141.
ประมุขรัตติพิกลจำความได้ว่าตนเรียนรู้วิธีเดินหมากคราแรกตอนอายุห้าขวบ และพอย่างพ้นวัยสิบปีก็มิเคยพ่ายแพ้แก่ใครเหนือกระดานหมากอีก นั่นเพราะมันล่วงรู้เคล็ดลับอย่างหนึ่งคือการคาดเดาตาหมากล่วงหน้า ที่ผ่านมาในการชิงชัยหมากรุกแทบทุกครั้ง มันล้วนคาดเดาตาหมากจนจบกระดานได้มากกว่าเก้าในสิบส่วนเสมอ และนั่น...ก็คืออัตราส่วนของโอกาสชนะเช่นกัน ซึ่งสำหรับความสามารถเช่นนี้ ต่อให้สือหย่งหลุนพยายามเรียนรู้ทั้งชีวิต ก็มิมีวันเทียบเทียมมันได้ เพราะด้วยมันสมองของสือหย่งหลุน แค่คาดเดาตาหมากจนจบกระดานได้ล่วงหน้าสักหนึ่งในสิบส่วนก็นับว่าเต็มกลืนแล้ว
เพียงแต่ประมุขรัตติพิกลกลับหลงลืมไปหนึ่งสิ่ง...ว่าบางครั้งกงล้อแห่งโชคชะตาก็หมุนเวียนประจวบเหมาะ จนเกิดเป็นความบังเอิญว่าตาหมากเพียงหนึ่งส่วนที่สือหย่งหลุนคาดเดาเอาไว้ กลับกลายเป็นเศษเสี้ยวซึ่งมันคำนวณไปไม่ถึง...ทั้ง ๆ ที่ได้เตรียมรับมือความเป็นไปของเก้าส่วนที่เหลืออย่างพร้อมพรักแล้ว
อาจเพราะในครานี้ โชคชะตาเองก็คล้ายบังเกิดความวิปลาส...อยากเห็นสีหน้าตื่นตะลึงมิคาดคิดของชายผมเงินเช่นกัน!
**********
มือสือหย่งหลุนที่ทาบกับฝ่ามือขาวซีดพลันสะบัดคว้างเมื่อต้านทานกำลังอีกฝ่ายไม่อยู่ พร้อมกันนั้นร่างกำยำก็หลุดปลิวไปตามแรงปะทะซึ่งยังหลงเหลือ แล้วขณะประมุขรัตติพิกลเบิกตากว้างด้วยสีหน้าลิงโลด เท้าลอยละล่องของสือหย่งหลุนกลับพุ่งปักลงยังพื้นกลางทาง เป็นฐานให้มันยืนหยัดขึ้นมาอย่างมั่นคง
แววตาซึ่งสาดประกายเจิดจ้ามิแลเห็นวี่แววบาดเจ็บของสือหย่งหลุนจับจ้องศัตรูแน่วแน่ สองมือสะบัดออกด้วยท่าเพลิงโกรธา...ส่งลมปราณแผ่พุ่งดุจเปลวไฟ อันมาจากขุมกำลังภายในมหาศาลซึ่งลมปราณกลับทิศมิอาจก่อกำเนิดได้
ใช่แล้ว...ไอลมปราณสีแดงก่ำของสำนักเพลิงหาญนั่นเอง!
ที่แท้ในชั่วพริบตา สือหย่งหลุนพลันเดินลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้กับประมุขรัตติพิกล จากนั้นก็เร่งเร้าพลังวัตรสู่ขีดสุด จู่โจมศัตรูเบื้องหน้าโดยไม่รีรอ
ท่ามกลางความตกตะลึงสุดขีด คงมีเพียงสัญชาตญาณเอาตัวรอดที่กระตุ้นให้ชายผมเงินยกฝ่ามือออกต้านการโจมตีทันท่วงที ทว่าปราณคุ้มกายซึ่งโคจรขึ้นมาอย่างฉุกละหุกนั่นสุดจะป้องกันพลังวัตรกล้าแกร่งนี้ไว้ได้ มันจึงเป็นฝ่ายกระเด็นไปนอนกองเสียแทน
สือหย่งจวินมองประมุขรัตติพิกลที่กำลังกระอักโลหิตราดรดพื้นกองโต ภาพซึ่งควรจะเป็นของสือหย่งหลุนเสียมากกว่า แล้วต้องอุทานด้วยความเหลือเชื่อ
“นี่พลังวัตรของน้องรอง...มิได้ถูกทำลายไปหรอกหรือ”
หากยังมิทันสิ้นประโยค ประมุขรัตติพิกลก็ทะลึ่งตัวพรวดขึ้นยืนจังก้า สังเกตสีหน้าแล้วแทบมิต้องเดาว่าวิชาสลายภพคงรักษาให้มันสำเร็จอีกครา ยามนี้ตลอดทั้งร่างมันมีแต่ไอปราณสีขาวโหมกระพือ พลังวัตรเร่งเร้าหนุนเนื่องมิหยุดยั้ง กลืนกินไอปราณของสือหย่งหลุนสลายสิ้น มิหนำซ้ำยังรุกคืบอย่างรวดเร็วดุจคลื่นยักษ์ถาโถม ทว่าสือหย่งหลุนกลับร่ายรำกระบวนท่าด้วยความเยือกเย็น ครั้นคลื่นไอปราณทะลักมาถึงมันก็ซัดหมัดออกตามสภาวะ พริบตาที่กำปั้นชกเข้าไปในดงหมอกทุกอย่างพลันระเบิดกึกก้อง ผลักชายผมเงินเซถลาไปหลายสิบก้าว แต่สือหย่งหลุนยังคงตั้งมั่นยืนหยัดอยู่กับที่
ฟ่านไป่หนิงสัมผัสพลังลมปราณเบื้องหน้าได้ถนัดถนี่ ครั้นเปรียบเทียบกับพลังวัตรของสือหย่งหลุนที่เพิ่งสำแดงเดชเมื่อครู่ ก็ต้องเผลอรำพึงอย่างลืมตัว
“พี่หย่งหลุนใช้วิชาของจอมยุทธ์เฉิง เพิ่มพลังวัตรอีกเท่าหนึ่งแล้ว”
สือหย่งหลุนมิเพียงใช้พลังวัตรที่ควรสูญสลายต้านทานคู่ต่อสู้ หากยังใช้วิชาเฉิงยู่กงได้อีกครั้งด้วยซ้ำ มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
ประมุขรัตติพิกลย่อมสำเหนียกความผิดปกติได้เช่นกัน พริบตานั้นก็วิเคราะห์เร็วรี่ มันย่ามใจในชัยชนะจนเลินเล่ออย่างเหลือเชื่อ อันที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องกำจัดศัตรูด้วยมือตนเองเลย ขอแค่เอาตัวรอดรอสือหย่งหลุนถูกประหารก็เพียงพอแล้ว ตรองจบจึงเริ่มขยับเตรียมหลบหนี แต่เมื่อสืบเท้าไปได้ครึ่งก้าวความเจ็บปวดก็แล่นปราดดุจประกายไฟ จนมันต้องทรุดตัวคุกเข่ามือค้ำพื้น เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก ครั้นพอเงยหน้าสบกับสือหย่งหลุนเข้า ความกังขาก็พลันกระจ่าง
“หรือความเจ็บปวดนี่...คือวิชาอัคนีสุริยันเอกอุ?”
ผู้ถูกถามพยักหน้า “ตอนโจมตีเมื่อครู่ข้าโคจรปราณสุริยันไว้ในฝ่ามือทั้งคู่ ส่วนในครั้งล่าสุดพลังวัตรที่กระแทกทำร้ายท่าน ก็แฝงปราณเอกอุไว้เช่นกัน” มันสาวเท้ามาถึงเบื้องหน้าชายผมเงิน เอ่ยเสียงเรียบ “ประมุขรัตติพิกล...ท่านพ่ายแพ้แล้ว”
ชายผมเงินรีบหันไปทางเงารางเลือน หากแล้วกลับเห็นฟ่านไป่หนิงพุ่งไปขวางระหว่างนางกับมันไว้ ด้วยสภาพมันเช่นนี้หากจะบุกให้ถึงตัวสมุนยังยากกว่าปีนบันไดสวรรค์ หนทางรอดท้ายสุดของมัน...สะบั้นสิ้นมิหลงเหลือแม้แต่น้อย
ความพ่ายแพ้ที่มิเคยลิ้มรสแผ่ซ่านไปทั่วกาย แล้วในสภาวะดังกล่าว...มันควรทำสีหน้าเช่นใดกัน?
น่าขันที่จนป่านนี้ คำถามซ้ำซากซึ่งมันมักใช้กับตัวเองพลันผุดขึ้นมาตามความเคยชิน เมื่อนั้นเอง...สีหน้าลนลานหวาดกลัวของผู้ที่เคยเสียทีด้วยน้ำมือมันก็ไหลบ่าออกมา หรือถ้าไม่ต้องการ รอยยิ้มเย้ยหยันราวจะเยาะทั้งโลกยังมีให้เลือกเฟ้นอีกนับไม่ถ้วน เพียงดึงหนึ่งในนั้นมาสวมบนใบหน้าทุกอย่างก็จะสมบูรณ์
หากสุดท้าย ถ้ามิทันสังเกตปลายคิ้วสั่นระริกเนื่องจากพยายามข่มความเจ็บปวดแล้ว สีหน้าของประมุขรัตติพิกลก็แทบมิต่างจากคนตาย เพราะกระทั่งกำลังอับจนหนทางหมดทุกอย่าง มันก็ยังมิอาจสัมผัสถึงความโกรธขึ้ง โศกศัลย์ สิ้นหวัง หวาดกลัว หรืออารมณ์ใดเลยแม้สักกระผีก
ที่หลงเหลือภายในใจ คงมีแต่ช่องว่างเปล่าอันไร้จุดสิ้นสุดเท่านั้น...
หลังใคร่ครวญแน่ชัดว่าหมดวิธีเอาตัวรอดทุกอย่างแล้ว ประมุขรัตติพิกลก็เลิกคิดปั้นสีหน้าจอมปลอมเหมือนเช่นทุกครา เพียงทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิ เอ่ยเนือย ๆ
“คุณชายรองสือ อย่าบอกนะว่ากระทั่งท่านก็ยังแสร้งเล่นละคร ทำเป็นสูญพลังวัตรเพื่อหลอกลวงข้า เพราะการทำเช่นนั้นจนต้องถูกทำร้ายแทบปางตาย ออกจะน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง”
“ต่อให้ข้าบ้าบิ่นแค่ไหนก็คงไม่ทำถึงขนาดนั้นแน่ ข้าตกหลุมพรางท่านจนต้องสูญเสียพลังวัตรไปหมดสิ้นจริง ๆ มิได้หลอกลวงแม้แต่น้อย” มันถอนหายใจ “เพียงแต่หลุมพรางนั้นเป็นการยอมพลัดตกด้วยความเต็มใจ เพราะเมื่อรู้แน่ว่าท่านต้องวางแผนต้อนให้ข้าใช้วิชาอาจารย์ปู่เพิ่มพลังวัตรในครั้งที่สี่จนได้ เช่นนั้นผู้ไร้ไหวพริบเช่นข้าจะไปเอาตัวรอดได้อย่างไรกัน มิสู้ยอมเดินเข้าสู่กับดักโดยดี แล้วหาทางแก้ไขหลังจากนั้นไว้เสียดีกว่า”
ผู้ฟังทั้งสามล้วนประหลาดใจไปตามกัน ก่อนชายผมเงินจะเปรยว่า
“อ้อ ใช้หมากกลหลอกให้คู่ต่อสู้นึกว่าวางแผนกินเบี้ยสำเร็จ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นการเดินสู่จุดอับแทนซินะ ข้าเองก็ใช้วิธีนี้ตลบหลังพวกท่านมาตลอด นึกไม่ถึงว่าวันนี้กลับโดนเข้าเสียเอง”
สือหย่งจวินผู้เพิ่งฟื้นกำลังบางส่วนหลังเดินลมปราณรักษาตัวเอ่ยขึ้น “ว่าแต่น้องรอง แล้วเจ้าใช้วิธีใดถึงฟื้นพลังวัตรได้สำเร็จหรือ”
“ก็ใช้สิ่งเดียวกับที่เคยสร้างปัญหามาให้ข้าเกือบตลอดชีวิต...ปราณไร้กำหนดซึ่งคอยดูดซับพลังวัตรเอาไว้อย่างไรเล่า”
“หา” ดรุณีน้อยอุทาน “หมายความว่าพี่ใช้ปราณไร้กำหนดเก็บกักลมปราณของตนเองไว้ก่อนหน้า รอจนสูญพลังวัตรค่อยหาวิธีสลายปราณไร้กำหนดออก เมื่อนั้นก็จะได้ลมปราณที่ถูกดูดซับไว้คืนมานี่เอง แต่ปราณไร้กำหนดของพี่ถูกโจซานตงขับออกตั้งแต่ตอนสู้กับมันเมื่อครั้งกระโน้นแล้วมิใช่หรือ พี่จะมีปราณไร้กำหนดได้อย่างไร”
พูดถึงตรงนี้นางก็ชะงักไป นิ่งคิดชั่วครู่ค่อยร้องอย่างนึกขึ้นได้
“ข้าเข้าใจแล้ว พี่ขอให้พ่อของข้าช่วยเหลือใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง ด้วยปัจจุบันนี้ผู้รู้วิธีใช้ปราณไร้กำหนดก็เหลือแต่จอมยุทธ์ฟ่านคนเดียว ข้าเองเมื่อวิเคราะห์ได้ว่าประมุขรัตติพิกลต้องหลอกล่อให้สูญสิ้นพลังวัตร ก็คิดถึงปราณไร้กำหนดนี่มาตลอด ดังนั้นถ้าจอมยุทธ์ฟ่านและฮูหยินมิได้เป็นฝ่ายมาตามหาเจ้ายังหมู่ตึกตระกูลสือแล้ว อย่างไรข้าก็คงต้องเป็นฝ่ายออกเสาะหาพวกท่านเองจนได้ เพื่อขอให้จอมยุทธ์ฟ่านช่วยเหลือเรื่องปราณไร้กำหนด เนื่องจากก่อนหน้านั้นจอมยุทธ์ฟ่านตรึงปราณดังกล่าวไว้ที่ตำแหน่งตันเถียนล่างจนข้าเดินลมปราณมิได้ ครานี้จึงให้วางไว้ยังจุดชีพจรซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการเดินลมปราณต่อสู้ตามแบบฉบับของสำนักเพลิงหาญ ข้าถึงฝึกวิชาได้ตามปกติ”
สือหย่งจวินอดขมวดคิ้วมิได้ “แต่เท่าที่ข้ารู้มา ซินแสเทวะช่วยรักษาจอมยุทธ์ฟ่านจากผลข้างเคียงของการฝึกวิชาปราณไร้สำนึกหรือก็คือปราณพิษจนหาย ทว่าทำให้จอมยุทธ์ฟ่านใช้วิชานี้มิได้อีก เช่นนั้นถึงน้องรองจะร้องขอไปย่อมไร้ประโยชน์”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ฟ่านไป่หนิงผู้ทราบตื้นลึกหนาบางเป็นอย่างดีค้านขึ้น “เพราะวิธีการที่อาจารย์ใช้รักษาพ่อนั้น ก็คือฝังเข็มเบญจกาฬไว้ยังนิ้วก้อยซ้ายจนพ่อมิอาจเดินลมปราณของวิชาปราณพิษได้ ดังนั้นถ้าถอนมันออก...พ่อย่อมจะใช้ปราณไร้กำหนดได้อีกครั้ง”
บุรุษรูปงามหันมองดรุณีน้อยสลับกับน้องชายด้วยสายตางงงวย “แม้ข้าจะไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ หากก็พอเดาได้ว่าการฝังเข็มด้วยวิธีเช่นนี้ คิดถอนออกนั้นมิใช่กระทำได้ง่าย ผู้ดำเนินการต้องเป็นแพทย์มีฝีมือมิใช่หมอชาวบ้านทั่วไป เมื่อซินแสเทวะและศิษย์พี่สองคนของไป่หนิงก็ตายแล้ว ประมุขรัตติพิกลคงไม่มีทางมากระทำให้ ส่วนไป่หนิงเองเห็นได้ว่าไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย น้องรองยังจะขอความช่วยเหลือจากใครได้อีก?”
ฟ่านไป่หนิงจับจ้องไปทางคู่หมั้น ภายหลังสถานการณ์อันตรายคลี่คลายลงได้นางค่อยวางใจ ครั้นเห็นอีกฝ่ายกระพริบตาปริบ ๆ มองตอบมาจึงเผลอค้อนขวับ ประชดว่า
“จะใครเสียอีกเล่า ก็ต้องเป็นขันทีอู๋น่ะซิ จอมยุทธ์ขันทีผู้นี้ถึงขั้นได้รับการวางพระทัยให้ดูแลพระบิดา ฝีมือการแพทย์ไม่ธรรมดาแน่” พูดไปนางก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไป “ในที่สุดข้าค่อยเข้าใจ ตอนพี่หย่งหลุนไปสู่ขอข้ากับพ่อถึงต้องพาไปยังโรงฝึกวิชาของหมู่ตึกตระกูลสือ ครั้นข้าตามไปถึงกลับพบขันทีอู๋อยู่กับพ่อซึ่งมีสภาพเหน็ดเหนื่อยอย่างน่าประหลาด ที่แท้วันนั้นพี่หย่งหลุนมิเพียงเอ่ยสู่ขอข้า แต่ยังขอร้องพ่อให้ยอมถอนเข็มออกเพื่อใช้ปราณไร้กำหนดกับพี่ใช่หรือไม่”
หวนนึกแล้วก็ต้องโมโหที่ช่วงเวลานั้นนางมัวพะวักพะวนกับการสู่ขอ จนมิทันสังเกตว่าฟ่านจินฟงเอาแต่นวดคลึงปลายนิ้วไปมาระหว่างสนทนากับนาง คงเพราะนั่นเป็นนิ้วที่เพิ่งถูกถอนเข็มออกไปนั่นเอง ส่วนเบาะแสอีกอย่างยิ่งน่าเจ็บใจเสียกว่า เพราะเป็นเรื่องเด่นชัดที่นางไม่น่าหลงลืมเอาเสียเลย
นั่นคือปราณพิษในร่างสือหย่งหลุนนี่เอง
ฟ่านไป่หนิงเคยศึกษาเรื่องปราณพิษเท่าที่พอหาได้อย่างละเอียด จึงทราบดีว่าแม้จะทำลายพลังวัตรสือหย่งหลุนจนหมดสิ้น ปราณพิษจอมดื้อด้านนี้ก็ไม่มีวันสลายตามไปแน่ มีเพียงการเจือจางมันลงด้วยพลังวัตรมหาศาลเท่านั้น จึงช่วยชีวิตสือหย่งหลุนไว้ได้
(นิยายกำลังภายใน) วิหคดั้นเมฆา ผู้กล้าฝ่ายุทธจักร ตอนที่ 141-142 (อวสาน)
ประมุขรัตติพิกลจำความได้ว่าตนเรียนรู้วิธีเดินหมากคราแรกตอนอายุห้าขวบ และพอย่างพ้นวัยสิบปีก็มิเคยพ่ายแพ้แก่ใครเหนือกระดานหมากอีก นั่นเพราะมันล่วงรู้เคล็ดลับอย่างหนึ่งคือการคาดเดาตาหมากล่วงหน้า ที่ผ่านมาในการชิงชัยหมากรุกแทบทุกครั้ง มันล้วนคาดเดาตาหมากจนจบกระดานได้มากกว่าเก้าในสิบส่วนเสมอ และนั่น...ก็คืออัตราส่วนของโอกาสชนะเช่นกัน ซึ่งสำหรับความสามารถเช่นนี้ ต่อให้สือหย่งหลุนพยายามเรียนรู้ทั้งชีวิต ก็มิมีวันเทียบเทียมมันได้ เพราะด้วยมันสมองของสือหย่งหลุน แค่คาดเดาตาหมากจนจบกระดานได้ล่วงหน้าสักหนึ่งในสิบส่วนก็นับว่าเต็มกลืนแล้ว
เพียงแต่ประมุขรัตติพิกลกลับหลงลืมไปหนึ่งสิ่ง...ว่าบางครั้งกงล้อแห่งโชคชะตาก็หมุนเวียนประจวบเหมาะ จนเกิดเป็นความบังเอิญว่าตาหมากเพียงหนึ่งส่วนที่สือหย่งหลุนคาดเดาเอาไว้ กลับกลายเป็นเศษเสี้ยวซึ่งมันคำนวณไปไม่ถึง...ทั้ง ๆ ที่ได้เตรียมรับมือความเป็นไปของเก้าส่วนที่เหลืออย่างพร้อมพรักแล้ว
อาจเพราะในครานี้ โชคชะตาเองก็คล้ายบังเกิดความวิปลาส...อยากเห็นสีหน้าตื่นตะลึงมิคาดคิดของชายผมเงินเช่นกัน!
**********
มือสือหย่งหลุนที่ทาบกับฝ่ามือขาวซีดพลันสะบัดคว้างเมื่อต้านทานกำลังอีกฝ่ายไม่อยู่ พร้อมกันนั้นร่างกำยำก็หลุดปลิวไปตามแรงปะทะซึ่งยังหลงเหลือ แล้วขณะประมุขรัตติพิกลเบิกตากว้างด้วยสีหน้าลิงโลด เท้าลอยละล่องของสือหย่งหลุนกลับพุ่งปักลงยังพื้นกลางทาง เป็นฐานให้มันยืนหยัดขึ้นมาอย่างมั่นคง
แววตาซึ่งสาดประกายเจิดจ้ามิแลเห็นวี่แววบาดเจ็บของสือหย่งหลุนจับจ้องศัตรูแน่วแน่ สองมือสะบัดออกด้วยท่าเพลิงโกรธา...ส่งลมปราณแผ่พุ่งดุจเปลวไฟ อันมาจากขุมกำลังภายในมหาศาลซึ่งลมปราณกลับทิศมิอาจก่อกำเนิดได้
ใช่แล้ว...ไอลมปราณสีแดงก่ำของสำนักเพลิงหาญนั่นเอง!
ที่แท้ในชั่วพริบตา สือหย่งหลุนพลันเดินลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้กับประมุขรัตติพิกล จากนั้นก็เร่งเร้าพลังวัตรสู่ขีดสุด จู่โจมศัตรูเบื้องหน้าโดยไม่รีรอ
ท่ามกลางความตกตะลึงสุดขีด คงมีเพียงสัญชาตญาณเอาตัวรอดที่กระตุ้นให้ชายผมเงินยกฝ่ามือออกต้านการโจมตีทันท่วงที ทว่าปราณคุ้มกายซึ่งโคจรขึ้นมาอย่างฉุกละหุกนั่นสุดจะป้องกันพลังวัตรกล้าแกร่งนี้ไว้ได้ มันจึงเป็นฝ่ายกระเด็นไปนอนกองเสียแทน
สือหย่งจวินมองประมุขรัตติพิกลที่กำลังกระอักโลหิตราดรดพื้นกองโต ภาพซึ่งควรจะเป็นของสือหย่งหลุนเสียมากกว่า แล้วต้องอุทานด้วยความเหลือเชื่อ
“นี่พลังวัตรของน้องรอง...มิได้ถูกทำลายไปหรอกหรือ”
หากยังมิทันสิ้นประโยค ประมุขรัตติพิกลก็ทะลึ่งตัวพรวดขึ้นยืนจังก้า สังเกตสีหน้าแล้วแทบมิต้องเดาว่าวิชาสลายภพคงรักษาให้มันสำเร็จอีกครา ยามนี้ตลอดทั้งร่างมันมีแต่ไอปราณสีขาวโหมกระพือ พลังวัตรเร่งเร้าหนุนเนื่องมิหยุดยั้ง กลืนกินไอปราณของสือหย่งหลุนสลายสิ้น มิหนำซ้ำยังรุกคืบอย่างรวดเร็วดุจคลื่นยักษ์ถาโถม ทว่าสือหย่งหลุนกลับร่ายรำกระบวนท่าด้วยความเยือกเย็น ครั้นคลื่นไอปราณทะลักมาถึงมันก็ซัดหมัดออกตามสภาวะ พริบตาที่กำปั้นชกเข้าไปในดงหมอกทุกอย่างพลันระเบิดกึกก้อง ผลักชายผมเงินเซถลาไปหลายสิบก้าว แต่สือหย่งหลุนยังคงตั้งมั่นยืนหยัดอยู่กับที่
ฟ่านไป่หนิงสัมผัสพลังลมปราณเบื้องหน้าได้ถนัดถนี่ ครั้นเปรียบเทียบกับพลังวัตรของสือหย่งหลุนที่เพิ่งสำแดงเดชเมื่อครู่ ก็ต้องเผลอรำพึงอย่างลืมตัว
“พี่หย่งหลุนใช้วิชาของจอมยุทธ์เฉิง เพิ่มพลังวัตรอีกเท่าหนึ่งแล้ว”
สือหย่งหลุนมิเพียงใช้พลังวัตรที่ควรสูญสลายต้านทานคู่ต่อสู้ หากยังใช้วิชาเฉิงยู่กงได้อีกครั้งด้วยซ้ำ มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
ประมุขรัตติพิกลย่อมสำเหนียกความผิดปกติได้เช่นกัน พริบตานั้นก็วิเคราะห์เร็วรี่ มันย่ามใจในชัยชนะจนเลินเล่ออย่างเหลือเชื่อ อันที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องกำจัดศัตรูด้วยมือตนเองเลย ขอแค่เอาตัวรอดรอสือหย่งหลุนถูกประหารก็เพียงพอแล้ว ตรองจบจึงเริ่มขยับเตรียมหลบหนี แต่เมื่อสืบเท้าไปได้ครึ่งก้าวความเจ็บปวดก็แล่นปราดดุจประกายไฟ จนมันต้องทรุดตัวคุกเข่ามือค้ำพื้น เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก ครั้นพอเงยหน้าสบกับสือหย่งหลุนเข้า ความกังขาก็พลันกระจ่าง
“หรือความเจ็บปวดนี่...คือวิชาอัคนีสุริยันเอกอุ?”
ผู้ถูกถามพยักหน้า “ตอนโจมตีเมื่อครู่ข้าโคจรปราณสุริยันไว้ในฝ่ามือทั้งคู่ ส่วนในครั้งล่าสุดพลังวัตรที่กระแทกทำร้ายท่าน ก็แฝงปราณเอกอุไว้เช่นกัน” มันสาวเท้ามาถึงเบื้องหน้าชายผมเงิน เอ่ยเสียงเรียบ “ประมุขรัตติพิกล...ท่านพ่ายแพ้แล้ว”
ชายผมเงินรีบหันไปทางเงารางเลือน หากแล้วกลับเห็นฟ่านไป่หนิงพุ่งไปขวางระหว่างนางกับมันไว้ ด้วยสภาพมันเช่นนี้หากจะบุกให้ถึงตัวสมุนยังยากกว่าปีนบันไดสวรรค์ หนทางรอดท้ายสุดของมัน...สะบั้นสิ้นมิหลงเหลือแม้แต่น้อย
ความพ่ายแพ้ที่มิเคยลิ้มรสแผ่ซ่านไปทั่วกาย แล้วในสภาวะดังกล่าว...มันควรทำสีหน้าเช่นใดกัน?
น่าขันที่จนป่านนี้ คำถามซ้ำซากซึ่งมันมักใช้กับตัวเองพลันผุดขึ้นมาตามความเคยชิน เมื่อนั้นเอง...สีหน้าลนลานหวาดกลัวของผู้ที่เคยเสียทีด้วยน้ำมือมันก็ไหลบ่าออกมา หรือถ้าไม่ต้องการ รอยยิ้มเย้ยหยันราวจะเยาะทั้งโลกยังมีให้เลือกเฟ้นอีกนับไม่ถ้วน เพียงดึงหนึ่งในนั้นมาสวมบนใบหน้าทุกอย่างก็จะสมบูรณ์
หากสุดท้าย ถ้ามิทันสังเกตปลายคิ้วสั่นระริกเนื่องจากพยายามข่มความเจ็บปวดแล้ว สีหน้าของประมุขรัตติพิกลก็แทบมิต่างจากคนตาย เพราะกระทั่งกำลังอับจนหนทางหมดทุกอย่าง มันก็ยังมิอาจสัมผัสถึงความโกรธขึ้ง โศกศัลย์ สิ้นหวัง หวาดกลัว หรืออารมณ์ใดเลยแม้สักกระผีก
ที่หลงเหลือภายในใจ คงมีแต่ช่องว่างเปล่าอันไร้จุดสิ้นสุดเท่านั้น...
หลังใคร่ครวญแน่ชัดว่าหมดวิธีเอาตัวรอดทุกอย่างแล้ว ประมุขรัตติพิกลก็เลิกคิดปั้นสีหน้าจอมปลอมเหมือนเช่นทุกครา เพียงทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิ เอ่ยเนือย ๆ
“คุณชายรองสือ อย่าบอกนะว่ากระทั่งท่านก็ยังแสร้งเล่นละคร ทำเป็นสูญพลังวัตรเพื่อหลอกลวงข้า เพราะการทำเช่นนั้นจนต้องถูกทำร้ายแทบปางตาย ออกจะน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง”
“ต่อให้ข้าบ้าบิ่นแค่ไหนก็คงไม่ทำถึงขนาดนั้นแน่ ข้าตกหลุมพรางท่านจนต้องสูญเสียพลังวัตรไปหมดสิ้นจริง ๆ มิได้หลอกลวงแม้แต่น้อย” มันถอนหายใจ “เพียงแต่หลุมพรางนั้นเป็นการยอมพลัดตกด้วยความเต็มใจ เพราะเมื่อรู้แน่ว่าท่านต้องวางแผนต้อนให้ข้าใช้วิชาอาจารย์ปู่เพิ่มพลังวัตรในครั้งที่สี่จนได้ เช่นนั้นผู้ไร้ไหวพริบเช่นข้าจะไปเอาตัวรอดได้อย่างไรกัน มิสู้ยอมเดินเข้าสู่กับดักโดยดี แล้วหาทางแก้ไขหลังจากนั้นไว้เสียดีกว่า”
ผู้ฟังทั้งสามล้วนประหลาดใจไปตามกัน ก่อนชายผมเงินจะเปรยว่า
“อ้อ ใช้หมากกลหลอกให้คู่ต่อสู้นึกว่าวางแผนกินเบี้ยสำเร็จ แต่ความจริงแล้วกลับเป็นการเดินสู่จุดอับแทนซินะ ข้าเองก็ใช้วิธีนี้ตลบหลังพวกท่านมาตลอด นึกไม่ถึงว่าวันนี้กลับโดนเข้าเสียเอง”
สือหย่งจวินผู้เพิ่งฟื้นกำลังบางส่วนหลังเดินลมปราณรักษาตัวเอ่ยขึ้น “ว่าแต่น้องรอง แล้วเจ้าใช้วิธีใดถึงฟื้นพลังวัตรได้สำเร็จหรือ”
“ก็ใช้สิ่งเดียวกับที่เคยสร้างปัญหามาให้ข้าเกือบตลอดชีวิต...ปราณไร้กำหนดซึ่งคอยดูดซับพลังวัตรเอาไว้อย่างไรเล่า”
“หา” ดรุณีน้อยอุทาน “หมายความว่าพี่ใช้ปราณไร้กำหนดเก็บกักลมปราณของตนเองไว้ก่อนหน้า รอจนสูญพลังวัตรค่อยหาวิธีสลายปราณไร้กำหนดออก เมื่อนั้นก็จะได้ลมปราณที่ถูกดูดซับไว้คืนมานี่เอง แต่ปราณไร้กำหนดของพี่ถูกโจซานตงขับออกตั้งแต่ตอนสู้กับมันเมื่อครั้งกระโน้นแล้วมิใช่หรือ พี่จะมีปราณไร้กำหนดได้อย่างไร”
พูดถึงตรงนี้นางก็ชะงักไป นิ่งคิดชั่วครู่ค่อยร้องอย่างนึกขึ้นได้
“ข้าเข้าใจแล้ว พี่ขอให้พ่อของข้าช่วยเหลือใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง ด้วยปัจจุบันนี้ผู้รู้วิธีใช้ปราณไร้กำหนดก็เหลือแต่จอมยุทธ์ฟ่านคนเดียว ข้าเองเมื่อวิเคราะห์ได้ว่าประมุขรัตติพิกลต้องหลอกล่อให้สูญสิ้นพลังวัตร ก็คิดถึงปราณไร้กำหนดนี่มาตลอด ดังนั้นถ้าจอมยุทธ์ฟ่านและฮูหยินมิได้เป็นฝ่ายมาตามหาเจ้ายังหมู่ตึกตระกูลสือแล้ว อย่างไรข้าก็คงต้องเป็นฝ่ายออกเสาะหาพวกท่านเองจนได้ เพื่อขอให้จอมยุทธ์ฟ่านช่วยเหลือเรื่องปราณไร้กำหนด เนื่องจากก่อนหน้านั้นจอมยุทธ์ฟ่านตรึงปราณดังกล่าวไว้ที่ตำแหน่งตันเถียนล่างจนข้าเดินลมปราณมิได้ ครานี้จึงให้วางไว้ยังจุดชีพจรซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการเดินลมปราณต่อสู้ตามแบบฉบับของสำนักเพลิงหาญ ข้าถึงฝึกวิชาได้ตามปกติ”
สือหย่งจวินอดขมวดคิ้วมิได้ “แต่เท่าที่ข้ารู้มา ซินแสเทวะช่วยรักษาจอมยุทธ์ฟ่านจากผลข้างเคียงของการฝึกวิชาปราณไร้สำนึกหรือก็คือปราณพิษจนหาย ทว่าทำให้จอมยุทธ์ฟ่านใช้วิชานี้มิได้อีก เช่นนั้นถึงน้องรองจะร้องขอไปย่อมไร้ประโยชน์”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ฟ่านไป่หนิงผู้ทราบตื้นลึกหนาบางเป็นอย่างดีค้านขึ้น “เพราะวิธีการที่อาจารย์ใช้รักษาพ่อนั้น ก็คือฝังเข็มเบญจกาฬไว้ยังนิ้วก้อยซ้ายจนพ่อมิอาจเดินลมปราณของวิชาปราณพิษได้ ดังนั้นถ้าถอนมันออก...พ่อย่อมจะใช้ปราณไร้กำหนดได้อีกครั้ง”
บุรุษรูปงามหันมองดรุณีน้อยสลับกับน้องชายด้วยสายตางงงวย “แม้ข้าจะไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ หากก็พอเดาได้ว่าการฝังเข็มด้วยวิธีเช่นนี้ คิดถอนออกนั้นมิใช่กระทำได้ง่าย ผู้ดำเนินการต้องเป็นแพทย์มีฝีมือมิใช่หมอชาวบ้านทั่วไป เมื่อซินแสเทวะและศิษย์พี่สองคนของไป่หนิงก็ตายแล้ว ประมุขรัตติพิกลคงไม่มีทางมากระทำให้ ส่วนไป่หนิงเองเห็นได้ว่าไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย น้องรองยังจะขอความช่วยเหลือจากใครได้อีก?”
ฟ่านไป่หนิงจับจ้องไปทางคู่หมั้น ภายหลังสถานการณ์อันตรายคลี่คลายลงได้นางค่อยวางใจ ครั้นเห็นอีกฝ่ายกระพริบตาปริบ ๆ มองตอบมาจึงเผลอค้อนขวับ ประชดว่า
“จะใครเสียอีกเล่า ก็ต้องเป็นขันทีอู๋น่ะซิ จอมยุทธ์ขันทีผู้นี้ถึงขั้นได้รับการวางพระทัยให้ดูแลพระบิดา ฝีมือการแพทย์ไม่ธรรมดาแน่” พูดไปนางก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไป “ในที่สุดข้าค่อยเข้าใจ ตอนพี่หย่งหลุนไปสู่ขอข้ากับพ่อถึงต้องพาไปยังโรงฝึกวิชาของหมู่ตึกตระกูลสือ ครั้นข้าตามไปถึงกลับพบขันทีอู๋อยู่กับพ่อซึ่งมีสภาพเหน็ดเหนื่อยอย่างน่าประหลาด ที่แท้วันนั้นพี่หย่งหลุนมิเพียงเอ่ยสู่ขอข้า แต่ยังขอร้องพ่อให้ยอมถอนเข็มออกเพื่อใช้ปราณไร้กำหนดกับพี่ใช่หรือไม่”
หวนนึกแล้วก็ต้องโมโหที่ช่วงเวลานั้นนางมัวพะวักพะวนกับการสู่ขอ จนมิทันสังเกตว่าฟ่านจินฟงเอาแต่นวดคลึงปลายนิ้วไปมาระหว่างสนทนากับนาง คงเพราะนั่นเป็นนิ้วที่เพิ่งถูกถอนเข็มออกไปนั่นเอง ส่วนเบาะแสอีกอย่างยิ่งน่าเจ็บใจเสียกว่า เพราะเป็นเรื่องเด่นชัดที่นางไม่น่าหลงลืมเอาเสียเลย
นั่นคือปราณพิษในร่างสือหย่งหลุนนี่เอง
ฟ่านไป่หนิงเคยศึกษาเรื่องปราณพิษเท่าที่พอหาได้อย่างละเอียด จึงทราบดีว่าแม้จะทำลายพลังวัตรสือหย่งหลุนจนหมดสิ้น ปราณพิษจอมดื้อด้านนี้ก็ไม่มีวันสลายตามไปแน่ มีเพียงการเจือจางมันลงด้วยพลังวัตรมหาศาลเท่านั้น จึงช่วยชีวิตสือหย่งหลุนไว้ได้