(นิยายกำลังภายใน)ปีกวิหค ปานเมฆา <วิหคดั้นเมฆาฯ ฉบับปรับปรุง> ตอนที่ 8-9

กระทู้สนทนา
8. สมาคมรัตติพิกล

ประกาศิตสั่งตายจากปากเจ้าเมืองทำฟ่านไป่หนิงตัวเย็นเฉียบ นางอุตส่าห์ไตร่ตรองเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าจนมั่นใจว่ามีโอกาสพลิกสถานการณ์จากร้ายเป็นดี หรืออย่างน้อยตนคงรับเคราะห์เพียงลำพัง ด้วยกว่าสือหย่งหลุนจะฟื้นก็ควรเป็นสามวันให้หลัง ถึงป่านนั้นหากนางเป็นอันใดเขาย่อมมิอาจแก้ไข และคงตัดใจหลบหนีสู่นครหลวงอย่างปลอดภัย

ทว่าทุกอย่างพลันกลับตาลปัตรไปหมด เริ่มตั้งแต่ความอาฆาตแค้นของเซียวหยุนทำนางเกือบตาย แม้นรอดได้ด้วยฝีมือของสือหย่งหลุน แต่การปรากฏตัวของเขาก็โค่นล้มคำโป้ปดนางพังทลาย สุดจะเยียวยาแก้ไขได้อีกแล้ว!

“ใต้เท้าได้โปรดฟังข้าก่อน...” ความพยายามของฟ่านไป่หนิงต้องหยุดลง เมื่อตงเหลียงเอ่ยแทรกเบา ๆ

“หุบปากซะ ขืนเจ้าพูดต่อข้าจะให้ลูกน้องค่อย ๆ หักกระดูกสหายเจ้าทีละท่อน” เขารอจนดรุณีน้อยจำใจเงียบตามคำขู่ แล้วจึงสนทนากับสือหย่งหลุน “เจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร”

เนื่องจากตงเหลียงคาดว่าคู่หูของดรุณีน้อยตายไปตั้งแต่ตอนลอบขึ้นเกาะแล้ว จึงไม่คิดว่าสือหย่งหลุนจะเป็นบุคคลผู้นั้น ทั้งเขารู้จักนิสัยสือหย่งหลุนดี ย่อมเห็นคำพูดเด็กหนุ่มน่าเชื่อถือกว่าดรุณีน้อยซึ่งดูจะฉลาดกลับกลอกจนเกินไป

ทว่าทั้งที่อยู่ภายใต้การจับกุม เด็กหนุ่มยังยืดอกขึ้นอย่างทะนง กล่าวเสียงหนัก “ข้าเป็นคนวางแผนขโมยต้นสามใบไร้รากด้วยตนเอง ไป่หนิงกับป้าเซียงไม่รู้เรื่องด้วย ได้โปรดปล่อยนางทั้งสองไปเถอะ”

ตงเหลียงฟังแล้วงงงันวูบ หากไม่ทันได้ซักไซ้ต่อเจ้าเมืองอุยก็บันดาลโทสะขึ้นเสียก่อน

“ไอ้คนถ่อย รวมหัวกันหลอกลวงครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าจะ...”

“ผู้แทนพระองค์เสด็จ!”

คำประกาศดังกังวานพร้อมกับกลุ่มคนปรากฏตัวด้านนอกห้องพิจารณาคดี เจ้าเมืองอุยหน้าเสีย รีบคุกเข่าคารวะพลอยให้คนอื่นทำตาม แต่สือหย่งหลุนกลับหันขวับไปมองด้วยสงสัย

หากพินิจเพียงใบหน้าของชายร่างสูงโปร่งผู้นำขบวนอยู่นั้น พอเดาได้ว่าเขายังอยู่ในวัยฉกรรจ์ แต่ผมบนศีรษะกลับมีสีเงินอ่อน ๆ กระทั่งคิ้วก็เป็นเฉกเดียวกัน ส่วนผิวนั้นค่อนข้างซีดกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย ทว่าก็ดูกลมกลืนไปกับชุดขาวเรียบ  ซึ่งแม้ตัดเย็บอย่างประณีตแต่ไร้การตกแต่งให้สมฐานะ ตอนชายผมเงินเดินผ่านสือหย่งหลุนเพื่อไปให้ถึงบัลลังก์ศาล  เด็กหนุ่มสังเกตว่าเขาสูงกว่าตนมาก ทั้งที่สือหย่งหลุนเองก็จัดว่าสูงกว่าชายหนุ่มทั่วไปอยู่แล้ว  

เจ้าเมืองอุยหมอบร่างอยู่หน้ายกพื้นที่ตั้งบัลลังก์พิจารณาคดี แต่แทนที่ผู้แทนพระองค์จะตรงไปหาเขา ฝีเท้าสม่ำเสมอนั่นพลันหยุดยังเบื้องหน้าฟ่านไป่หนิง นางประสานสายตากับผู้มาใหม่พร้อมหลุดปากดังลั่น

“ศิษย์พี่รอง!”

ช่างบังเอิญจนเหลือเชื่อ ผู้แทนพระองค์ที่ฮ่องเต้ส่งมาตรวจราชการ กลับกลายเป็นลูกศิษย์คนที่สองของซินแสเทวะ!

ดวงตาสีแดงใสกระจ่างเด่นรับรูปหน้าคมคายเพ่งพิเคราะห์ดรุณีน้อย ก่อนใช้มือเชยใบหน้านาง เอื้อนเอ่ยวาจาว่า “ไป่หนิง เจ้า...ทำไมหน้าเจ้าเป็นเยี่ยงนี้”

“ไว้ข้าจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ศิษย์พี่รองช่วยข้าก่อนเถอะ เจ้าเมืองจะประหารข้าอยู่แล้ว”

ชายผมเงินขมวดคิ้ว ยืดตัวขึ้นสบตาตงเหลียงพลางเอ่ยเสียงเรียบทว่าหนักแน่น “ปล่อยศิษย์น้องข้าเดี๋ยวนี้”

“ไม่ได้” เจ้าเมืองอุยตะโกนลั่น ก่อนผงะเมื่อเห็นสายตาชายผมเงิน เขารีบก้มหน้าแทบจรดพื้น กล่าวตะกุกตะกัก “เรียนใต้เท้า สองคนนี้เป็นคนร้ายไม่อาจปล่อยตัวโดยเด็ดขาด”

“ข้าอธิบายได้นะศิษย์พี่รอง” ฟ่านไป่หนิงโพล่งขึ้น

“หนอยเจ้า จนป่านนี้ยังจะ...” เจ้าเมืองอุยเงยหน้าเถียงอีกครั้ง ฉับพลันเขาก็หน้าเบี้ยว กุมอกร่างทรุดฮวบ มือปราบที่อยู่ข้างเขาแตกตื่นตรงเข้าประคอง ฟ่านไป่หนิงเห็นแล้วรีบบอกว่า

“ศิษย์พี่รอง เจ้าเมืองอุยน่าจะมีปัญหาเลือดคั่งในหัวใจ (1)”

ชายผมเงินฟังแล้วจึงเชิดหน้าเจ้าเมืองขึ้นสังเกตริมฝีปากสีม่วงคล้ำ ก่อนใช้มือข้างเดิมจี้สกัดจุดเซว่ไห่ที่ด้านในหัวเข่าคนป่วย และจุดเก๋อซู่ทางด้านหลังจนเจ้าเมืองอุยค่อยหายใจเป็นปกติ ผงกศีรษะขึ้นเอ่ยแผ่ว ๆ

“ข้าดีขึ้นแล้ว ขอบคุณใต้เท้า”

คนโดนขอบใจได้แต่กลอกตาไปมา แล้วเหยียดตัวขึ้นสั่งการว่า “หาเก้าอี้มาให้เจ้าเมืองอุยพักผ่อนบริเวณนี้ก่อน ส่วนทางนั้น...” นิ้วขาวซีดชี้ไปยังหัวหน้ามือปราบเซียวหยุนผู้ยังส่งเสียงครางเป็นระยะ “ใครก็ได้ดูแลทำความสะอาดเขาเสีย อย่าปล่อยให้รกหูรกตาเช่นนี้”

เจ้าหน้าที่ศาลกระวีกระวาดชั่วครู่ทุกอย่างก็เรียบร้อยตามสั่ง ผู้แทนพระองค์จึงชำเลืองย้อนมาที่ตงเหลียงอีกครา “เจ้ามีนามใด ตำแหน่งอะไร”

ตงเหลียงค้อมศีรษะแนะนำตนเอง ผู้ฟังพยักหน้ากำชับว่า “เจ้าจะจับตัวศิษย์น้องข้าไว้ก็ช่างเถอะ แต่ห้ามถืออาวุธใส่นางเด็ดขาด”

เสร็จสรรพชายผมเงินค่อยสะบัดชายเสื้อ หย่อนตัวบนบัลลังก์ศาล น่าประหลาด...แม้จะเป็นเก้าอี้ตัวเดียวกับที่เจ้าเมืองอุยเคยนั่งจนถึงเมื่อครู่แท้ ๆ แต่ยามนี้ทุกคนล้วนคิดเห็นตรงกันว่า บัลลังก์ตัวเดิมกลับแลสง่างามภูมิฐานขึ้นอีกหลายเท่าทีเดียว

ลูกศิษย์คนที่สองของซินแสเทวะตบไม้ประจำศาลกับโต๊ะ ก่อเสียงกังวานทั่วห้องพิจารณาคดี “เมื่อเจ้าเมืองอุยทำหน้าที่ต่อมิได้ ข้าในนามผู้แทนพระองค์ก็จะทำหน้าที่ผู้พิพากษาในศาลแห่งนี้ สืบคดีที่ยังคั่งค้างให้ลุล่วง” เขาปรายตาไปทางผู้ช่วยท่านเจ้าเมืองซึ่งคอยจดรายละเอียดคดีมาแต่ต้น “เอาล่ะ...เรื่องมีความเป็นมาอย่างไร จงรายงานอย่าให้ตกหล่น”

หลังรับรู้เรื่องราวทั้งหมด ชายผมเงินจึงได้เอ่ยถามคนป่วยซึ่งนั่งอยู่ทางด้านข้าง “แสดงว่าท่านมีตำรับยาอายุวัฒนะแต่จงใจปิดบังเบื้องสูงเชียวหรือ เฮอะ เมื่อวานข้าเห็นท่านลุกลี้ลุกลนแปลก ๆ ก่อนเดินทางจึงตัดสินใจมาหาอีกครั้ง ที่ไหนได้กลับเจอเรื่องเช่นนี้เข้า”

เจ้าเมืองอุยเหงื่อแตกพลั่ก “ใต้เท้าโปรดทบทวนใหม่ด้วย ข้าเพียงเกรงยาไม่ได้ผลจึงคิดทดสอบกับตัวเองก่อนเท่านั้น ถ้ายาดีเลิศมีหรือจะมินำถวายฮ่องเต้”

“เจ้าเมืองอุยเอ๋ย ยาหลอกลวงเช่นนี้ไม่ต้องนำถวายให้เสียเวลาหรอก”

“ยาหลอกลวง!” คนฟังอุทานเสียงหลง สะบัดหน้าไปหาหมอเหวินก็พบว่าหมอชรากำลังยืนหน้าซีด ซ้ายขวาโดนขนาบด้วยองครักษ์ประจำผู้แทนพระองค์จนขยับไม่ได้

“ทำไม” ชายผมเงินเอ่ยถามยิ้มแย้ม “ใช้ยาเกินขนาดเสียจนเกือบตายยังไม่เชื่ออีกหรือ หากศิษย์น้องข้าไม่วินิจฉัยอาการได้รวดเร็ว ป่านนี้เจ้าคงโดนยมบาลตัดสินคดีในนรกแทนเสียแล้ว”

กล่าวจบเขาก็พยักเพยิดไปทางฟ่านไป่หนิง ตงเหลียงจึงส่งสัญญาณให้มือปราบปล่อยตัวนางและสือหย่งหลุน ครั้นเป็นอิสระดรุณีน้อยก็อ้าปากฟ้องทันที “ศิษย์พี่รอง เจ้าหัวหน้ามือปราบเซียวรังแกข้า”

“เจ้า!” เซียวหยุนที่เพิ่งทำความสะอาดตัวเสร็จเรียบร้อยเอ่ยได้คำเดียว ก็ต้องสบเข้ากับแววตาเอาเรื่องของผู้แทนพระองค์ เขาเผลอกลืนน้ำลายหวาดหวั่น กายสั่นเทิ้มคิดหาคำแก้ตัวไม่ออก

ช่วงนั้นเองชายผมเงินก็แค่นเสียงถามต่อ “ระหว่างที่เจ้าเมืองอุยเอาแต่หลงงมงายยาบ้า ๆ นี่ ภายในเมืองมีเหตุวุ่นวายบ้างหรือไม่”

เซียวหยุนก้มหน้างุด ขลาดเกินจะเอ่ยปากตอบ ปล่อยให้รองหัวหน้ามือปราบแถลงว่า “มีเพียงเรื่องที่ชาวบ้านเสียค่าใช้จ่ายแพงขึ้น เพราะจำต้องซื้อสมุนไพรมาจากต่างเมืองขอรับ”

ชายผมเงินเลิกคิ้ว “เจ้าชื่อตงเหลียงใช่หรือไม่ ก่อนหน้ายังคอยช่วยเหลือเจ้าเมืองหน้าโง่อยู่ ไฉนกลับมาปรักปรำเขาเสียเล่า”

“ข้าต้องปกป้องเจ้านายตามหน้าที่ แต่ความเดือดร้อนของชาวบ้านย่อมเป็นคนละเรื่องกัน” ตงเหลียงพูดเสียงเรียบ

ชายผมเงินเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ไล้นิ้วไปตามริมฝีปากซึ่งกำลังกระดกยิ้ม “คดีบุกรุกเกาะหยาดน้ำตาข้าขอสรุปดังนี้ เจ้าเมืองอุยมีความผิดฐานทำให้ประชาชนเดือดร้อน ตัดเบี้ยหวัดหนึ่งปีเพื่อนำมาเยียวยาแก่ปวงชนแทน แต่เนื่องจากอาการป่วย ข้ายินยอมให้เขาพักฟื้นหนึ่งเดือน ระหว่างนั้น...” ผู้แทนพระองค์ชี้นิ้วไปยังผู้ช่วยท่านเจ้าเมือง “เจ้าทำงานร่วมกับหัวหน้ามือปราบตงเหลียง จัดการตามที่ข้าสั่ง”

“หัวหน้ามือปราบคือข้าต่างหากเล่าใต้เท้า” เซียวหยุนตกใจจนลืมกลัว รีบท้วงขึ้น

“เจ้ามันไร้สามารถ ข้าขอสั่งปลดเจ้าออกจากราชการ” ชายผมเงินสำทับต่อเมื่อเห็นเซียวหยุนแสดงอาการฮึดฮัด “ขืนขัดคำสั่งข้าต้องโดนโบยสิบไม้ ถ้าเจ้ากังขานักก็จงส่งหนังสือร้องทุกข์ไปยังนครหลวง แต่หากมีการตรวจสอบพบข้อผิดพลาดอื่น ๆ เพิ่มขึ้นมา โทษของเจ้าไม่จบแค่นี้แน่”

เท่านั้นอดีตหัวหน้ามือปราบก็หุบปากเงียบ ผู้แทนพระองค์จึงสั่งการต่อ “นำเจ้าหมอลวงโลกไปขังคุกไว้ก่อน รอให้ตงเหลียงไต่สวนข้อหาครบเมื่อใด ค่อยจัดการลงโทษตามสมควร”

หมอเหวินแหกปากโวยวายแต่องครักษ์ที่เฝ้าเขาอยู่ไม่ฟังเสียง ยื้อยุดตัวออกไปทันที

“ศิษย์พี่รอง” ฟ่านไป่หนิงร้องขึ้น “เจ้านี่ขโมยเข็มเบญจกาฬไปจากข้าเล่มหนึ่งด้วย”

“นี่อาจารย์ให้เจ้าเก็บเข็มติดตัวไว้ด้วยรึ” ชายผมเงินถามย้ำก่อนว่า “ตงเหลียงค้นตัวเขาให้ทั่ว หากไม่เจอก็นำคนไปหาที่พำนักเขาต่อ ไม่ว่าอย่างไรต้องมอบเข็มเบญจกาฬคืนศิษย์น้องข้าให้ได้”

ฟ่านไป่หนิงอธิบายลักษณะเข็มให้ตงเหลียงฟัง ส่วนสือหย่งหลุนก็รำพึงขึ้นเบา ๆ ว่า “พี่ตง เรื่องป้าเซียงนั่น...”

“ป้าเซียงสบายดี” ตงเหลียงกล่าว “ข้าเพียงกักบริเวณในห้องไม่ได้นำไปขังคุก แล้วภายหลังจะปล่อยตัวนางเอง”

สือหย่งหลุนฟังแล้วค่อยระบายลมหายใจโล่งอก

“ไป่หนิง” เสียงเรียกจากชายผมเงินดังขึ้น “ข้ามีเรื่องอยากสนทนากับเจ้า”

เขาว่าพลางบุ้ยใบ้ไปทางหลืบซึ่งนำสู่ทางออกที่ใช้เฉพาะเจ้าหน้าที่ศาล ก่อนเดินนำหายเข้าไป ดรุณีน้อยพยักหน้ารับพลางฉุดสือหย่งหลุนติดตามพร้อมกัน ปลายทางเป็นสวนขนาดเล็กหลังห้องพิจารณาคดี ร่างสูงโปร่งในชุดขาวยืนรอข้างแปลงดอกไม้ ยิ้มให้ฟ่านไป่หนิงที่วิ่งมาหาก่อนกวาดตาหยุดยังสือหย่งหลุน สุดท้ายจึงหันมาพินิจแผลบนใบหน้าดรุณีน้อยอีกครั้ง นางรีบเขย่งตัวแนบริมฝีปากกับหูเขา กระซิบว่า

“อาจารย์บังคับข้าใส่หน้ากากหนังอยู่ แต่ศิษย์พี่รองอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ต่อหน้าพี่หย่งหลุน”

ชายผมเงินหลิ่วตามองนางอย่างนึกเอ็นดู ยินยอมหุบปากตามคำขอ ฟ่านไป่หนิงจึงแนะนำต่อว่า

“พี่หย่งหลุนแซ่สือ เป็นลูกศิษย์ของสำนักเพลิงหาญ ส่วนท่านนี้...” นางหันมาพูดกับสือหย่งหลุน “คือศิษย์พี่รองข้านามหวงไป่หวิน ปัจจุบันรั้งตำแหน่งหมอหลวงรับใช้อยู่ในวัง เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้จนได้รับพระราชทานฉายาว่ากิเลนเงินแห่งวังหลวง”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่