉพาะทาง หมอก็สั่งยามาให้เรากิน 3 ตัว หลังอาหารเช้าเย็น 1 เม็ด ก่อนนอน 1 เม็ด หลังอาหารเช้า 1 เม็ด เย็นวันที่ 14 เรากินยาหลังอาหารเย็นกับก่อนนอนรวม 2 เม็ด หลังกินก็ง่วงเร็วหลับประมาณ 3 ทุ่มค่ะ เช้าวันที่ 15 มาโทรคุยกับแม่ก็ยังบอกแม่อยู่เลยว่าเออ ยาทำให้หลับนะ รู้สึกสบายขึ้น เพราะไม่ได้นอนตอนกลางคืนยาวๆมานาน เรากินยาเช้าไปประมาณ 10.00 น. (เราถามเภสัชที่ร.พ.บอกว่าเราตื่นสายๆแล้วมากินยาเช้าได้ไหม เขาบอกว่าได้ แค่กินเวลาเดียวกันทุกวันก็โอเคแล้ว) บ่ายเราก็เริ่มไปเรียน เราใช้เวลาประมาณแค่ 5 นาทีในการไปเรียน ระหว่างทางเรารู้สึกเวียนหัว ไม่สบายตัว พอไปถึงก็รู้สึกไม่ดีมากเลยโทรบอกแม่ แล้วขอครูกลับหอ ตอนเดินกลับเราก็คิดไปหรือว่ากินยาตอนท้องยังมีอาหารไม่มากพอหรือว่าเราหิวคิดนั่นนู่นนี่ไปเรื่อยเพราะเราไม่ได้มีประสบการณ์ป่วยเลยไม่เคยนอนร.พ. เราเลยแวะกินข้าวกินได้สองสามคำก็ไม่ไหว ระหว่างนั้นเราก็โทรคุยกับแม่ตลอด แม่ก็ห่วงเพราะเราก็ไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน พอถึงหอเราก็บอกว่าจะนอน เพราะปกติถ้าเราไม่สบายตัวหรือปวดหัวเราจะพยายามนอน ไม่กินยา เราเลยนอน เราหลับตั้งแต่เกือบบ่ายสองจนถึงสี่โมงเย็น ตื่นขึ้นมาเรามีอาการกัดฟันตัวเองก็นึกว่านิสัยนอนกัดฟันตัวเองกลับมา พยายามอ้าก็ไม่ค่อยออก เลยไปแปรงฟัน ก็ไม่ออก จนเริ่มกัดแรงขึ้นเรื่อยๆ แม่โทรมาพอดีเราก็เล่าให้แม่ฟังตอนนั้นก็พูดไม่ค่อยได้แล้ว แม่บอกว่าจะมาหา เราก็พยายามหาทางง้างปากเพราะว่าเราเจ็บปากมาก (ปากกัดบิดเหมือนชายน้อยค่ะ) แถมเราดัดฟันเพิ่งไปใส่เครื่องมือเพิ่มมายังไม่หายปวด เราเจ็บไม่ไหว ควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็เลยเอายางออกเอง พยายามเอาทิชชู่มากัด แต่ก็ยังเจ็บ น้ลายไหลไม่หยุดเลยค่ะ เรารู้ว่าเขาไม่ให้กัดนิ้วแต่มันเป็นทางเดียวที่จะบรรเทาอาการเราได้ เราเลยกัดนิ้วชี้ เอานิ้ดงัดไม่ให้มันบิดมาก เจ็บนิ้วดีกว่าเจ็บมากค่ะ พอเรางัดไม่ให้กัดข้างนี้มันก็ไปกัดอีกข้างแทน 2 ชม.ที่เราต้องอยู่คนเดียวแบบทรมานที่สุดในชีวิต พอแม่มาถึงจะพยุงเราขึ้นพอยืนก็เวียนหัว รู้สึกตัวเย็นวูบ หน้ามืด เราที่มีสติอยู่ก็บอกหลานให้หยิบถุงยา กระเป๋าตังค์มาด้วยเพราะตอนนั้นเราเดาว่าอาจจะเป็นเพราะยาที่เรากินไปตอนสาย พอถึงร.พ.เอกชนที่เดิมเราไม่รอใคร พนักงานเห็นเราอาการไม่ดีก็รีบบอกให้ไปห้องฉุกเฉินแป๊บเดียวหมอก็มา หมอก็ถามอาการ เราก็พยายามอ้าปากบอก แล้วหมอก็ถามพ่อแม่เราว่าจะให้ฉีดยา เอายาไปกินแล้วกลับบ้าน หรือจะนอนเพื่อดูอาการที่ร.พ.ฐานะที่บ้านเราก็ไม่ได้ดี พ่อเลยกังวลเรื่องค่ารักษาด้วยความที่เป็นร.พ.เอกชนด้วย แต่เพราะอยู่ต่างจ.ห้องรวมเลยยังไม่แพงมาก ตกคืนละ 3,600 บาท แม่ถามว่าจะนอนไหม เราบอกนอน เราเจ็บ คิดว่าถ้ากลับบ้านไปยังกัดอยู่กว่าจะขับรถมาถึงร.พ.ใช้เวลา 2 ช.ม.
พอเจาะเจ็บหลังมือเสร้จเขาก็พาเราขึ้นไปห้องรวม ไปถึงหมออีกคนก็ขึ้นมาซักอาการต่างๆแม่ก็บอกแทนเรา เราก็ตรวจนั่นนี่ไป สักพักเราก็เอาลิ้นมากัด แม่เห็นก็พยายามเอาบอกให้เอาลิ้นลงกลัวกัดลิ้นขาด เราก็ชี้ไปที่เท้า แม่ไปจับเท้าเราจิกเกร็งและเย็นมากกกกกก ตาเราเริ่มเหลือกขึ้น แม่เลยไปเรียกหมอมา หมอก็พยายามบอกให้เราเอาลิ้นลง ให้ตามองลงมองคนนั้นคนนี้ เราทำได้แป๊บเดียวเราก็กลับมาเป็นอีก เรามีสตินะแต่ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย มีแค่มือที่มีแรง เท้านี่จิกเตียงหนัก พอเห็นว่าอาการเราไม่ดีมากๆ แล้วเราก็เริ่มหายใจไม่ออกพยายามง้างปากบอกเขา เขาก็เสียสายออกซิเจนให้ แล้วย้ายเราเข้าห้อง ICU ไปถึงก็ใส่เครื่องมือมีที่เป็นแผ่นติดตรงอกสองข้างตรงท้องซ้ายต่อสายเป็นเครื่องวัดการเต้นของหัวใจมั้ง เราก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร ติดที่วัดความดัน หนีบเครื่องที่นิ้วชี้ซ้าย กับออกซิเจน หมอที่ห้องเขาก็มาตรวจนั่นนี่แล้วฉีดยาให้ ฉีดใส่ทางเข็มที่เจาะตั้งแต่ห้องฉุกเฉน ตอนนั้นน่าจะ 4 ทุ่มเขาไม่ให้เยี่ยมแล้ว เรามีอาการเกร็ง ตาเหลือกขึ้นอีก พยาบาลที่อยู่ถัดไปไม่เห็น เราก็ร้อง อื้ออ อื้อออ เพราะครั้งนี้เป็นหัก น้ำตามันไหลเอง ปวดตา แต่เอาตาลงมาไม่ได้ เขาก็เดินมาดูรอบหนึ่ง แล้วเดินไป เราส่งเสียงไม่หยุด เขาเลยมาอีกรอบมาฉีดยาให้ ก็หายเกร็ง เราเพลียมากเลยหลับไป เช้ามาเราก็เริ่มปกติ เลยขอเอาออกซิเจนออกพูดคุยได้ไม่กัดฟัน ตอน 8.00 น. หมอก็มาตรวจเราก็กินข้าวกินยาเรียบร้อย บอกพ่อเราว่าจะส่ง CT scan สมอง เพราะอยากรุ้ว่าเป็นเพราะยาหรือเพราะสมอง พ่อเลยถามว่าที่นี่แพงไหม หมอก็บอกว่าค่อนข้างแพง พ่อเลยขอย้านเราไปร.พ.รัฐฯ หมอก็ทำเรื่องส่งให้ ก่อนเขาจะย้ายเรามีอาการเกร็งอีกแต่ไม่หนักแล้ว มีอาการเกร็งจิกเท้าจนหลังแอ่น เขาก็มาฉีดยาให้อีกรอบ ค่าร.พ.เอกชน ค่าห้อง I.C.U 10,050 บาท (50บาทนี่เดาเล่นๆว่าค่าข้าวต้มมื้อเช้า 555555)
พอย้ายมาร.พ.รัฐฯก็เจอเลย แม่โดนพนักงานห้องบัตรว่าว่าทำไมพามาร.พ.นี้ทั้งๆที่อยู่อีกอ. เดี๋ยวเก็บเงินราคาเดียวกับร.พ.เอกชนเลย แม่เราก็ขึ้นเลย ก็ลูกอยู่ในเมือง จะขนกันกลับอ.2ชมทำไม เด็กไม่แย่เหรอ ใกล้ที่ไหนสะดวกที่ไหนก็เขาตรงนั้น เขาก็เงียบไป(แม่มาเล่าให้ฟัง) แล้วบัตรจ่ายตรงของเราตอนทำเป็นด.ญ.พอให้เขาแก้ แก้ไปแก้มาก็ยังเป็นด.ญ.อยู่ 55555 เราไปนอนอยู่อายุรกรรมวันที่ 16 แล้วตอนบ่ายๆถึงได้คิวไป CT scan สมอง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พอดีวันนั้นแม่เราถูกหวย แม่ไม่เคยซื้อหวยเลย แต่ได้ยินจากเตียงข้างๆ คิดยังไงไม่รู้ถึงซื้อแล้วถูกด้วย รู้ตอนที่พาเราลงมาCT scan สมองพอดี 5555
วันที่ 17 หมอมาเช็คฟิล์มสมอง เขาก็บอกปกติ สรุปที่เราต้องเขาร.พ.เพราะยาที่หมอที่จ่ายยาให้วันที่14 เขาจ่ายยาที่มีผลข้างเคียงคือมีอาการเกร็งให้เราค่ะ คงเพราะเขาไม่ใช่หมอเฉพาะทางด้วย ตอนที่อยู่ห้องฉุกเฉินหมอเขาบอกว่ายาตัวนี้ถ้าผู้ใหญ่ 30-40 จะไม่เป็นไร แต่เรายังเด็กก็เลยมีอาการค่อนข้างแรง
เช้าวันที่ 18 หมอให้ออกจากร.พ.ได้ ตอนเช้าเขาพาเราไปแผนกจิตเวชค่ะ ได้คุยกับจิตแพทย์ ได้ยามากิน 2 ตัวค่ะ ตัวหนึ่งเป็นยารักษาอีกตัวเป็นยานอนหลับ หมอบอกเราแต่แรกค่ะว่ายาต้องทานไปอย่างนอน 3 เดือนถึงจะเห็นผล พอเดือนก.พ.ก็มาตามนัดวันที่ 9 คราวนี้ได้เจอนักจิตวิทยาคลินิก ทดสอบ IQ ทดสอบความเชาว์ปัญญาต่างๆค่ะ ทำ 1 วันเต็มๆ อีก 1 อาทิตย์เราไปต้องไปหาหมออีกคราวนี้จะจิตแพทย์ท่านเดิมค่ะ ท่านพูดคุยเพิ่มเติมจากผลที่ทดสอบมาค่ะ ท่านก็บอกรวมๆว่าเราต้องพยายามลดความละเอียดลง เพราะแบบทดสอบออกมาว่าเราเป็นคนละเอียดเกินไป อันไหนทำใจช่างได้ก็ช่างมันไปค่ะ ส่วนเรื่องที่คิดก็กินยา หมอท่านก็ถามเรื่องฝันด้วยค่ะ เราก็ตอบว่าฝัน ท่านก็ถามว่าฝันแล้วจำได้ไหม เราก็บอกว่าจำได้บ้างค่ะ (แต่ก่อนส่วนมากถ้าเราฝันอะไรเราจะจำได้ซะส่วนมากค่ะ) ก็ไม่อะไรท่านก็สั่งยาให้อีก เราก็ยังมีการคิดเรื่องเดิมๆอยู่มันจะผุดมาตอนที่เราอยู่คนเดียว หรือเราหลับตาเห็นความมืด เรามองภาพไม่ชัดด้วยค่ะ(เราสายตาสั้นเกือบสี่ร้อย) เรากลัวเราเลยใส่แว่นอาบน้ำค่ะ ใส่อาบมาครึ่งเดือนแล้ว 555 แปลกนะคะยอมรับ แต่มันรู้สึกโอเคกว่าจริงๆ
หมอนัดอีก 15 มีนาคม คือช่วงปลายเดือนก.พ.เราก็กินยาปกติแต่ไม่ง่วงเหมือนช่วงแรกๆที่กินยาแล้วก็มีอาการคิดขึ้นมาบ่อยๆเราเลยเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างให้หมอฟัง หมดเลยปรับยาที่รักษาจาก 50 มิลลิกรัม(1 เม็ด) เป็น 75 มิลลิกรัม (1เม็ดกับครึ่งเม็ด) ยานอนหลับ 1 เม็ดเหมือนเดิม เราก็กินปกติแต่ช่วงระยะนั้นเราจม เราทรมานกับความคิดมากๆๆๆๆ แย่ ร้องไห้ กรี๊ด อยากกรี๊ดมากก ร้องไห้ครึ่งช.ม. ช.ม.หนึ่ง เราก็เครียด ครอบครัวก็เครียดกันหมด แล้วเรากินยามันมีอาการไม่อยากอาหาร ก่อนช่วงที่เราจะเข้าร.พ.ก็ยพยามกินจากน้ำหนัก 43ขึ้นไปที่ 45 พอเข้ารพวันที่ออกชั่งได้เหลือ 42 พอวันที่ 21 มีนาคม แม่เราจะขอย้ายพาเราไปรักษาโรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่งในจ.เขาบอกต้องมีใบส่งตัวจากหมอที่รักษาเรา เราเลลยกลับไปที่ร.พ.เราไปชั่งน.น.เหลือแค่ 40 พอดีวันนั้นไม่ใช่วันที่หมอเข้า แต่ตอนนั้นมีคนไข้ด่วยพยาบาลก็เลยโทรเรียกแต่พอดีมีจิตแพทย์ที่อยู่คลีนิกเลิกเหล้าเลิกบุหรี่อยู่คุณพยาบาลเลยให้เข้าไปคุณกับจิตแพทย์ท่านนั้น ท่านนี้เป็นหมอหนุ่ม ด้วยความที่อยู่คลีนิกเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ด้วยมั้งคะท่านเลยพูดคุย คนละแนวกับอีกท่าน เราคุยไป 2 ชม โดยมีแม่เข้าไปคุยด้วย ได้คุยอะไรหลายๆอย่าง หมอก็แนะแนวทางดึงตัวเองออกจากความคิด การปฏิบัติตัว ให้ออกกำลัง อย่าทำอะไรบนที่นอน ให้นอนเฉพาะเวลานอน ให้ร่างกายมันจำว่าอยู่ที่นี่ต้องนอน ความคิดความกลัวที่ว่าพ่อแม่จะจากไปก็เปรียบเทียบกับน้ำ ทุกอย่างบนโลกนี้ ไม่ได้หายไปไหน เขาแค่เปลี่ยนสถานะแค่นั้นเอง แม่อาจจะไม่อยู่ให้เราเห็นหรือสัมผัส แต่เรารับรู้ถึงพ่อแม่เราได้จากตัวเราเองเพราะครึ่งหนึ่งของเราคือพ่อ ครึ่งหนึ่งคือแม่ ให้จำคำสอนของท่านไว้ เมื่อคิดถึงก็คิดถึงคำสอนของท่านไว้ เราคุยไปหัวเราะไปร้องไห้ไป แต่มันทำให้เราได้ปลดปล่อย และได้อะไรมาเยอะ แล้วคุณหมอก็เปลี่ยนยานอนหลับให้ใหม่ แรงกว่าเดิมแต่ปลอดภัยกว่า ถามเหตุผลหมอบอกว่า ยาตัวเก่าถ้ากินเกิน 1 ปี จะติดยานอนหลับ ตัวใหม่ให้กิน 1/4 เม็ด มีคนเคยกิน1 เม็ดเต็มแล้วนอนไป 2 วันก็มี หมอบอกว่าถ้าแค่นั้นไม่หลับก็ปรับขนาดยาได้เลยกินครึ่งเม็ดก็ได้ แล้วยาจะช่วยให้อยากอาหารด้วย ตอนนี้ก็กินดีขึ้นมาก
แชร์ประสบการณ์การรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ O.C.D (Obsessive Compulsive Disorder)
โรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ O.C.D (Obsessive Compulsive Disorder)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในส่วนที่เราเป็นจะเป็นอาการย้ำคิดค่ะ จะมีอาการคิดถึงเรื่องความตาย จินตนาการความรู้สึกหลังตาย แต่ไม่ได้อยากตายนะคะ กลัวที่จะต้องตาย มองไปสุดปลายทางว่าตัวเองต้องตาย กลัวมากค่ะ หวาดระแวงจนต้องใช้ชีวิตแบบระวังจนไม่กล้าทำอะไรหลายๆอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เวลาเดินข้ามถนนเราจะมองข้างหลังบ่อยมากทุก 30 วิเลยค่ะ หันจนตัวเองเวียนหัว อาการของโรคเป็นมานานค่ะ ตอนนี้อายุ 19 ตอนที่เริ่มมีอาการกลัวความตาย หรือไม่อยากให้ครอบครัวตายครั้งแรกตอนประมาณ 9 เกือบ 10 ขวบ ตอนนั้นเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆค่ะ แต่คิดจนไปถึงว่าถ้าพ่อตายแม่ตายตัวเองจะอยู่ได้ไหม จะรับได้ไหม ถ้าพ่อหรือแม่ตายก่อน จะฆ่าพ่อหรือแม่ตายตาม ฆ่าตัวเองตายตาม ความคิดมันผุดขึ้นมาเอง ทรมานมากค่ะ ที่เป็นส่วนมากทรมานจนร้องไห้ค่ะ แต่บางครั้งก็เป็นตอนที่อยู่กับเพื่อนก็ต้องพยายามดึงตัวเองออกมา หาวิธีดึงตัวเองออกมาเช่น โทรคุยแม่ เป็นต้นค่ะ
อาการเริ่มกลับมาเป็นหนักๆก็ช่วงม.4 ค่ะ นอนไม่หลับด้วย หลับยาก พอต้องข่มตัวเองนอน พอมันเห็นแต่ความมืดในสมองมันก็จะคิดนั่นนี่ให้หลับจนสุดท้ายมันจะวกกลับไปคิดเรื่องตาย หัวใจเราจะเต้นแรง นอนไม่ได้เลยค่ะ ถ้าวันไหนถ้าไม่ล้าก็จะนอนตี 3-4 บ่อยๆค่ะ ถ้าหลับเร็วหน่อยก็ประมาณ ตี 1-2 ตอนหลับก็ฝันทุกครั้งไม่ว่างีบหลับหรือนอนตอนกลางคืนนะคะ เวลาเรียนก็จะเพลีย หาวบ่อย เหมือนสมองไม่ค่อยได้พักเลยค่ะ เราเริ่มขอแม่ให้พาไปพบจิตแพทย์ตั้งแต่ช่วงม.4ค่ะเพราะเราทรมานมาก การเรียนก็เสีย ชีวิตประจำวันต่างๆก็เสีย เพราะเราเริ่มปลีกตัวจากคน ไม่ชอบการไปเจอคนเยอะๆ เวลามองคนเยอะๆ เช่นไปตลาดเราจะเวียนหัว รำคาญคน หงุดหงิดง่าย เก็บตัวอยู่คนเดียว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เช้าวันที่ 18 หมอให้ออกจากร.พ.ได้ ตอนเช้าเขาพาเราไปแผนกจิตเวชค่ะ ได้คุยกับจิตแพทย์ ได้ยามากิน 2 ตัวค่ะ ตัวหนึ่งเป็นยารักษาอีกตัวเป็นยานอนหลับ หมอบอกเราแต่แรกค่ะว่ายาต้องทานไปอย่างนอน 3 เดือนถึงจะเห็นผล พอเดือนก.พ.ก็มาตามนัดวันที่ 9 คราวนี้ได้เจอนักจิตวิทยาคลินิก ทดสอบ IQ ทดสอบความเชาว์ปัญญาต่างๆค่ะ ทำ 1 วันเต็มๆ อีก 1 อาทิตย์เราไปต้องไปหาหมออีกคราวนี้จะจิตแพทย์ท่านเดิมค่ะ ท่านพูดคุยเพิ่มเติมจากผลที่ทดสอบมาค่ะ ท่านก็บอกรวมๆว่าเราต้องพยายามลดความละเอียดลง เพราะแบบทดสอบออกมาว่าเราเป็นคนละเอียดเกินไป อันไหนทำใจช่างได้ก็ช่างมันไปค่ะ ส่วนเรื่องที่คิดก็กินยา หมอท่านก็ถามเรื่องฝันด้วยค่ะ เราก็ตอบว่าฝัน ท่านก็ถามว่าฝันแล้วจำได้ไหม เราก็บอกว่าจำได้บ้างค่ะ (แต่ก่อนส่วนมากถ้าเราฝันอะไรเราจะจำได้ซะส่วนมากค่ะ) ก็ไม่อะไรท่านก็สั่งยาให้อีก เราก็ยังมีการคิดเรื่องเดิมๆอยู่มันจะผุดมาตอนที่เราอยู่คนเดียว หรือเราหลับตาเห็นความมืด เรามองภาพไม่ชัดด้วยค่ะ(เราสายตาสั้นเกือบสี่ร้อย) เรากลัวเราเลยใส่แว่นอาบน้ำค่ะ ใส่อาบมาครึ่งเดือนแล้ว 555 แปลกนะคะยอมรับ แต่มันรู้สึกโอเคกว่าจริงๆ
หมอนัดอีก 15 มีนาคม คือช่วงปลายเดือนก.พ.เราก็กินยาปกติแต่ไม่ง่วงเหมือนช่วงแรกๆที่กินยาแล้วก็มีอาการคิดขึ้นมาบ่อยๆเราเลยเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างให้หมอฟัง หมดเลยปรับยาที่รักษาจาก 50 มิลลิกรัม(1 เม็ด) เป็น 75 มิลลิกรัม (1เม็ดกับครึ่งเม็ด) ยานอนหลับ 1 เม็ดเหมือนเดิม เราก็กินปกติแต่ช่วงระยะนั้นเราจม เราทรมานกับความคิดมากๆๆๆๆ แย่ ร้องไห้ กรี๊ด อยากกรี๊ดมากก ร้องไห้ครึ่งช.ม. ช.ม.หนึ่ง เราก็เครียด ครอบครัวก็เครียดกันหมด แล้วเรากินยามันมีอาการไม่อยากอาหาร ก่อนช่วงที่เราจะเข้าร.พ.ก็ยพยามกินจากน้ำหนัก 43ขึ้นไปที่ 45 พอเข้ารพวันที่ออกชั่งได้เหลือ 42 พอวันที่ 21 มีนาคม แม่เราจะขอย้ายพาเราไปรักษาโรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่งในจ.เขาบอกต้องมีใบส่งตัวจากหมอที่รักษาเรา เราเลลยกลับไปที่ร.พ.เราไปชั่งน.น.เหลือแค่ 40 พอดีวันนั้นไม่ใช่วันที่หมอเข้า แต่ตอนนั้นมีคนไข้ด่วยพยาบาลก็เลยโทรเรียกแต่พอดีมีจิตแพทย์ที่อยู่คลีนิกเลิกเหล้าเลิกบุหรี่อยู่คุณพยาบาลเลยให้เข้าไปคุณกับจิตแพทย์ท่านนั้น ท่านนี้เป็นหมอหนุ่ม ด้วยความที่อยู่คลีนิกเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ด้วยมั้งคะท่านเลยพูดคุย คนละแนวกับอีกท่าน เราคุยไป 2 ชม โดยมีแม่เข้าไปคุยด้วย ได้คุยอะไรหลายๆอย่าง หมอก็แนะแนวทางดึงตัวเองออกจากความคิด การปฏิบัติตัว ให้ออกกำลัง อย่าทำอะไรบนที่นอน ให้นอนเฉพาะเวลานอน ให้ร่างกายมันจำว่าอยู่ที่นี่ต้องนอน ความคิดความกลัวที่ว่าพ่อแม่จะจากไปก็เปรียบเทียบกับน้ำ ทุกอย่างบนโลกนี้ ไม่ได้หายไปไหน เขาแค่เปลี่ยนสถานะแค่นั้นเอง แม่อาจจะไม่อยู่ให้เราเห็นหรือสัมผัส แต่เรารับรู้ถึงพ่อแม่เราได้จากตัวเราเองเพราะครึ่งหนึ่งของเราคือพ่อ ครึ่งหนึ่งคือแม่ ให้จำคำสอนของท่านไว้ เมื่อคิดถึงก็คิดถึงคำสอนของท่านไว้ เราคุยไปหัวเราะไปร้องไห้ไป แต่มันทำให้เราได้ปลดปล่อย และได้อะไรมาเยอะ แล้วคุณหมอก็เปลี่ยนยานอนหลับให้ใหม่ แรงกว่าเดิมแต่ปลอดภัยกว่า ถามเหตุผลหมอบอกว่า ยาตัวเก่าถ้ากินเกิน 1 ปี จะติดยานอนหลับ ตัวใหม่ให้กิน 1/4 เม็ด มีคนเคยกิน1 เม็ดเต็มแล้วนอนไป 2 วันก็มี หมอบอกว่าถ้าแค่นั้นไม่หลับก็ปรับขนาดยาได้เลยกินครึ่งเม็ดก็ได้ แล้วยาจะช่วยให้อยากอาหารด้วย ตอนนี้ก็กินดีขึ้นมาก