สืบเนื่องจาก กรณี ค.ส.ช. เรียกตัวคุณ วัฒนา เมืองสุข เข้ารายงานตัวเพื่อปรับทัศนคติ เนื่องจากเป็นอดีตนักการเมืองหรือกลุ่มบุคคลที่มีแนวความคิดทางการเมืองที่ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ และใช้สื่อโซเชียล เพื่อขยายแนวความคิดเห็นของตนเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ ออกสู่สาธารณชน หรือกลุ่มมวลชนของตน เหมือนเป็นการส่งสัญญาณบอกต่อกลุ่มมวลชนของตนว่า " ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ " ที่จะมีการทำประชามติกัน ในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 นี้ และมีการวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ในหลายๆมาตราผ่านสื่อโซเชียล ต่างกรรม ต่างวาระ แล้วก็มาถึงจุดแตกหักจนได้เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เมือค.ส.ช. เรียกตัวนาย วัฒนา เมืองสุข เข้ารายงานตัวเพื่อปรับทัศนคติ เรื่องมันจะไม่รุกรามบานปลายใหญ่โตแบบนี้ ถ้าไม่ดึงสื่อและฑูตต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดูเหมือนว่าฝ่ายการเมืองฝั่งคุณ วัฒนา เมืองสุข มีการวางแผนวางเกมมาเป็นอย่างดีเพื่อใช้เสื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศมาช่วยโหมกระพือ กรณีสิทธิมนุษยชน เพื่อชนกับอำนาจของรัฐบาล และ ค.ส.ช จะเห็นได้จากในวันที่คุณ วัฒนา เมืองสุข เข้ารายงานตัวเพือปรับทัศนคติ มีนักข่าวจากหลายสำนักทั้งในประเทศและต่างประเทศ ท่านฑูตจากหลายประเทศในยุโรปถูกเชิญให้เข้าร่วมเพื่อมาสังเกตการณ์ และมีการทำใบปลิวเป็นภาษาอังกฤษมาแจกนักข่าวต่างประเทศ คือ ทั้งหมดนี้มีการวางแพลนวางหมากมาเป็นอย่างดี เพื่อใช้เสื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อมาชนกับอำนาจของ ค.ส.ช และ รัฐบาลโดยเฉพาะ กรณีสิทธิมนุษยชน อีกทั้งในบริเวณนั้นเราได้เห็น อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรี นั่งอยู่ในร้านอาหาร ด้านนอกก็มีอดีตโฆสกรัฐบาล คอยแจกใบปลิวแผ่นพับ( ภาษาอังกฤษ ) ให้นักข่าวต่างประเทศ
อยากบอกว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ..... จะอย่างไรก็แล้วแต่ จะขัดแย้งกันจะเกียจกันขนาดไหน ไม่เห็นด้วยเลยกับการใช้สือต่างประเทศ คณะฑูต UN หรือจะฟ้องสหรัฐอเมริกา กรณีสิทธิมนุษยชน มันเป็นเหมือนการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่??? ไม่อยากให้ชักนำคนข้างนอกหรือองค์กรอะไรก็แล้วแต่มายุ่งเกี่ยวกับเรืองในบ้านในประเทศของเรา ตัวอย่างมีให้เห็น เช่น อิรัก ลิเบีย เซอร์เบีย หรือแม้กระทั่งสงครามในตะวันออกกลางทุกวันนี้ประเทศเหล่านั้นเป็นอย่างไรเห็นๆกันอยู่ กับมาที่ฝ่ายรัฐบาล ท่านนายก ค.ส.ช เขาก็บอกว่าขณะนี้เขาเป็นรัฐฐาธิปัตย์ยังไม่ใช่ในภาวะปกติ เขามีอำนาจ เขาบังคับใช้กฏหมายเพื่อความสงบสุขและเรียบร้อยของบ้านเมือง
ประเด็นที่ 3 เรื่องร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจกันแบบง่ายๆ รัฐธรรมนูญ ก็ เปรียบเสมือนโปรแกรม Anti ไวรัส ในคอมพิวเตอร์นั่นเอง เป็นไปไม่ได้เลยว่าเมือมีการอัพเดทหรือพัฒนาโปรแกรม Anti ไวรัส รุ่นใหม่ๆออกมา โปรแกรม Anti ไวรัส รุ่นใหม่ๆเหล่านนั้นย่อมจะต้องมีความแข็งแกร่ง strong....มากกว่าโปรแกรม Anti ไวรัส รุ่นเก่าๆที่ใช้กันมาเพื่อกำจัดไวรัสให้ตายสิ้นซากไป รัฐธรรมนูญ ก็ เช่นกัน เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นก็จะต้องมีความแข็งแกร่ง ปิดช่องโหว่ ป้องกันและกำจัดการทุจริตคอรัปชั่นซึ่งเปรียบเสมือนไวรัสนั้นให้สิ้นซาก ถ้าถามว่าประชาชนอย่างเราๆควรจะรับรัฐธรรมนูญไหม??? ผม....ตอบว่าผมเอา ผมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ครับ.....โหวตให้ผ่านครับ แล้วถามต่อว่าทำไมถึงรับ??? ก็ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่จะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของนักการเมืองไปในทางที่ดีได้ เลิกกินบ้านกินเมือง หยุดการทุจริตคอรัปชั่นเสียที ก็รัฐธรรมนูญฉบับนี้ล่ะครับ ถ้าจะหวังให้นักการเมืองและพรรคการเมืองในประเทศไทยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยตนเอง โดยที่ไม่มีกฏหมายหรือรัฐธรรมนูญที่มีบทลงโทษที่รุนแรงบังคับเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของนักการเมืองและพรรคการเมือง บอกตรงๆว่าไม่มีทางอย่าหวัง นักการเมืองก็คนเดิมๆหน้าเก่าๆตัวละครเดิมๆพรรคการเมืองก็พรรคการเมืองเดิมๆ แนวความคิดแบบเดิม ที่เรียกว่า นักการเมืองอาชีพหรือเล่นการเมืองเป็นอาชีพนั่นแหละ เลือกตั้งมาก็เหมือนเดิมถ้าไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดโทษที่รุนแรง เอานักการเมืองไม่อยู่หรอก เช่น เดียวกับ กรณีการรณรงค์ให้คดีความข่มขืน ผู้กระทำการข่มขืนหญิงสาวที่ไม่ใช่ภรรยาของตน ต้องได้รับโทษสูงสุดประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ก็ด้วยเชื่อว่าบทลงโทษที่รุนแรงจะทำให้ผู้กระทำความผิดไม่กล้ากระทำ คดีความข่มขืนจะลดน้อยลงหรือไม่เกิดขึ้นเลย ซึ่งก็น่าจะเป็นการตั้งสมมุติฐานที่ถูกต้องแล้ว เช่น เดียวกับ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ด้วยบทลงโทษที่รุนแรง จะสามารถควบคุมพฤติกรรมของนักการเมืองที่มีพฤติการฉ้อราษฏร์บังหลวง ให้ไม่กล้ากระทำ คดีการทุจริตคอรัปชั่นก็จะลดน้อยลง อย่าบอกว่าโลกสวย ก็ทำไมล่ะ ทำไมนักการเมืองถึงกลัวคดียุบพรรคกันหนักหนา??? โดยอ้างว่าไม่เป็นธรรมไม่ยุติธรรม ก็ในเมื่อศาลท่านพิสูจน์ได้ว่า ผู้บริหารพรรค มีส่วนร่วมรู้เห็นและเป็นใจ ให้เกิดการทุจริตการเลือกตั้ง โกงการเลือกตั้ง ให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยมิชอบ ศาลท่านก็ตัดสินให้ยุบพรรคการเมืองและตัดสิทธิทางการเมืองของผู้บริหารพรรคนั้นๆ ซึ่งก็ถูกต้องสมควรแก่เหตุแล้วไม่ใช่หรือ การที่นักการเมืองออกมาอ้างว่าไม่เป็นธรรมไม่ยุติธรรมไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรค ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการยอมรับโต้งๆเลยว่า เลือกตั้งเมื่อไหร่ ก็ทุจริตซื้อเสียงเลือกตั้งเมื่อนั้นถึงได้กลัวกันนักหนาไอ้ยุบพรรคเนี่ย!!! ในทัศนคติความคิดเห็นส่วนตัวของ จขกท. เห็นว่า สมมุติฐานเรื่องบทลงโทษที่รุนแรงเพื่อควบคุมพฤติกรรมการฉ้อราษฏร์บังหลวง การทุจริตคอรัปชั่น ของนักการเมืองและพรรคการเมืองจึงน่าจะถูกต้องแล้วในรัฐธรรมนูญฉบับนี้
กลับมาที่คำถามพ่วง??? ร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องการให้อำนาจ ส.ว.สรรหา ลงคะแนนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ถ้าผ่านประชามติ บอกตรงๆผมก็โหวตไม่เอาคำถามพ่วงนี้ แต่เข้าใจว่าบทบัญญัติเรื่องให้อำนาจ ส.ว. สรรหาลงคะแนนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้จะใช้ในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 5 ปี นี้เท่านั้น ถ้าจะพูดกันจริงๆก็คือ ปัญหาเรื่องวิธีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ยังคงหาทางออกที่ลงตัวไม่ได้??? สรรหาก็ไม่เอา เลือกไข้วไปไข้วมาก็ไม่เอา ปลา 2 น้ำก็ไม่เอา( เลือกตั้งครึ่งนึง สรรหาครึ่งนึง ) เลือกตั้งทั้งหมดเป็นสภาผัวเมีย ส.ว. ที่ได้มาเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองนักการเมือง เป็นสภาทาส ยิ่งไม่เอาใหญ่เลย ในความเป็นจริงก็คือ ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องวิธีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
ก็คือ วิธีปลา 2 น้ำนั่นและ( เลือกตั้งครึ่งนึง สรรหาครึ่งนึง ดุลแห่งอำนาจสมดุลที่สุดและ ) เพียงแต่ไปกำหนดขอบเขตของอำนาจให้ดีเท่านั้นเอง ว่าส.ว.แบบปลา 2 น้ำนี้ควรจะมีขอบเขตของอำนาจได้แค่ไหน ทำอะไรได้บ้างก็เท่านั้นเอง แต่วิธีนี้ก็สะดุดหยุดลงโดนการตั้งแง่รังเกียจของนักการเมืองจะเอาเลือกตั้ง ส.ว. ทั้งหมด ทั้งๆที่ถ้าจะพิจารณาให้ดีแล้วมันเป็นวิธีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาที่ดีที่สุดและลงตัวที่สุดแล้ว จะเอาเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดก็ได้นะ แต่จะเชื่อได้ไหมล่ะว่าสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดนั้น ปลอดจากการแทรกแทรงของนักการเมืองและพรรคการเมือง ไม่เป็นสภาทาส สภาขี้ข้าของนักการเมือง หรือ สภาผัวเมีย คอยโหวตให้ผ่านอย่างเดียวตามคำสั่งของนักการเมือง ไม่มีคุณค่าอะไรเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ก็อย่ามีมันเลยวุฒิสภา จะมีไปทำไมสภาทาสแบบนี้ มีไปเพืออะไร....................................
# เขียนให้คิด
ซัดกันตรงๆ กรณี วัฒนา เมืองสุข และ ร่างรัฐธรรมนูญ
อยากบอกว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ..... จะอย่างไรก็แล้วแต่ จะขัดแย้งกันจะเกียจกันขนาดไหน ไม่เห็นด้วยเลยกับการใช้สือต่างประเทศ คณะฑูต UN หรือจะฟ้องสหรัฐอเมริกา กรณีสิทธิมนุษยชน มันเป็นเหมือนการชักศึกเข้าบ้านหรือไม่??? ไม่อยากให้ชักนำคนข้างนอกหรือองค์กรอะไรก็แล้วแต่มายุ่งเกี่ยวกับเรืองในบ้านในประเทศของเรา ตัวอย่างมีให้เห็น เช่น อิรัก ลิเบีย เซอร์เบีย หรือแม้กระทั่งสงครามในตะวันออกกลางทุกวันนี้ประเทศเหล่านั้นเป็นอย่างไรเห็นๆกันอยู่ กับมาที่ฝ่ายรัฐบาล ท่านนายก ค.ส.ช เขาก็บอกว่าขณะนี้เขาเป็นรัฐฐาธิปัตย์ยังไม่ใช่ในภาวะปกติ เขามีอำนาจ เขาบังคับใช้กฏหมายเพื่อความสงบสุขและเรียบร้อยของบ้านเมือง
ประเด็นที่ 3 เรื่องร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจกันแบบง่ายๆ รัฐธรรมนูญ ก็ เปรียบเสมือนโปรแกรม Anti ไวรัส ในคอมพิวเตอร์นั่นเอง เป็นไปไม่ได้เลยว่าเมือมีการอัพเดทหรือพัฒนาโปรแกรม Anti ไวรัส รุ่นใหม่ๆออกมา โปรแกรม Anti ไวรัส รุ่นใหม่ๆเหล่านนั้นย่อมจะต้องมีความแข็งแกร่ง strong....มากกว่าโปรแกรม Anti ไวรัส รุ่นเก่าๆที่ใช้กันมาเพื่อกำจัดไวรัสให้ตายสิ้นซากไป รัฐธรรมนูญ ก็ เช่นกัน เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นก็จะต้องมีความแข็งแกร่ง ปิดช่องโหว่ ป้องกันและกำจัดการทุจริตคอรัปชั่นซึ่งเปรียบเสมือนไวรัสนั้นให้สิ้นซาก ถ้าถามว่าประชาชนอย่างเราๆควรจะรับรัฐธรรมนูญไหม??? ผม....ตอบว่าผมเอา ผมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ครับ.....โหวตให้ผ่านครับ แล้วถามต่อว่าทำไมถึงรับ??? ก็ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่จะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของนักการเมืองไปในทางที่ดีได้ เลิกกินบ้านกินเมือง หยุดการทุจริตคอรัปชั่นเสียที ก็รัฐธรรมนูญฉบับนี้ล่ะครับ ถ้าจะหวังให้นักการเมืองและพรรคการเมืองในประเทศไทยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยตนเอง โดยที่ไม่มีกฏหมายหรือรัฐธรรมนูญที่มีบทลงโทษที่รุนแรงบังคับเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของนักการเมืองและพรรคการเมือง บอกตรงๆว่าไม่มีทางอย่าหวัง นักการเมืองก็คนเดิมๆหน้าเก่าๆตัวละครเดิมๆพรรคการเมืองก็พรรคการเมืองเดิมๆ แนวความคิดแบบเดิม ที่เรียกว่า นักการเมืองอาชีพหรือเล่นการเมืองเป็นอาชีพนั่นแหละ เลือกตั้งมาก็เหมือนเดิมถ้าไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดโทษที่รุนแรง เอานักการเมืองไม่อยู่หรอก เช่น เดียวกับ กรณีการรณรงค์ให้คดีความข่มขืน ผู้กระทำการข่มขืนหญิงสาวที่ไม่ใช่ภรรยาของตน ต้องได้รับโทษสูงสุดประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ก็ด้วยเชื่อว่าบทลงโทษที่รุนแรงจะทำให้ผู้กระทำความผิดไม่กล้ากระทำ คดีความข่มขืนจะลดน้อยลงหรือไม่เกิดขึ้นเลย ซึ่งก็น่าจะเป็นการตั้งสมมุติฐานที่ถูกต้องแล้ว เช่น เดียวกับ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ด้วยบทลงโทษที่รุนแรง จะสามารถควบคุมพฤติกรรมของนักการเมืองที่มีพฤติการฉ้อราษฏร์บังหลวง ให้ไม่กล้ากระทำ คดีการทุจริตคอรัปชั่นก็จะลดน้อยลง อย่าบอกว่าโลกสวย ก็ทำไมล่ะ ทำไมนักการเมืองถึงกลัวคดียุบพรรคกันหนักหนา??? โดยอ้างว่าไม่เป็นธรรมไม่ยุติธรรม ก็ในเมื่อศาลท่านพิสูจน์ได้ว่า ผู้บริหารพรรค มีส่วนร่วมรู้เห็นและเป็นใจ ให้เกิดการทุจริตการเลือกตั้ง โกงการเลือกตั้ง ให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยมิชอบ ศาลท่านก็ตัดสินให้ยุบพรรคการเมืองและตัดสิทธิทางการเมืองของผู้บริหารพรรคนั้นๆ ซึ่งก็ถูกต้องสมควรแก่เหตุแล้วไม่ใช่หรือ การที่นักการเมืองออกมาอ้างว่าไม่เป็นธรรมไม่ยุติธรรมไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรค ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการยอมรับโต้งๆเลยว่า เลือกตั้งเมื่อไหร่ ก็ทุจริตซื้อเสียงเลือกตั้งเมื่อนั้นถึงได้กลัวกันนักหนาไอ้ยุบพรรคเนี่ย!!! ในทัศนคติความคิดเห็นส่วนตัวของ จขกท. เห็นว่า สมมุติฐานเรื่องบทลงโทษที่รุนแรงเพื่อควบคุมพฤติกรรมการฉ้อราษฏร์บังหลวง การทุจริตคอรัปชั่น ของนักการเมืองและพรรคการเมืองจึงน่าจะถูกต้องแล้วในรัฐธรรมนูญฉบับนี้
กลับมาที่คำถามพ่วง??? ร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องการให้อำนาจ ส.ว.สรรหา ลงคะแนนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ถ้าผ่านประชามติ บอกตรงๆผมก็โหวตไม่เอาคำถามพ่วงนี้ แต่เข้าใจว่าบทบัญญัติเรื่องให้อำนาจ ส.ว. สรรหาลงคะแนนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้จะใช้ในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 5 ปี นี้เท่านั้น ถ้าจะพูดกันจริงๆก็คือ ปัญหาเรื่องวิธีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ยังคงหาทางออกที่ลงตัวไม่ได้??? สรรหาก็ไม่เอา เลือกไข้วไปไข้วมาก็ไม่เอา ปลา 2 น้ำก็ไม่เอา( เลือกตั้งครึ่งนึง สรรหาครึ่งนึง ) เลือกตั้งทั้งหมดเป็นสภาผัวเมีย ส.ว. ที่ได้มาเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองนักการเมือง เป็นสภาทาส ยิ่งไม่เอาใหญ่เลย ในความเป็นจริงก็คือ ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องวิธีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
ก็คือ วิธีปลา 2 น้ำนั่นและ( เลือกตั้งครึ่งนึง สรรหาครึ่งนึง ดุลแห่งอำนาจสมดุลที่สุดและ ) เพียงแต่ไปกำหนดขอบเขตของอำนาจให้ดีเท่านั้นเอง ว่าส.ว.แบบปลา 2 น้ำนี้ควรจะมีขอบเขตของอำนาจได้แค่ไหน ทำอะไรได้บ้างก็เท่านั้นเอง แต่วิธีนี้ก็สะดุดหยุดลงโดนการตั้งแง่รังเกียจของนักการเมืองจะเอาเลือกตั้ง ส.ว. ทั้งหมด ทั้งๆที่ถ้าจะพิจารณาให้ดีแล้วมันเป็นวิธีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาที่ดีที่สุดและลงตัวที่สุดแล้ว จะเอาเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดก็ได้นะ แต่จะเชื่อได้ไหมล่ะว่าสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดนั้น ปลอดจากการแทรกแทรงของนักการเมืองและพรรคการเมือง ไม่เป็นสภาทาส สภาขี้ข้าของนักการเมือง หรือ สภาผัวเมีย คอยโหวตให้ผ่านอย่างเดียวตามคำสั่งของนักการเมือง ไม่มีคุณค่าอะไรเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ก็อย่ามีมันเลยวุฒิสภา จะมีไปทำไมสภาทาสแบบนี้ มีไปเพืออะไร....................................
# เขียนให้คิด