(นิยายกำลังภายใน)ปีกวิหค ปานเมฆา <วิหคดั้นเมฆาฯ ฉบับปรับปรุง> ตอนที่ 10-12

กระทู้สนทนา
10. ปราณพิสดาร

เสียงย่ำเท้าสวบสาบต่อเนื่อง เหล่าบุรุษชุดม่วงซึ่งเพิ่งถูกปล่อยตัวตะลุยวิ่งหวังให้ห่างจากที่พำนักซินแสเทวะโดยเร็ว กระทั่งถึงกลางป่ารกครึ้มไร้วี่แววความผิดปกติ ค่อยยอมฉุดรั้งกันพักเหนื่อย

พลันเท้าคู่หนึ่งกลับผุดขึ้นกลางวงพวกเขาราวภูตผีปีศาจ

ทั้งสองกรีดร้องหวาดผวา ต่างโจนหนีไปคนละทิศละทาง จนหนึ่งในนั้นทำใจกล้าพินิจให้ชัดค่อยร้องขึ้น “เงารางเลือน เจ้า...นี่เจ้ามาดักรอพวกข้าหรอกหรือ”

สตรีผู้สังกัดสมาคมรัตติพิกลเอ่ยปาก “ข้าสั่งพวกเจ้าสะกดรอยตามงูอสนีบาต เพื่อให้แน่ใจว่าส่งมอบป้ายหยกของอดีตพรรคมารอย่างปลอดโปร่ง ไฉนขัดคำสั่งไล่ฆ่านาง”

ลูกพรรคอสุราฆาตเหลือบมองกันไปมา ก่อนจะเริ่มเถียง “ขอเพียงใช้ป้ายหยกนั่นรวบรวมคนจากกลุ่มพรรคมารเก่า พวกเราย่อมยิ่งใหญ่เกรียงไกรขึ้นอีกเท่าตัว จะปล่อยให้ตกอยู่ในมือผู้อื่นได้เช่นไร อีกอย่างเจ้าไม่ใช่คนพรรคเรา ข้าไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งเจ้า”

นัยน์ตาซึ่งโผล่พ้นผ้าคาดหน้าเปล่งประกายลุกโชน “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเหลือชีวิตไว้ขัดคำสั่งใครอีก”

น้ำเสียงเย็นยะเยียบทำอีกฝ่ายเบ้หน้าด้วยประหวั่น ถึงกระนั้นก็ไม่วายทำใจกล้าข่มขู่ “สตรีเช่นเจ้า กล้าแตะต้องคนของพรรคอสุราฆาตเชียวหรือ”

คิ้วโก่งเหนือดวงตาสีดำลึกล้ำเลิกขึ้นคล้ายขบขันเต็มประดา “พวกเจ้าตามล่างูอสนีบาตหงเสี้ยนอยู่ พรรคพวกก่อนหน้าล้วนตายด้วยน้ำมือนาง ไฉนการจบชีวิตของเจ้าสองคนจะเป็นฝีมือข้ากันเล่า”

เมื่อบุรุษชุดม่วงทราบว่าคำขู่ไม่ได้ผล ก็พากันแตกฮือมุ่งกลับสู่เรือนเพลินบุปผาทันที ด้วยแน่ใจว่าอย่างไรที่นั่นย่อมปลอดภัยกว่า พริบตาเสียงลมวูบดังขวับ ตะปูทองสามดอกปักตรึงยังพื้นเบื้องหน้า กั้นทางหนีไว้จนมิด!

เงารางเลือนหายไปแล้ว เหลือเพียงคำพูดราบเรียบลอยจากความมืดหลังตะปู “เห็นแก่ความร่วมมือของเราสองฝ่าย ข้าให้โอกาสพวกเจ้าหลบหนี ชั่วเวลาหม้อข้าวเดือดข้าจะไล่ตามไป หลังจากนี้คงแล้วแต่โชคชะตาจักเมตตาเถิด”

ไม่ต้องรอให้จบประโยค ชายทั้งสองต่างกระโดดเผ่นไปทางด้านตรงข้ามกับเสียงนั้นทันที

******

อากาศของป่าช่วงกลางคืนหนาวเย็นยิ่ง แต่เหงื่อกลับแตกพลั่กจนเสื้อสีม่วงที่สวมใส่โชกชุ่มไปหมด เขาเหลียวดูรอบตัว ไม่รู้เพื่อนอีกคนหายไปตั้งแต่เมื่อใด

จู่ ๆ ขนทั่วร่างพลันลุกชัน สองเท้าที่กำลังซอยถี่ยิบกลับรั้งหยุดในท่าเตรียมพร้อม สัญชาตญาณระแวงภัยร้องเตือนว่ามัจจุราชอยู่ไม่ไกลจากนี้แล้ว

“นังบ้า” เขาตะโกนข่มความกลัว “อย่าคิดว่าเรื่องจะจบง่าย ๆ หลังเพื่อนข้าหนีกลับไปแจ้งที่พรรคได้ เจ้าต้องได้รับการแก้แค้นอย่างสาสม ข้าไม่กลัว...”

ฉึก!

ใบมีดขนาดเดียวกับที่เคยติดปลายแส้งูอสนีบาตหงเสี้ยน ทะลวงผ่านคอหอยคนปากมาก พาทั้งร่างลอยไปตรึงยังต้นไม้ ตาเขาเหลือกค้าง มิทันรับรู้กระทั่งความรู้สึกสุดท้ายก่อนวิญญาณหลุดจากร่าง

ในความมืดเบื้องหน้าบุรุษไร้วิญญาณ ปรากฏมือขาวนวลเอื้อมดึงอาวุธ เลือดพุ่งกระฉูดพร้อมร่างในชุดม่วงร่วงกองพื้น แล้วสตรีชุดดำจึงเอ่ยแช่มช้า “ฝากทักทายเพื่อนเจ้าที่ไปรอยังปรโลกก่อนด้วย”

“ฮ่า ๆๆ”

กลางพนาเวิ้งว้างไร้สิ่งมีชีวิต พลันบังเกิดเสียงหัวเราะโหยหวนไม่ปรากฏที่มา ดุจภูตผีกรีดร้องแผดสะท้อนผืนป่า ทว่าเงารางเลือนยังคงเฉยเมยดุจเดิม เพียงกล่าวห้วน ๆ สวนตอบว่า

“ภมรสำราญ การแอบดูคนเป็นหน้าที่ของข้า เจ้ามีสิ่งอื่นต้องกระทำอีกมิใช่หรือ”

คำหัวร่อไร้ทิศทางค่อยแปรเปลี่ยนเป็นเสียงทุ้มต่ำของบุรุษ “เจ้าไม่ต้องห่วง งานที่ประมุขสั่งไว้ข้าจัดเตรียมพร้อมพรัก แค่แวะเวียนมาฆ่าเวลาเท่านั้น”

หญิงสาวมองร่างจมกองเลือดด้วยแววตาปราศจากความรู้สึก “ข้าผิดเอง นึกว่าวางใจได้จึงปล่อยปละพวกมันจนเกือบผิดพลาด ลูกน้องพรรคอสุราฆาตที่รับมาใหม่ช่วงนี้ช่างเกินทนเสียจริง”

ลมพัดแรงใบไม้ไหวพะเยิบ ทว่าเสียงซึ่งมิอาจบ่งที่มายังกังวานดุจเดิม แสดงถึงพลังลมปราณอันไม่ธรรมดา “มันสองคนช่างน่าสงสาร นึกว่ามีโอกาสรอด ที่ไหนได้เพราะเจ้ารำคาญจะแบกศพให้ห่างเรือนซินแสเทวะ จึงจงใจหลอกให้วิ่งมาอีกทาง จนกลายเป็นผีไม่มีญาติกลางป่า”

เงาเรือนลางไม่ตอบคำ ชั่วพริบตานางก็อันตธานไปเสียแล้ว

เหลือแต่เสียงหัวเราะเสียดหูของภมรสำราญ ที่ค่อย ๆ จางหายท่ามกลางรัตติกาลแห่งคาวเลือด ส่วนหนึ่งในกงล้อซึ่งช่วยผลักดันแผนการชั่วร้าย...ให้เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน

*****

ซินแสเทวะเจ้าจื้อสุยวางหนังสือในมือลง เหม่อมองนอกหน้าต่างเพื่อพักสายตา แต่ช่วงเช้ามืดบรรยากาศขมุกขมัวยากแลสิ่งใดได้ถนัด ก่อนความรู้สึกบางอย่างจะกระตุ้นให้หันไปทางเข้าห้องหนังสือ ครั้นเห็นเงาลับล่อทาบทับกระดาษบุประตู จึงแย้มริมฝีปากร้องว่า “ไป่หนิง เข้ามาเถอะ”

บานประตูผายกว้างพร้อมรอยยิ้มประจบของฟ่านไป่หนิงที่โผมานั่งเกาะเข่าชายสูงวัย “อาจารย์อยู่อ่านหนังสือทั้งคืนคงเหนื่อย ประเดี๋ยวข้าจะต้มโจ๊กร้อน ๆ มาให้”

ซินแสเทวะลูบหนวดเบา ๆ “กลับมาครานี้เจ้าช่างเป็นห่วงอาจารย์เสียเหลือเกิน ทั้งที่เกลียดงานครัวมากยังอาสาแต่เช้า”

“เพราะข้านอนไม่ค่อยหลับ มัวเกรงอาจารย์หักโหมจนเสียสุขภาพ”

“ห่วงขนาดลืมถอดหน้ากากแผลเป็นออกเลยรึ”

ฟ่านไป่หนิงสะดุ้ง ได้แต่ร้องแหะ ๆ รีบแกะแผ่นหนังออกทันที เรื่องสีผิวหนังที่ผิดแปลกไปนั้น นางใช้ต้นสามใบไร้รากรักษาตั้งแต่ตอนเฝ้าอาการสือหย่งหลุนในจวนเจ้าเมืองแล้ว ยามนี้จึงเหลือเพียงใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้รอยมลทินดั่งเดิม

เจ้าจื้อสุยได้โอกาสถามต่อ  “ไฉนไม่เอาออกเสียแต่เนิ่น”

“ข้า...” นางอ้ำอึ้งสักพัก ค่อยสารภาพเสียงอ่อย “ข้าไม่รู้จะอธิบายให้พี่หย่งหลุนฟังอย่างไร มันดั่งการหลอกลวงสหาย ลำบากใจนัก”

แค่ประโยคเดียวชายชราก็เดาเรื่องออกหลายส่วน ได้แต่นึกขบขันปนอ่อนใจ คาดว่าบิดาที่ต้องมองบุตรีเริ่มรับชายอื่นเข้ามาในชีวิต คงลิ้มรสชาติไม่ต่างกันกระมัง

“ไป่หนิง” เจ้าจื้อสุยลูบศีรษะนางช้า ๆ “เจ้าหายไปนานทีเดียว เกิดอะไรขึ้นบ้าง เล่าให้อาจารย์ฟังได้หรือไม่”

ดรุณีน้อยเต็มใจสาธยายสิ้นทุกสิ่ง ก่อนสรุปปิดท้ายว่า “พี่หย่งหลุนช่างน่าสงสารนัก ขอร้องอาจารย์ช่วยเหลือด้วยเถิด”

ซินแสเทวะหรี่ตาใคร่ครวญ พลางรวบหนังสือที่เปิดอ่านเมื่อครู่ไว้ในมือ “เอาเถอะ เจ้าไปตามเขามาที่นี่ได้แล้ว ข้ามีเรื่องต้องพูดคุยหลายอย่าง”

“อาจารย์ แต่นี่ยังเพิ่งเช้ามืด”

ชายชราถอนหายใจดังเฮือก “เมื่อคืน คิดว่ามีแค่เจ้าที่นอนไม่หลับอย่างนั้นรึ”

*****
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่