วันนี้ขอมาเล่าประสบการณ์การทำงานพิเศษของเราในเกาหลี
เนื่องจากเรา เรียนจบที่เกาหลี เลยหางานทำต่อที่นี่
ตอนนี้ทำงานในบริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในเกาหลี
แต่เมื่อมีเวลาว่างก็จะรับจ็อบงานราษฎร์งานหลวงไปเรื่อยๆ หาเงินไปเที่ยวเมืองนอก ฮี่ๆๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง สมัยยังเรียนอยู่ มีพี่ที่รู้จักแนะนำให้ไปเป็นล่ามศัลยกรรมแทนเขา เพราะเขาไม่ว่าง
ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ได้เข้าไปรพ.ศัลยกรรมที่เกาหลี
โรงพยาบาลศัลยกรรมที่เกาหลีนี่มีหลายเกรด ตั้งแต่ห้องเล็กๆไปจนถึงตึกใหญ่ๆ
แต่เอาจริงๆขนาดของโรงพยาบาลไม่ได้รับประกันคุณภาพงานเลยนะ
บางโรงพยาบาลมีขนาดใหญ่มากก็จริงแต่ไม่สะอาดเลยก็มี (กล้าพูดเพราะล่ามต้องเข้าไปแปลในห้องผ่าตัดด้วย)
กลับมาที่เรื่องงานล่าม
เมื่อมีงานที่ 1 มา งานที่ 2 3 4 ก็ตามมาเรื่อยๆ
ส่วนใหญ่ล่ามก็ไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากแปลตอนที่คนไข้ปรึกษากับเจ้าหน้าที่ และคุยกับคุณหมอก่อนเข้าห้องผ่าตัด
ขั้นตอนแรกของการเข้าไปทำศัลยกรรม คือทุกคนจะต้องคุยกับเจ้าหน้าที่ก่อน ว่าต้องการจะทำอะไร มีงบประมาณไหน
ในกรณีของคนที่ทำศัลยกรรมกระดูก ก็อาจจะต้องไปทำ CT scan ที่จะเป็นการสแกนรูปหน้า เช็คเส้นประสาท
ทำอะไรได้มาน้อยแค่ไหน
แต่ในกรณีของคนที่จะทำแค่ตา จมูก ฉีดไขมัน ก็จะคุยแค่ว่า ทำครั้งที่เท่าไหร่ แก้ตรงไหน เจ้าหน้าที่จะอธิบายคร่าวๆ
เมื่อเราตัดสินใจแล้ว ก็จะนัดเวลาผ่าตัด แล้วเราก็จะได้คุยกับคุณหมอ
เมื่อคุณหมอมา ก็จะอธิบายเกี่ยวกับวิธ๊การผ่าตัด การให้ยา และการพักฟื้น
และถ้าผ่าตัดในวันนั้น คุณหมอก็จะเอาปากกามาขีดๆเขียนๆบนใบหน้า เพื่อวาด กะประมาณ รอยแผลให้เราดู
ในช่วงนี้ เราก็ต้องอธิบายสิ่งที่คุณหมอบอกให้แก่ลูกค้า
หมอบางคนก็ใจดีมากกก อธิบายละเอียด แต่กับบางคนก็รีบๆแล้วก็ไปก็มี
ในส่วนของลูกค้า เราเข้าใจนะ ทำศัลยกรรมที่เกาหลีราคาไม่ใช่น้อยๆ เวลาคุยกับคุณหมอ ก็อยากถามละเอียด
ซึ่งจะสนุกมากตรงจุดนี้ ลูกค้าจะถามทุกสิ่งอย่าง ในเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะถามก็มี
แต่คำถามที่เจอบ่อยสุดคือ จะเจ็บไหม อันนี้คุณหมอก็จะตอบว่าไม่เจ็บ (แต่พอคนไข้ฟื้นมาทีไร อิล่ามนี่โดนแซะตลอดด ไหนบอกว่าไม่เจ็บ)
อีกอันคือ จะสวยขึ้นไหมคะ (อันนี้ คุณหมอก็จะบอกว่าสวยขึ้นสิ และอมยิ้มแบบมีเลศนัย ขนาดตอนที่พิมพ์นี่ยังนึกหน้าคุณหมอออกเลย)
ดาราคนไหนบ้างทำที่นี่ คุณหมอทำให้ดาราบ้างเปล่า (กรี๊ด คุณหมอเขาจะตอบได้ไง ความลับลูกค้า)
และพอจบจากที่คุยกับคุณหมอแล้ว ก็จะรอคิวเข้าห้องผ่าตัด
ในกรณีที่เป็นรพ.ใหญ่ๆ ก็จอรอนานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ก.ไก่ล้านตัว
ด้วยเหตุอะไรนั้นเราไม่รู้เหมือนกัน แต่เมื่อถึงเวลา ก็จะต้องพาลูกค้าเข้าไปที่ห้องผ่าตัด
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สำหรับเคสทั่วไป เราจะได้เข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัดแค่ช่วงให้ยานอนหลับ หรือให้ยาสลบเท่านั้น
แล้วจะถูกเรียกอีกทีเมื่อคนไข้ได้สติ
การให้ยานอนหลับ หรือยาสลบก็เหมือนผ่าตัดทั่วไป คือมีการวัดความดัน น้ำหนักส่วนสูง เช็คว่าแพ้ยาปฏิชีวนะตัวที่ใช้หรือไม่
แล้วก็จะค่อยๆฉีดยาเข้าไปพอคนไข้หลับแล้ว ล่ามก็จะถูกขับไล่ให้ออกมาจากห้อง
ตัวเราเองนั้น เป็นคนกลัวเข็ม กลัวเลือด... คือจริงๆไม่ได้กลัวมาก แต่เมื่อปีที่แล้ว เข้าโรงพยาบาลและผ่าไส้ติ่ง ที่เกาหลี
คือ ณ ตอนนั้น ร่างอ่อนแอมาก หาเส้นไม่เจอ ไข้ขึ้น 39 40องศา แล้วโดนบุรุษพยาบาลจิ้มเข็มไปคืนเดียว เกือบ 20 รู
แล้วเจ็บพีคทุกรู หลังจากนั้นเห็นเข็มฉีดยา ละจะเป็นลม
ฉะนั้นเวลาที่เขาจะให้ยาคนไข้ที่จะผ่าตัด เราจะทำเป็นมองเลื่อนลอยไป แต่หูยังฟัง ปากยังแปลอยู่
แต่ความพีคคือ... เคยมีเคสนึง
คุณหมอให้ยาไปแล้ว... ลูกค้าไม่หลับค๊าาาาาาา
พี่ลูกค้าคนนี้ยังเรียกชื่อเราตลอดเวลา น้อง...คะ น้อง...ยังอยู่ไหม...
จนคุณหมอต้องมาเพิ่มโดสยาอีกรอบ
พี่แกก็ยังไม่หลับค่ะ
ด้วยจรรยาบรรณของการเป็นล่าม ลูกค้ายังไม่หลับ เราก็ยังออกไม่ได้ ทีนี้ จะหันไปถามใครก็ไม่ได้ เพราะทุกคนในห้องผ่าตัดยุ่งกันไปหมด
มีพยาบาลคนนึงใกล้ๆตัว เลยหันไปจะถามเขา แต่เป็นจังหวะหันไปเจอที่คุณหมอกำลังลงมีกรีดบริเวณซอกขาพอดี(ลูกค้าดูดไขมันมาเติมที่หน้า)
พี่นี่ช็อค... หันไปถามพยาบาลด้วยเสียงสั่นเครือว่า... ทำไมลูกค้าไม่หลับคะ แล้วหนูจะออกจากห้องผ่าตัดได้เมื่อไหร่
นี่คาดว่า พยาบาลคงเห็นหน้าซีดๆ เขาเลยบอกว่า ไปพักก่อนก็ได้ค่ะ ตอนนี้ลูกค้าตื่นเต้นมาก คงไม่หลับ แต่เขาไม่เจ็บแล้วค่ะ
เราก็เลยค่อยๆแอบออกจากห้องมา...
พอประตูห้องผ่าตัดปิดลงนั้น....
ตัวเรากลายร่างเป็นของเหลวแล้ว ร่วงไปอยู่บนพื้นเลยค่ะ
ดีนะมีพยาบาลอีกคนเดินผ่านมาพอดี เขาเข้ามาพยุงแล้วให้ไปนอนในห้องพักฟื้นที่ว่างอยู่...
แต่เดี๋ยวก่อน...
ความช็อคยังไม่จบแค่นั้น....
เมื่อออกมาพักได้ประมาณ ครึ่งชั่วโมงกว่า
อยู่ๆพยาบาลก็มาบอกว่า คนไข้เรียกค่ะ
เนื่องจากคนไข้ทำตาด้วย คนไข้จะถูกปลุกมาค่ะ
แต่รอบนี้ โชคดีที่เราเข้าไปตอนที่เขาเย็บแผลที่ตาเสร็จแล้ว
ก็โอเค คุยกะหมอ คุยกะคนไข้ ไม่มีเลือดอะไรให้น่ากลัว ก็ยังพอแปลต่อไปได้แบบปกติสุข
แต่ทว่า ความสุขนั้นอยู่กับเราไม่นาน... คือเรื่องจริง
เพราะว่า พอทำตาเสร็จ คนไข้ขอคุณหมอว่า ให้น้องล่ามอยู่ด้วยจนจบเลยนะ
เราก็เอ่อ... พี่คะ... ฮื่อออออ หนูจะไม่ไหว (ได้แต่พูดในใจ) ก็ต้องนั่งรอเขาในห้องผ่าตัดค่ะ
ทุกคนยังจำนังไขมันที่ดูดมาจากต้นขาได้ไหม...
นั่นแหละค่ะ เขาจะเอามาฉีดที่หน้าแล้วค่ะ...
ขั้นตอนในการฉีดนั้น เขาจะมีเข็มเหมือนเข็มฉีดยา เจาะรูก่อน แล้วเอาสลิงที่มีท่อขนาดเท่าหลอดยาคูลท์สอดเข้าไปแล้วทะลวง ให้มีพื้นที่ว่างระหว่างผิวหนังกับกล้ามเนื้อ
นั่นหล่ะค่ะ อีตอนทะลวงนี่หล่ะค่ะ
คือตอนแรงนะ เราก็ไม่ได้อยากจะดูหรอก ก็นั่งมองนั่นมองนี่ในห้องผ่าตัดไป
แต่ธรรมชาติของมนุษย์อ่ะ มันอยากรู้อยากเห็น
ก็เลยหันไปดูค่ะ
ไปเจอความพีคตอนทะลวง...
จอดับเลยค่ะ
รู้ตัวอีกที พยาบาลมาสะกิดว่า ปลุกคนไข้ได้แล้วค่ะ
เนื่องจากเหตุการณ์นี้... ทำให้รู้สึกว่า ดีใจจังที่หน้าอ้วนแบบนี้
ทำจมูกยังไม่หลอนเท่าฉีดไขมัน (สำหรับเรา)
เท่านี้ยังไม่พอ...
การเป็นล่ามศัลยกรรมนั้นต้อง สตรองงงงง
เคยมีอีกเคสหนึ่ง กรีดทำตาสองชั้น
อันนี้คุณหมอจะต้องปลุกกลางคันให้ลองกระพริบตา หลับตา ลืมตา
แล้วคุณหมอดันเรียกนังล่ามเร็วไปหน่อยค่ะ...
เข้าไปเจอตอนเปลือกตาเป็นแผลแหกๆ ไม่ได้เย็บ... เลือดงี้เต็ม...
อีล่ามช็อค...
ต้องหลับตาแปลอีกแล้วค่าา
แล้วพี่คนไข้ก็แบบ น้อง...คะ พี่เจ็บมากเลย เหมือนหมอกรีดสดเลย...
พูดแบบนี้ตลอดเวลา
ล่ามก็อยากจะบอกว่า พี่คะ หนูอุตส่าห์หลับตาแปล.. พี่ยังจะพูดให้หนูจินตนาการตามอีก...
แต่เคสนี้อยู่แค่ประมาณ10นาที เพราะเขามีเหลาโหนกต่อ หมอก็เลยให้ยาสลบ แล้วล่ามอย่างเราก็เผ่นค่ะ
ลาก่อยยยย
เป็นประสบการณ์หลอนในชีวิตมาก แต่ถ้าถามว่างานล่ามสนุกไหม สนุกมากนะคะ แต่ว่าก็เหนื่อยมากเช่นกัน
เพราะเราเป็นเครื่องมือสื่อสารของเขา ถ้าเขาอารมณ์เสียใส่กันนี่ยิ่งพีคเลย
เพราะทำศัลยกรรม ยังไงก็มีเคสที่หลุดบ้างอยู่แล้ว
หลุดในที่นี่คือ ทำออกมาแล้วไม่ได้ดั่งใจบ้าง หรือมีปัญหาบ้าง
ก็ต้องรองรับอารมณ์ทั้งสองฝ่าย เห้อออ เราจะแปลใส่อารมณ์ก็ไม่ได้อีก
แต่ถ้าถามเรา เราก็ยังชอบอยู่ดี เพราะเป็นคนชอบพูด 555
และจากเป็นล่ามศัลยกรรม ทำให้ได้รู้จักคนมากขึ้น หลายระดับ
การทำศัลยกรรมที่เกาหลีนี่ราคาเป็นแสนบาทขึ้น
แต่ก็มีคนมาทำเรื่อยๆ คือตกใจมากๆๆๆ คนไทยมาทำเยอะพอๆกับคนจีน...
ใครว่าคนไทยจ๊นนนน ไม่จริงงง ทำหน้ากันทีแพงกว่าบ้านอีกมั้ง คนไทยอ่ะ
แต่คิดว่าช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมันเยอะมากกว่า
คนไทยมาทำหน้าเยอะ เราชอบนะ เราจะได้มีรายได้พิเศษ 5555
ถ้าถามว่าคนไทยชอบมาทำอะไรเยอะ
นี่เคยอันดับ 1 แก้จมูก... ราคาจมูกเรือนหมื่นเรือนแสนที่ไทย ก็มาแก้เกาหลีกันหมด... เห้อออ
รองมาก็จะพวกทำตาสองชั้น(อันนี้แนะนำ ถ้าใครอยากทำ เพราะเกาหลีทำชั้นตาจุ๋มจิ๋มมาก อยากทำอยู่เหมือนกัน)
เหลากราม เหลาโหนก อันนี้ของขึ้นชื่อของเกาหลีอยู่ละ แต่ราคาไม่เบาเลย
ตอนนี้ฮิตสุดๆคือฉีดไขมันที่หน้า... คนไทยชอบมาฉีดมากกก คือฉีดพออูมๆก็สวยนะ แต่บางคนนี่ฉีดเยอะไป เคยเห็นฉีดซะเป็นปลาหมอสีเลย...
เรื่องศัลยกรรมนี่ เอาแค่พอสวยงามเถอะ บางทีทำไปเยอะๆ ทำไปเรื่อยๆ จากที่สวยแล้ว มันจะไม่สวยนาาา
เอ่อ... ตกลงมาเล่าประสบการณ์การทำงานหรืออะไร
555
เอาเป็นว่าขอจบการเล่าประสบการณ์การทำล่ามศัลยกรรมไว้เท่านี้ก่อนนะคะ ไว้เจออะไรพึคๆจะมาเล่าให้ฟังอีก ฮี่ๆๆ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนจบนะคะ
ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นล่ามศัลยกรรมที่เกาหลี
เนื่องจากเรา เรียนจบที่เกาหลี เลยหางานทำต่อที่นี่
ตอนนี้ทำงานในบริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในเกาหลี
แต่เมื่อมีเวลาว่างก็จะรับจ็อบงานราษฎร์งานหลวงไปเรื่อยๆ หาเงินไปเที่ยวเมืองนอก ฮี่ๆๆ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง สมัยยังเรียนอยู่ มีพี่ที่รู้จักแนะนำให้ไปเป็นล่ามศัลยกรรมแทนเขา เพราะเขาไม่ว่าง
ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ได้เข้าไปรพ.ศัลยกรรมที่เกาหลี
โรงพยาบาลศัลยกรรมที่เกาหลีนี่มีหลายเกรด ตั้งแต่ห้องเล็กๆไปจนถึงตึกใหญ่ๆ
แต่เอาจริงๆขนาดของโรงพยาบาลไม่ได้รับประกันคุณภาพงานเลยนะ
บางโรงพยาบาลมีขนาดใหญ่มากก็จริงแต่ไม่สะอาดเลยก็มี (กล้าพูดเพราะล่ามต้องเข้าไปแปลในห้องผ่าตัดด้วย)
กลับมาที่เรื่องงานล่าม
เมื่อมีงานที่ 1 มา งานที่ 2 3 4 ก็ตามมาเรื่อยๆ
ส่วนใหญ่ล่ามก็ไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากแปลตอนที่คนไข้ปรึกษากับเจ้าหน้าที่ และคุยกับคุณหมอก่อนเข้าห้องผ่าตัด
ขั้นตอนแรกของการเข้าไปทำศัลยกรรม คือทุกคนจะต้องคุยกับเจ้าหน้าที่ก่อน ว่าต้องการจะทำอะไร มีงบประมาณไหน
ในกรณีของคนที่ทำศัลยกรรมกระดูก ก็อาจจะต้องไปทำ CT scan ที่จะเป็นการสแกนรูปหน้า เช็คเส้นประสาท
ทำอะไรได้มาน้อยแค่ไหน
แต่ในกรณีของคนที่จะทำแค่ตา จมูก ฉีดไขมัน ก็จะคุยแค่ว่า ทำครั้งที่เท่าไหร่ แก้ตรงไหน เจ้าหน้าที่จะอธิบายคร่าวๆ
เมื่อเราตัดสินใจแล้ว ก็จะนัดเวลาผ่าตัด แล้วเราก็จะได้คุยกับคุณหมอ
เมื่อคุณหมอมา ก็จะอธิบายเกี่ยวกับวิธ๊การผ่าตัด การให้ยา และการพักฟื้น
และถ้าผ่าตัดในวันนั้น คุณหมอก็จะเอาปากกามาขีดๆเขียนๆบนใบหน้า เพื่อวาด กะประมาณ รอยแผลให้เราดู
ในช่วงนี้ เราก็ต้องอธิบายสิ่งที่คุณหมอบอกให้แก่ลูกค้า
หมอบางคนก็ใจดีมากกก อธิบายละเอียด แต่กับบางคนก็รีบๆแล้วก็ไปก็มี
ในส่วนของลูกค้า เราเข้าใจนะ ทำศัลยกรรมที่เกาหลีราคาไม่ใช่น้อยๆ เวลาคุยกับคุณหมอ ก็อยากถามละเอียด
ซึ่งจะสนุกมากตรงจุดนี้ ลูกค้าจะถามทุกสิ่งอย่าง ในเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะถามก็มี
แต่คำถามที่เจอบ่อยสุดคือ จะเจ็บไหม อันนี้คุณหมอก็จะตอบว่าไม่เจ็บ (แต่พอคนไข้ฟื้นมาทีไร อิล่ามนี่โดนแซะตลอดด ไหนบอกว่าไม่เจ็บ)
อีกอันคือ จะสวยขึ้นไหมคะ (อันนี้ คุณหมอก็จะบอกว่าสวยขึ้นสิ และอมยิ้มแบบมีเลศนัย ขนาดตอนที่พิมพ์นี่ยังนึกหน้าคุณหมอออกเลย)
ดาราคนไหนบ้างทำที่นี่ คุณหมอทำให้ดาราบ้างเปล่า (กรี๊ด คุณหมอเขาจะตอบได้ไง ความลับลูกค้า)
และพอจบจากที่คุยกับคุณหมอแล้ว ก็จะรอคิวเข้าห้องผ่าตัด
ในกรณีที่เป็นรพ.ใหญ่ๆ ก็จอรอนานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ก.ไก่ล้านตัว
ด้วยเหตุอะไรนั้นเราไม่รู้เหมือนกัน แต่เมื่อถึงเวลา ก็จะต้องพาลูกค้าเข้าไปที่ห้องผ่าตัด
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สำหรับเคสทั่วไป เราจะได้เข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัดแค่ช่วงให้ยานอนหลับ หรือให้ยาสลบเท่านั้น
แล้วจะถูกเรียกอีกทีเมื่อคนไข้ได้สติ
การให้ยานอนหลับ หรือยาสลบก็เหมือนผ่าตัดทั่วไป คือมีการวัดความดัน น้ำหนักส่วนสูง เช็คว่าแพ้ยาปฏิชีวนะตัวที่ใช้หรือไม่
แล้วก็จะค่อยๆฉีดยาเข้าไปพอคนไข้หลับแล้ว ล่ามก็จะถูกขับไล่ให้ออกมาจากห้อง
ตัวเราเองนั้น เป็นคนกลัวเข็ม กลัวเลือด... คือจริงๆไม่ได้กลัวมาก แต่เมื่อปีที่แล้ว เข้าโรงพยาบาลและผ่าไส้ติ่ง ที่เกาหลี
คือ ณ ตอนนั้น ร่างอ่อนแอมาก หาเส้นไม่เจอ ไข้ขึ้น 39 40องศา แล้วโดนบุรุษพยาบาลจิ้มเข็มไปคืนเดียว เกือบ 20 รู
แล้วเจ็บพีคทุกรู หลังจากนั้นเห็นเข็มฉีดยา ละจะเป็นลม
ฉะนั้นเวลาที่เขาจะให้ยาคนไข้ที่จะผ่าตัด เราจะทำเป็นมองเลื่อนลอยไป แต่หูยังฟัง ปากยังแปลอยู่
แต่ความพีคคือ... เคยมีเคสนึง
คุณหมอให้ยาไปแล้ว... ลูกค้าไม่หลับค๊าาาาาาา
พี่ลูกค้าคนนี้ยังเรียกชื่อเราตลอดเวลา น้อง...คะ น้อง...ยังอยู่ไหม...
จนคุณหมอต้องมาเพิ่มโดสยาอีกรอบ
พี่แกก็ยังไม่หลับค่ะ
ด้วยจรรยาบรรณของการเป็นล่าม ลูกค้ายังไม่หลับ เราก็ยังออกไม่ได้ ทีนี้ จะหันไปถามใครก็ไม่ได้ เพราะทุกคนในห้องผ่าตัดยุ่งกันไปหมด
มีพยาบาลคนนึงใกล้ๆตัว เลยหันไปจะถามเขา แต่เป็นจังหวะหันไปเจอที่คุณหมอกำลังลงมีกรีดบริเวณซอกขาพอดี(ลูกค้าดูดไขมันมาเติมที่หน้า)
พี่นี่ช็อค... หันไปถามพยาบาลด้วยเสียงสั่นเครือว่า... ทำไมลูกค้าไม่หลับคะ แล้วหนูจะออกจากห้องผ่าตัดได้เมื่อไหร่
นี่คาดว่า พยาบาลคงเห็นหน้าซีดๆ เขาเลยบอกว่า ไปพักก่อนก็ได้ค่ะ ตอนนี้ลูกค้าตื่นเต้นมาก คงไม่หลับ แต่เขาไม่เจ็บแล้วค่ะ
เราก็เลยค่อยๆแอบออกจากห้องมา...
พอประตูห้องผ่าตัดปิดลงนั้น....
ตัวเรากลายร่างเป็นของเหลวแล้ว ร่วงไปอยู่บนพื้นเลยค่ะ
ดีนะมีพยาบาลอีกคนเดินผ่านมาพอดี เขาเข้ามาพยุงแล้วให้ไปนอนในห้องพักฟื้นที่ว่างอยู่...
แต่เดี๋ยวก่อน...
ความช็อคยังไม่จบแค่นั้น....
เมื่อออกมาพักได้ประมาณ ครึ่งชั่วโมงกว่า
อยู่ๆพยาบาลก็มาบอกว่า คนไข้เรียกค่ะ
เนื่องจากคนไข้ทำตาด้วย คนไข้จะถูกปลุกมาค่ะ
แต่รอบนี้ โชคดีที่เราเข้าไปตอนที่เขาเย็บแผลที่ตาเสร็จแล้ว
ก็โอเค คุยกะหมอ คุยกะคนไข้ ไม่มีเลือดอะไรให้น่ากลัว ก็ยังพอแปลต่อไปได้แบบปกติสุข
แต่ทว่า ความสุขนั้นอยู่กับเราไม่นาน... คือเรื่องจริง
เพราะว่า พอทำตาเสร็จ คนไข้ขอคุณหมอว่า ให้น้องล่ามอยู่ด้วยจนจบเลยนะ
เราก็เอ่อ... พี่คะ... ฮื่อออออ หนูจะไม่ไหว (ได้แต่พูดในใจ) ก็ต้องนั่งรอเขาในห้องผ่าตัดค่ะ
ทุกคนยังจำนังไขมันที่ดูดมาจากต้นขาได้ไหม...
นั่นแหละค่ะ เขาจะเอามาฉีดที่หน้าแล้วค่ะ...
ขั้นตอนในการฉีดนั้น เขาจะมีเข็มเหมือนเข็มฉีดยา เจาะรูก่อน แล้วเอาสลิงที่มีท่อขนาดเท่าหลอดยาคูลท์สอดเข้าไปแล้วทะลวง ให้มีพื้นที่ว่างระหว่างผิวหนังกับกล้ามเนื้อ
นั่นหล่ะค่ะ อีตอนทะลวงนี่หล่ะค่ะ
คือตอนแรงนะ เราก็ไม่ได้อยากจะดูหรอก ก็นั่งมองนั่นมองนี่ในห้องผ่าตัดไป
แต่ธรรมชาติของมนุษย์อ่ะ มันอยากรู้อยากเห็น
ก็เลยหันไปดูค่ะ
ไปเจอความพีคตอนทะลวง...
จอดับเลยค่ะ
รู้ตัวอีกที พยาบาลมาสะกิดว่า ปลุกคนไข้ได้แล้วค่ะ
เนื่องจากเหตุการณ์นี้... ทำให้รู้สึกว่า ดีใจจังที่หน้าอ้วนแบบนี้
ทำจมูกยังไม่หลอนเท่าฉีดไขมัน (สำหรับเรา)
เท่านี้ยังไม่พอ...
การเป็นล่ามศัลยกรรมนั้นต้อง สตรองงงงง
เคยมีอีกเคสหนึ่ง กรีดทำตาสองชั้น
อันนี้คุณหมอจะต้องปลุกกลางคันให้ลองกระพริบตา หลับตา ลืมตา
แล้วคุณหมอดันเรียกนังล่ามเร็วไปหน่อยค่ะ...
เข้าไปเจอตอนเปลือกตาเป็นแผลแหกๆ ไม่ได้เย็บ... เลือดงี้เต็ม...
อีล่ามช็อค...
ต้องหลับตาแปลอีกแล้วค่าา
แล้วพี่คนไข้ก็แบบ น้อง...คะ พี่เจ็บมากเลย เหมือนหมอกรีดสดเลย...
พูดแบบนี้ตลอดเวลา
ล่ามก็อยากจะบอกว่า พี่คะ หนูอุตส่าห์หลับตาแปล.. พี่ยังจะพูดให้หนูจินตนาการตามอีก...
แต่เคสนี้อยู่แค่ประมาณ10นาที เพราะเขามีเหลาโหนกต่อ หมอก็เลยให้ยาสลบ แล้วล่ามอย่างเราก็เผ่นค่ะ
ลาก่อยยยย
เป็นประสบการณ์หลอนในชีวิตมาก แต่ถ้าถามว่างานล่ามสนุกไหม สนุกมากนะคะ แต่ว่าก็เหนื่อยมากเช่นกัน
เพราะเราเป็นเครื่องมือสื่อสารของเขา ถ้าเขาอารมณ์เสียใส่กันนี่ยิ่งพีคเลย
เพราะทำศัลยกรรม ยังไงก็มีเคสที่หลุดบ้างอยู่แล้ว
หลุดในที่นี่คือ ทำออกมาแล้วไม่ได้ดั่งใจบ้าง หรือมีปัญหาบ้าง
ก็ต้องรองรับอารมณ์ทั้งสองฝ่าย เห้อออ เราจะแปลใส่อารมณ์ก็ไม่ได้อีก
แต่ถ้าถามเรา เราก็ยังชอบอยู่ดี เพราะเป็นคนชอบพูด 555
และจากเป็นล่ามศัลยกรรม ทำให้ได้รู้จักคนมากขึ้น หลายระดับ
การทำศัลยกรรมที่เกาหลีนี่ราคาเป็นแสนบาทขึ้น
แต่ก็มีคนมาทำเรื่อยๆ คือตกใจมากๆๆๆ คนไทยมาทำเยอะพอๆกับคนจีน...
ใครว่าคนไทยจ๊นนนน ไม่จริงงง ทำหน้ากันทีแพงกว่าบ้านอีกมั้ง คนไทยอ่ะ
แต่คิดว่าช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยมันเยอะมากกว่า
คนไทยมาทำหน้าเยอะ เราชอบนะ เราจะได้มีรายได้พิเศษ 5555
ถ้าถามว่าคนไทยชอบมาทำอะไรเยอะ
นี่เคยอันดับ 1 แก้จมูก... ราคาจมูกเรือนหมื่นเรือนแสนที่ไทย ก็มาแก้เกาหลีกันหมด... เห้อออ
รองมาก็จะพวกทำตาสองชั้น(อันนี้แนะนำ ถ้าใครอยากทำ เพราะเกาหลีทำชั้นตาจุ๋มจิ๋มมาก อยากทำอยู่เหมือนกัน)
เหลากราม เหลาโหนก อันนี้ของขึ้นชื่อของเกาหลีอยู่ละ แต่ราคาไม่เบาเลย
ตอนนี้ฮิตสุดๆคือฉีดไขมันที่หน้า... คนไทยชอบมาฉีดมากกก คือฉีดพออูมๆก็สวยนะ แต่บางคนนี่ฉีดเยอะไป เคยเห็นฉีดซะเป็นปลาหมอสีเลย...
เรื่องศัลยกรรมนี่ เอาแค่พอสวยงามเถอะ บางทีทำไปเยอะๆ ทำไปเรื่อยๆ จากที่สวยแล้ว มันจะไม่สวยนาาา
เอ่อ... ตกลงมาเล่าประสบการณ์การทำงานหรืออะไร
555
เอาเป็นว่าขอจบการเล่าประสบการณ์การทำล่ามศัลยกรรมไว้เท่านี้ก่อนนะคะ ไว้เจออะไรพึคๆจะมาเล่าให้ฟังอีก ฮี่ๆๆ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนจบนะคะ