(นิยายกำลังภายใน)ปีกวิหค ปานเมฆา <วิหคดั้นเมฆาฯ ฉบับปรับปรุง> ตอนที่ 16-18

กระทู้สนทนา
16. เริ่มฝึกลมปราณกลับทิศ

เลือดบนหลังมือฟ่านไป่หนิงหยุดไหลแล้ว ดรุณีน้อยจึงเลิกใส่ใจมัน ทั้งสำนึกว่าตอนนี้พวกนางตกเป็นรองทุกอย่าง คงได้แต่พยายามใช้ฝีปากหลอกล่อศัตรู

“มั่นใจว่าของในมือพวกเราเป็นหลักฐานจริง ๆ หรือ บางทีอาจเป็นแค่อีกเบาะแสเท่านั้น แล้วลำพังท่านสองคนคิดไขความลับต่อไป จักกระทำได้ราบรื่น?” นางย้ำคำท้ายเสียงสูง

“เลิกลักไก่ประวิงเวลาเถอะน่า” ภมรสำราญกลับดักทางนางถูก “พวกเจ้าดั้นด้นไปกันแต่เช้า หากไม่ได้หลักฐานแล้วคงไม่คิดกลับมาโดยง่าย หรือถ้าได้เบาะแสใหม่ให้วกกลับมาตั้งหลักที่บ้าน คงไม่ยอมเสียเวลาพักเหนื่อยยังห้องรับแขกเฉย ๆ เป็นแน่”

เขากล่าวอย่างผู้ที่เตรียมการเป็นอย่างดี “ถึงแม้ข้าจะคาดผิดแล้วอย่างไรเล่า มีคุณหนูซื่อเนี่ยนเป็นตัวประกัน ต่อให้ในมือพวกเจ้าเป็นแค่เบาะแสจริง ๆ สุดท้ายก็ต้องตามหาหลักฐานมาแลกนางกับข้าอยู่ดี”

ฟ่านไป่หนิงขบกรามกรอด ครานี้พวกนางตกสู่กับดักอย่างไม่ทันตั้งตัว ไร้หนทางต่อสู้จริง ๆ คิดแล้วต้องหันมองทังฟู่กุ้ย จะอย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องของตระกูลทัง ต้องให้ผู้เกี่ยวข้องเป็นคนตัดสินใจ

ทังฟู่กุ้ยละล้าละลัง ยิ่งหวนนึกถึงใบหน้าผิดหวังของบิดา ยิ่งตัดสินใจไม่ถูก

“เจ้าบ้านทัง” ถูซิ่นจงเอ่ยราวอ่านใจเขาปรุโปร่ง “เงินทองลาภยศหรือจะสำคัญเท่าซื่อเนี่ยน”

“เจ้าพูดได้เพราะไม่เคยผ่านคืนวันเช่นข้า” ทังฟู่กุ้ยแย้งเสียงเข้ม “ไม่เคยต้องนั่งฟังบิดาเล่าถึงอดีตอย่างร้าวราน ไม่เคยต้องคิดระแวงแอบปิดบังสถานะตน ได้แต่ยืนมองภาพบ้า ๆ ซึ่งบรรพบุรุษทิ้งไว้แล้วโทษตัวเองที่ไร้สามารถ หนทางแก้ความอัปยศอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ กลับทำอันใดไม่ได้”

ทั้งร่างทังฟู่กุ้ยสั่นสะท้าน “แต่ตอนนี้...ตอนนี้ของในมือข้า จะช่วยคืนความบริสุทธิ์ให้ตระกูลอีกครั้ง”

สือหย่งหลุนถอนใจเฮือก “ใช่ว่าตอนนั้นท่านอูซื่อจุนจะไม่เจ็บแค้น แต่ท่านก็ตัดใจเลือกความปลอดภัยของครอบครัวมากกว่าสิ่งใด”

เจ้าบ้านทังสะดุ้งกับคำพูดเสียดแทง พอเหลือบมองบุตรสาว ใบหน้าเขายิ่งบิดเบี้ยวสุดระงับ รีบยิ้มของในมือไปทางถูซิ่นจง กล่าวเสียงสั่น “เอาไป...รีบเอาไปก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”

ชายเคราดำดีใจสุดแสน คว้าถุงหนังเตรียมเดินไปหาหลี่หลงเหอ ทว่าแขนบอบบางของดรุณีน้อยกลับยื่นมาขวางหน้าเขาไว้ แล้วนางค่อยเอ่ยว่า

“ก่อนจะแลกเปลี่ยนกัน ข้าขอคำยืนยันประกันความปลอดภัยของตระกูลทังด้วย”

หลี่หลงเหอเลิกคิ้ว “เจ้าหมายความเช่นไร”

“ก็หลังจากพวกเจ้าได้หลักฐานไปแล้ว เกิดอยากฆ่าคนปิดปากขึ้นมา...”

หลี่หลงเหอหัวเราะลั่นสวนขึ้นอีกครั้ง “ได้ ข้ารับปาก ขอเพียงพวกเขาสัญญาเลิกยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ ข้ารับประกันความปลอดภัยของคนในตระกูลทังทุกคน”
“ท่านรับประกันแล้วนางเล่า” ฟ่านไป่หนิงชี้ไปยังอดีตสาวรับใช้ทังซื่อเนี่ยน

เงารางเลือนพินิจดูดรุณีน้อยเนิ่นนาน สุดท้ายจึงกล่าวว่า “ได้ ข้าเงารางเลือนและภมรสำราญ...” นางสะบัดหน้าไปทางชายข้างตัว “...แห่งสมาคมรัตติพิกล ยินยอมรับปากตามนั้น”

นางจงใจเอ่ยนามตนและชื่อสมาคมที่สังกัด คือการทำตามธรรมเนียมชาวยุทธ ว่าทุกคำที่เปล่งจากปากล้วนต้องเป็นตามนั้น เพื่อมิให้เสื่อมเสียชื่อเสียงตัวเองและสมาคมในภายหลัง

“สมาคมรัตติพิกลอันใด ข้าไม่เคยได้ยิน” ฟ่านไป่หนิงขมวดคิ้วถาม

ภมรสำราญจึงแสยะยิ้มตอบว่า “ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานเจ้าจะได้ยินจนหูชาเป็นแน่”

“ภมรสำราญ” เงารางเลือนเรียกชื่อเขาเป็นเชิงปราม แม้ฝ่ายชายจะแสดงท่าไม่ใส่ใจแต่ก็ยอมหยุดคำโดยดี

ดรุณีน้อยเหลียวมาพยักเพยิดให้ถูซิ่นจง ชายเคราดำจึงเดินไปยื่นถุงหนังสองใบแก่หลี่หลงเหอ พอเขารับไปก็รีบเปิดดูจดหมายก่อน แล้วอุทานว่า

“ใช่ลายมืออูซื่อจุนจริง ๆ”

หลังเขาอ่านข้อความทั้งหมดและตรวจสอบจี้หยกครึ่งชิ้นแล้วก็ผงกศีรษะให้เงารางเลือน นางจึงส่งขวดยาแก้พิษแก่ชายเคราดำ ครั้นเสร็จสรรพเรียบร้อย หลี่หลงเหอจึงแสร้งประสานมือคารวะอีกฝ่าย

“เจรจาการค้าสำเร็จด้วยดี พวกข้าขอตัวก่อน”

พริบตาถัดมา เบื้องหน้าพวกสือหย่งหลุนนอกจากร่างคุณหนูซื่อเนี่ยนแล้วก็ไร้ซึ่งบุคคลใดอีก ถูซิ่นจงกระวีกระวาดประคองนางในดวงใจขึ้นมาป้อนยาแก้พิษ ส่วนสือหย่งหลุนเมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าฝ่ายนั้นจากไปแล้ว ค่อยกลับมาเริ่มปรึกษาสหาย

“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าพวกนั้นจะรักษาคำพูด”

ฟ่านไป่หนิงชูบาดแผลบนมือให้ดู “ระยะแค่นี้สำหรับคนที่ใช้อาวุธลับอย่างไรก็ไม่มีทางพลาด ยิ่งตอนนั้นพวกเราเอาแต่พะวงรับมือเจ้าภมรสำราญอะไรนั่น ผู้หญิงที่เรียกว่าเงารางเลือนคิดปลิดชีพง่ายดุจพลิกฝ่ามือ แต่นางกลับไม่ทำ ข้าจึงมั่นใจว่าถ้าเราไม่เล่นแง่เกินไปนัก พวกเขาคงไม่คิดฆ่าตั้งแต่ต้นแล้ว”
ดรุณีน้อยก้มมองทังฟู่กุ้ยผู้กำลังช่วยว่าที่ลูกเขยอุ้มบุตรสาวมานั่งพัก เอ่ยเตือนว่า “แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับเจ้าบ้านทังด้วย”

ทังฟู่กุ่ยกอดลูกสาวแนบอก ฝืนยิ้มทั้งที่น้ำตานองหน้า “ไม่แล้ว...พอกันที ข้าสาบานว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้อีก ขอเป็นแค่พ่อค้าธรรมดาก็พอ”
*****

อีกหนึ่งปักษ์จะมีงานมงคลสมรสระหว่างทังซื่อเนี่ยนและถูซิ่นจง

ทว่าฟ่านไป่หนิงหรือจะสนใจ ตอนนี้ในหัวนางมีแต่เรื่องรบเร้าเอาสัญญากับชายเคราดำเท่านั้น

“จอมยุทธถู เมื่อไหร่จะเริ่มสอนวิชาพี่หย่งหลุนเสียที”

วันนี้เป็นรุ่งขึ้นถัดมา แม้จะเบาใจว่าสองคนร้ายคงไม่หวนกลับ แต่เพื่อความมั่นใจฟ่านไป่หนิงจึงแนะนำให้ทังฟู่กุ้ย หลอกแต่งหนังสือขู่ขึ้นมาฉบับหนึ่งนำไปแจ้งความกับที่ว่าการ เพื่อขอมือปราบมาคุ้มครองชั่วคราว ส่วนถูซิ่นจงแม้ใจอยากอยู่เป็นเพื่อนนางในดวงใจเพียงใด ก็ต้องตัดใจป้องกันข้อครหา ได้แต่พาสองสหายกลับมาพักที่บ้าน ถึงกระนั้นพอเช้าเขาก็เดินทางไปดูแลคนในบ้านตระกูลทังทันที จนสายกลับมาค่อยพบว่าดรุณีผู้นี้ดักรอเขาอยู่แล้ว

“ได้ ๆๆ” ชายเคราดำเอ่ยตัดรำคาญ ก่อนชี้ใส่หน้าสือหย่งหลุนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า “แต่ข้ามีเรื่องให้เจ้ารับปากสองข้อ หากทำไม่ได้ข้าก็ไม่สอน”

ฟ่านไป่หนิงคิดแผดเสียงประท้วงดีว่าเด็กหนุ่มห้ามไว้ทัน

“ข้อแรก” ถูซิ่นจงกล่าวไปเรื่อย ๆ ไม่สนใจท่าทางฮึดฮัดของดรุณีน้อย “ข้าไม่คิดรับศิษย์ ฉะนั้นห้ามเรียกข้าเป็นอาจารย์”

สือหย่งหลุนเลิกคิ้วแปลกใจ ความจริงเขาเองก็กำลังคิดขอร้องเรื่องนี้อยู่แล้ว ด้วยตัวเขาเป็นศิษย์สำนักเพลิงหาญไม่อาจคำนับผู้อื่นเป็นอาจารย์ถ้าข่งเจียงไม่อนุญาต เด็กหนุ่มจึงรับคำแทบทันที

“ข้อสอง ห้ามเผยแพร่เคล็ดวิชานี้ให้บุคคลอื่นทราบเด็ดขาด”

อาการหวงวิชาของชายตรงหน้าประจักษ์แก่ใจสือหย่งหลุนดี ข้อนี้ยิ่งไม่มีปัญหา

ถูซิ่นจงกอดอกพลางพยักหน้าพึงพอใจ “รูปร่างเจ้าล่ำสันสมบูรณ์ ลักษณะเหมือนเคยฝึกวิทยายุทธมาก่อน ทำไมยังอยากรู้วิชาข้าอีก”

เด็กนุ่มชิงตอบก่อนที่ฟ่านไป่หนิงจะทันทัดทาน “ข้ามีปัญหาทำให้ฝึกลมปราณของสำนักเพลิงหาญไม่ได้”

“พอแล้ว” ดรุณีน้อยรีบร้องขัด อดนึกไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มนิสัยสัตย์ซื่อไว้ใจคนง่ายเกินไป “เรื่องของพี่หย่งหลุนเกี่ยวอันใดกับท่าน”

“เฮอะ ช่างพวกเจ้าสิ ข้าจะสอนวิชาให้เจ้าหนุ่มแล้ว เจ้าก็หลบไปเสีย”

ฟ่านไป่หนิงหน้าบูด แต่แค่พักเดียวกลับยิ้มระรื่น ทำท่ากระโดดโลดเต้นไปทางประตู ปากก็ร้องว่า “เช่นนั้นข้าขอไปสนทนาฆ่าเวลากับคุณหนูซื่อเนี่ยน จะได้เล่าเรื่องความไร้น้ำใจของว่าที่เจ้าบ่าวให้นางฟัง”

ถูซิ่นจงสะดุ้ง รีบกระโดดไปขวางทางนังหนูจอมทะเล้น ฟ่านไป่หนิงจึงชะงักฝีเท้า วาดมือไพล่หลังลอยหน้าลอยตาเข้าหาชายเคราดำ “ข้าน่ะหูดีนา ขืนรั้งตัวไว้เกิดไปได้ยินเคล็ดวิชาที่ท่านหวงนักหวงหนาเข้า ข้าไม่รู้ด้วย”

เจ้าของบ้านคิ้วกระตุก กัดฟันกรอด ๆ ไม่ยอมพูดคำ ได้แต่มองตามนางเดินกลับไปยืนข้างสหาย แล้วดรุณีน้อยจึงหันมาหลิ่วตาใส่พร้อมว่า

“แต่ข้าก็เป็นคนรักษาสัจจะ รับรองว่าถ้ารับปากท่านเรื่องสัญญาสองข้อเหมือนพี่หย่งหลุนแล้ว ไม่มีบิดพลิ้วแน่”

“เจ้า...” ถูซิ่นจงชี้หน้านางด้วยความโมโห แต่หลังใคร่ครวญสักพักก็ปลงตกว่าตนคงไม่มีทางชนะการปะทะคารมกับดรุณีน้อยเป็นแน่ ได้แต่ทิ้งแขนลงข้างตัวพลางพูดคล้ายหมดอาลัยตายอยาก

“เอาเถอะ ๆ อยากทำอันใดก็ทำ” กล่าวจบค่อยเดินนำทั้งสองไปยังลานผ่าฟืนหลังบ้าน จากนั้นจึงร้องถามเด็กหนุ่ม “เจ้าพอเดินลมปราณได้หรือไม่”

เด็กหนุ่มหันมาสบตาสหายคล้ายจะปรึกษา จากที่ซินแสเทวะเคยอธิบาย ตอนเขารำกระบวนท่าเพลิงโกรธาก็ควรมีลมปราณไหลวนไปจนถึงตำแหน่งตันเถียนล่างจึงจะหายไป แต่เขาเองยังไม่ค่อยแน่ใจนัก เมื่อกระซิบเล่าให้ดรุณีน้อยฟัง นางก็เสริมความมั่นใจว่า

“ตอนข้าเดินลมปราณในร่างพี่ยังสามารถทำได้อย่างปกติ ดังนั้นความคิดพี่น่าจะถูกต้อง”

เขาจึงเอ่ยให้ถูซิ่นจงฟังว่าพอได้ ชายเคราดำร้องสั่งให้เขาลองทำดู

สือหย่งหลุนเริ่มวาดเท้าแยกจากกัน สองมือกำหมัดหงายหักศอกแนบตัว สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วเคลื่อนไหวไปตามกระบวนท่าเพลิงโกรธาที่ร่ำเรียนมา

ครั้งนี้เขาตั้งสมาธิไล่ตามภายในร่างกาย เพียงเริ่มต้นก็คล้ายว่าตัวเบาสบาย ดั่งมีลมที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้เข้ามาโอบอุ้มทั่งร่างเอาไว้ แต่ไม่นานการรับรู้นั้นพลันขาดหาย กล้ามเนื้อหนักอึ้งและเกร็งต้านไม่ค่อยไหลรื่น แต่ก็พยายามฝืนรำจนครบกระบวนท่า

พริบตาที่หงายมือซ้ายตรงท้องน้อย ประสานกับมือขวาซึ่งกางอยู่ด้านบนในท่าจบ เด็กหนุ่มค่อยเริ่มเข้าใจเป็นครั้งแรกว่าที่ผ่านมา ความรู้สึกแปลกปลอมซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลาที่ฝึกวิชานั้นเป็นเพราะสาเหตุใด

ถูซิ่นจงพยักหน้าเบา ๆ ก่อนเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มระหว่างพูดว่า “ลองรำกระบวนท่าอีกครั้ง”

สือหย่งหลุนจึงเริ่มใหม่ตามสั่ง ความรู้สึกเบาสบายหวนคืนมา ครานี้เขายิ่งแยกแยะได้ว่าลมอันไร้ที่มานั้นค่อย ๆ ผุดจากปลายนิ้ว ไล่ผ่านใต้ผิวหนังลามไปตามช่วงแขน...

ผลัวะ!

เด็กหนุ่มเซถลาตามแรงกระแทกจนล้มเข่าข้างหนึ่งยันพื้น กระอักโลหิตออกมากองใหญ่ มือคว้าคลำด้านหลังไหล่ที่ถูกฟาดทันที

ฟ่านไป่หนิงแทบพุ่งเข้าหาถูซิ่นจงในช่วงเดียวกัน หมายปัดฝ่ามือชายเคราดำซึ่งเป็นต้นเหตุการบาดเจ็บของคู่หู แต่ถูซิ่นจงไวกว่ามาก เขาหมุนตัวครั้งเดียวก็หลบหลีกอย่างง่ายดาย

“เจ้าลอบกัด” ดรุณีน้อยตะโกนด้วยความโกรธ สองมือเตรียมตั้งท่ากระเรียนเพรียกลมหวังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แต่ผู้ถูกกล่าวหากลับหย่อนตัวนั่งบนตอไม้ที่ใช้ฝ่าฟืนดุจไม่แยแส กล่าวเสียงเรียบเรื่อยใส่ทั้งสองว่า

“โกรธอะไรนักหนา ข้าก็กำลังสอนวิชาอย่างไรเล่า แต่ข้ามันใจร้อนให้มานั่งบอกเคล็ดวิชาทีละคำรอเจ้าหนุ่มลองผิดลองถูกก็กระไรอยู่ มิสู้ใช้วิธีให้ร่างกายจดจำไว้เองนี่แหละ ดีที่สุดแล้ว”

ฟ่านไป่หนิงได้แต่รั้งท่ากลับ ผินหน้ามองสหายที่ยังทรุดร่างหายใจกระแทกแล้วใจดิ่งวูบ เร่งฝีเท้าไปประคองเขาปากก็พร่ำว่า “สอนวิชาอันใดกัน หลอกทำร้ายผู้คนชัด ๆ”

สือหย่งหลุนตบบ่านางเบา ๆ ขณะฝืนร่างขึ้นถามชายเคราดำว่า “ข้าปัญญาต่ำต้อย หวังจอมยุทธถูช่วยไขความกระจ่าง”

“เฮอะ ถ้อยคำสละสลวยในยุทธจักรน่าเหม็นเบื่อ บอกแล้วว่าข้าไม่ใช่จอมยุทธเลิกเรียกแบบนั้นเสียที พวกเจ้าถือได้ว่ามีบุญคุณกับข้า เรียกพี่ถูก็พอ”

“เช่นนั้นพี่ถู” ฟ่านไป่หนิงเองก็เบื่อพิธีรีตรอง จึงทำตามเขาง่ายดาย “จู่ ๆ กระทำเยี่ยงนี้แล้วคิดว่าพวกข้าต้องเข้าใจวิชาท่านมันออกจะเกินไปกระมัง ข้าขอยืนยันว่าอาจารย์ไม่เคยพูดถึงวิชาท่านให้ฟังเลย ขนาดวิชาชื่ออะไรก็ยังไม่รู้”

ถูซิ่นจงเชิดหน้า “วิชาข้าไม่มีชื่อ เรียกว่าฝึกลมปรานกลับทิศก็แล้วกัน”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่