จุดเริ่มต้นของการคิดจะลงระยะมาราธอนมีขึ้นก่อนวันวิ่งจริงสามสัปดาห์ ปกติผมวิ่งแต่ระยะมินิ 10 กิโลเพียงอย่างเดียว ผ่านการวิ่งมา 20 กว่ารายการในจำนวนนี้มีระยะฮาล์ฟ 21 กิโลหนึ่งรายการ เดิมทีผมก็ไม่คิดว่าจะวิ่งระยะมาราธอนหรอกครับเพราะไม่ใช่คนที่มีความอดทนในการทำกิจกรรมอะไรนานๆ อย่างตอนวิ่งฮาล์ฟเกือบๆสองชั่วโมงผมก็รู้สึกว่าไม่สนุกรู้สึกว่ามันยาวนานเหลือเกิน แต่เหตุที่เปลี่ยนใจมาลง (อย่างกะทันหัน) ก็เพราะคิดว่าเขามาจัดใกล้บ้านไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทางและน้องที่ซ้อมวิ่งด้วยกันอีกสองคนตัดสินใจว่าจะลงระยะนี้กัน (ซึ่งเขามาชวนผมก่อนหน้านี้สอง - สามสัปดาห์แล้วแต่ตอนนั้นผมตอบปฏิเสธพวกเขาไป) ก็เลยคิดว่าไหนๆหากจะผ่านมาราธอนก็น่าจะผ่านด้วยกันไปเลยเผื่อว่าในอนาคตผมอาจจะอยากลงแต่พวกเขาก็อาจจะไม่ลงอีกเพราะผ่านมาแล้วดังนั้นเมื่อตัดสินใจได้ก็เลยเร่งซ้อมทันที ซึ่งเรื่องการเร่งซ้อมนี่เองที่ถือเป็นความผิดพลาดมหันต์
ผมมีเวลาเหลือ 21 วันหรือสามสัปดาห์พอดี วันแรกๆก็ยังผ่อนคลายคิดว่าทันแน่เพราะตอนลงฮาล์ฟซ้อมแค่ 5 วันก็ผ่านโดยลด pace จากตอนมินิลงมา 1 นาทีซึ่งตอนนั้นก็ไม่มีปัญหา ไม่มีอาการบาดเจ็บ ไม่มีชนกำแพงให้ไปต่อไม่ได้ เลยมองโลกในแง่ดีคิดว่ามาราธอนก็น่าจะคล้ายๆกันคือน่าจะผ่านไปได้เพราะวิ่งมาตั้งปีครึ่งแล้วร่างกายน่าจะแข็งแรงไปได้ไหว วันที่ซ้อมวันแรกสตาร์ทเลยที่ 17 กิโล (ก่อนหน้านั้นปกติวิ่งวันละ 5 - 6 กิโล) โดยวิ่งแบบลดความเร็วลงเพราะรู้ว่าต้องวิ่งระยะไกลหน่อย วันแรกผ่านไปได้ไม่มีปัญหา วันที่สองก็ยัง 17 กิโลอยู่ ตั้งเป้าว่าจะค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ
ปัญหาหลักๆของการซ้อมคือเรื่องเวลา ผมมีธุระที่ต้องเปิดร้านตอน 8 โมงเช้า ปิดร้านก็เกือบๆ 6 โมง ต้องมานั่งคิดว่าเราจะซ้อมตอนไหนดีถึงจะได้ระยะที่ต้องการ (ผมวางไว้ว่าจะให้ถึง 32 ) ถ้าซ้อมวิ่ง 20 กิโลใช้เวลา 2 ชั่วโมงดังนั้นหากต้องการระยะให้ได้ 30 กิโลก็ต้องใช้เวลาซ้อม 3 ชั่วโมง หากวิ่งหลังปิดร้านก็จะเท่ากับว่าจะเลิกสามทุ่มกว่าๆ (รวมการเดินคูลดาวน์) ซึ่งจะมีผลต่อการกินข้าวเย็นและการนอนแน่ๆดังนั้นผมจึงเลือกที่จะซ้อมในตอนเช้าก่อนเปิดร้าน เงื่อนไขคือเลิกซ้อมตอน 7:50 ดังนั้นหากต้องการซ้อมให้ถึง 30 กิโลก็ต้องเริ่มวิ่งตอนตีสี่ครึ่ง ซึ่งผมทำได้แค่วันเดียวเพราะหลังจากที่ซ้อมวันนั้นผมก็เริ่มเจอชะตากรรมบาดเจ็บเล่นงาน
ตอนผ่านการซ้อมวิ่งไปได้ 5 ครั้งผมรู้เลยว่าผมตัดสินใจลงระยะมาราธอนช้าไปเพราะเวลาที่ร่างกายจะบ่มเพาะความแข็งแกร่งมันน้อยเกินไป อีกทั้งด้วยเวลาที่จี้ติดเข้ามาก็ต้องฝืนเร่งซ้อมให้ได้ระยะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มาไม่ดีเลย ในตารางผมซ้อมได้ 8 ครั้งซึ่งไม่ต้องซ้อมติดๆกัน บางวันก็เว้นพักเพราะผมก็รู้ตัวเองดีว่าโหมไปก็ไม่ดีแต่อย่างที่บอกว่าเวลาก็ไม่มีแล้วเช่นกัน ตามตารางในรูปคือผมพยายามซ้อมเอาระยะให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 17,18,19,20,27 จนมาถึง 31 เกมก็โอเวอร์เพราะผมเจ็บข้อเท้าด้านหน้ามาก มากขนาดว่าเหลืออีกแค่ 800 เมตรก็จะได้ระยะ 32 ที่ต้องการแล้วแต่ผมก็ตัดใจหยุดไปเลยเพราะไม่ไหวจริงๆ วันนั้นเป็นวันพุธ พักสามวันมาซ้อมวิ่งอีกทีวันอาทิตย์เพราะรู้สึกว่าอาการบางเบาจนแทบจะไม่รู้สึกหากไม่เกร็งข้อเท้าแต่ก็ซ้อมได้แค่ 27 กิโลเท่านั้นก็ต้องเลิกเพราะมันกลับมาเจ็บอีกแล้วตั้งแต่กิโลที่ 22 หลังจากนั้นก็พักยาวตามคำแนะนำของเพื่อนนักวิ่งในเฟซ พักยันวันวิ่งจริง 1 สัปดาห์เต็มๆเลย นั่นก็คือซ้อมวิ่งจริงๆแค่แปดวัน
วันวิ่งจริง ก่อนวิ่งกังวลแค่เรื่องอาการบาดเจ็บเพียงอย่างเดียวแต่ก็มองโลกในแง่ดีว่าน่าจะไปรอดเพราะคิดว่าพักมามาก ช่วงที่พักคือไม่ได้วิ่งเลยแม้แต่กิโลเดียว แช่แข็งร่างกายอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องหมดแรงระหว่างทางนั้นไม่กังวลเพราะวิ่งช้ากว่าระยะมินิเยอะ ตอนซ้อมไม่เหนื่อยเพราะหอบอาจมีเหนื่อยจากการหมดแรงข้าวต้มบ้างแต่ก็เตรียมเจลไว้กินแล้วสองซองคิดว่าไปรอดแน่ๆ ตั้งเป้าไว้ไม่เกิน 4 ชั่วโมงครึ่ง (ก่ะเอาให้เท่าตูนบอดี้สแลมเลย)
แต่วิ่งผ่านไปได้แค่ 15 กิโลลางหายนะก็มาแล้วคือเริ่มมีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าเจ้ากรรมขึ้นมาแต่ยังอยู่ในขอบเขตที่ทนได้ก็วิ่งมาเรื่อยๆแต่มันก็ส่งผลต่อเรื่องสมาธิเช่นกันกลายเป็นวิ่งไปไม่มั่นใจไป อาการค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผ่านกิโลที่ 32 ก็เกมโอเวอร์ต้องเปลี่ยนมาเดินแทนเพราะเจ็บข้อเท้ามาก ขนาดเดินก็ยังเจ็บมาก ระหว่างนั้นมีหลากหลายอารมณ์ในจิตใจทั้งโมโหตัวเอง,ผิดหวังในตัวเอง,และอ้างว้าง อ่านแล้วอาจจะรู้สึกแปลกกับความอ้างว้าง คือด้วยระยะทางที่ยังเหลืออีก 10 กิโลเมตรมันเป็นระยะทางที่ไกลมากหากจะไปให้ถึงด้วยการเดินเท้า รู้สึกเหมือนตัวเองใส่เสื้อชูชีพแล้วลอยคออยู่กลางมหาสมุทธก็ไม่ปาน นักวิ่งเริ่มทยอยวิ่งผ่านไปทีละคนๆ บางคนหันมาถามด้วยความเป็นห่วง บางคนมาช่วยกระตุ้นให้สู้ต่อไป มาตัดสินใจวิ่งอีกทีก็ตอน 6 กิโลสุดท้าย กัดฟันวิ่งเพราะคิดว่าไหนๆเดินก็เจ็บก็วิ่งเถอะ แต่ก็วิ่งได้แบบเหยาะๆไม่ได้เร็วมาก เข้าเส้นชัยไปเกือบๆ 5 ชั่วโมงเกินระยะเป้าหมายที่ตั้งไว้เกือบครึ่งชั่วโมง ผ่านมาราธอนแรกแบบไม่ค่อยดีใจเพราะมันผ่านแบบเจ็บๆ
สิ่งที่อยากบอกถึงคนที่คิดจะลงมาราธอนแรก
๑.ฮาล์ฟกับมาราธอนห่างกันเยอะ : การข้ามจากระยะฮาล์ฟมาเป็นมาราธอนนั้นไม่ง่ายเหมือนกันข้ามจากมินิมาระยะฮาล์ฟ แม้ระยะจะคูณสองเหมือนกันแต่คนละเรื่องเลยก็ว่าได้ การซ้อมต้องใช้เวลาบ่มเพาะร่างกายนานหน่อยให้ร่างกายฟิตพอที่จะลงสู้ศึกได้จะดีที่สุด ซ้อมไปมาราธอนอย่าใจร้อนครับ หาตารางฝึกให้เป็นเรื่องเป็นราว (คืออย่าคิดสั้นแบบผมครับ 555 สามสัปดาห์ไม่พอจริงๆครับถึงผ่านได้แต่ก็ถือว่าจบแบบไม่สวยแล้วมันจะน่าเสียดายมากๆ ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์นะครับ)
๒.หากคิดจะไปแล้วขอให้อดทนซ้อม : จากการซ้อมทำให้ผมได้ตระหนักว่ามาราธอนมันเริ่มตั้งแต่การซ้อมแล้ว มันสามารถบอกได้ว่าคุณจะไปรอดไหมเพราะคุณต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจ,แรงบันดาลใจ ฯ อย่างมากเพราะมันเป็นระยะที่ไกลและต้องใช้เวลาอยู่กับมันนานมาก จะเบื่อจะขี้เกียจ,ผลัดวันประกันพรุ่งไม่ได้เลย (เพราะหากผลัดวันเดียวก็จะมีวันอื่นแน่) ความท้อแท้ความเบื่อหน่ายในการซ้อมมันเกิดขึ้นตลอดยิ่งหากซ้อมวิ่งคนเดียวจะรู้เลยว่ามันน่าเบื่อมาก กว่าจะผ่านไปได้แต่ละกิโลๆ แต่หากว่าคุณผ่านมันมาได้คุณก็จะภูมิใจในตัวเอง
๓.มาราธอนไม่ได้แข่งกับใครเพราะเป็นการแข่งกับตัวเอง : ด้วยระยะ 42.195 กิโลนั้นไกลพอที่จะข้ามจากจังหวัดหนึ่งไปสู่อีกจังหวัดหนึ่ง จริงอยู่ในตอนแรกคุณอาจจะคิดว่าคนอื่นเป็นคู่แข่ง แต่พอคุณวิ่งไปคุณก็จะรู้แหล่ะว่าท้ายสุดแล้วคู่แข่งก็คือตัวคุณ,ใจคุณเอง คุณเท่านั้นที่จะพาตัวเองให้ไปถึงเส้นชัยได้
ท้ายสุดนี้ไม่รู้จะกล่าวอะไรนอกจากหากว่าคุณคิดจะลงมาราธอนแล้วขอให้ลุยเลย อย่าถอดใจระหว่างทาง สู้ครับ
มาราธอนแรก จบแบบเจ็บๆ
ผมมีเวลาเหลือ 21 วันหรือสามสัปดาห์พอดี วันแรกๆก็ยังผ่อนคลายคิดว่าทันแน่เพราะตอนลงฮาล์ฟซ้อมแค่ 5 วันก็ผ่านโดยลด pace จากตอนมินิลงมา 1 นาทีซึ่งตอนนั้นก็ไม่มีปัญหา ไม่มีอาการบาดเจ็บ ไม่มีชนกำแพงให้ไปต่อไม่ได้ เลยมองโลกในแง่ดีคิดว่ามาราธอนก็น่าจะคล้ายๆกันคือน่าจะผ่านไปได้เพราะวิ่งมาตั้งปีครึ่งแล้วร่างกายน่าจะแข็งแรงไปได้ไหว วันที่ซ้อมวันแรกสตาร์ทเลยที่ 17 กิโล (ก่อนหน้านั้นปกติวิ่งวันละ 5 - 6 กิโล) โดยวิ่งแบบลดความเร็วลงเพราะรู้ว่าต้องวิ่งระยะไกลหน่อย วันแรกผ่านไปได้ไม่มีปัญหา วันที่สองก็ยัง 17 กิโลอยู่ ตั้งเป้าว่าจะค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ
ปัญหาหลักๆของการซ้อมคือเรื่องเวลา ผมมีธุระที่ต้องเปิดร้านตอน 8 โมงเช้า ปิดร้านก็เกือบๆ 6 โมง ต้องมานั่งคิดว่าเราจะซ้อมตอนไหนดีถึงจะได้ระยะที่ต้องการ (ผมวางไว้ว่าจะให้ถึง 32 ) ถ้าซ้อมวิ่ง 20 กิโลใช้เวลา 2 ชั่วโมงดังนั้นหากต้องการระยะให้ได้ 30 กิโลก็ต้องใช้เวลาซ้อม 3 ชั่วโมง หากวิ่งหลังปิดร้านก็จะเท่ากับว่าจะเลิกสามทุ่มกว่าๆ (รวมการเดินคูลดาวน์) ซึ่งจะมีผลต่อการกินข้าวเย็นและการนอนแน่ๆดังนั้นผมจึงเลือกที่จะซ้อมในตอนเช้าก่อนเปิดร้าน เงื่อนไขคือเลิกซ้อมตอน 7:50 ดังนั้นหากต้องการซ้อมให้ถึง 30 กิโลก็ต้องเริ่มวิ่งตอนตีสี่ครึ่ง ซึ่งผมทำได้แค่วันเดียวเพราะหลังจากที่ซ้อมวันนั้นผมก็เริ่มเจอชะตากรรมบาดเจ็บเล่นงาน
ตอนผ่านการซ้อมวิ่งไปได้ 5 ครั้งผมรู้เลยว่าผมตัดสินใจลงระยะมาราธอนช้าไปเพราะเวลาที่ร่างกายจะบ่มเพาะความแข็งแกร่งมันน้อยเกินไป อีกทั้งด้วยเวลาที่จี้ติดเข้ามาก็ต้องฝืนเร่งซ้อมให้ได้ระยะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มาไม่ดีเลย ในตารางผมซ้อมได้ 8 ครั้งซึ่งไม่ต้องซ้อมติดๆกัน บางวันก็เว้นพักเพราะผมก็รู้ตัวเองดีว่าโหมไปก็ไม่ดีแต่อย่างที่บอกว่าเวลาก็ไม่มีแล้วเช่นกัน ตามตารางในรูปคือผมพยายามซ้อมเอาระยะให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 17,18,19,20,27 จนมาถึง 31 เกมก็โอเวอร์เพราะผมเจ็บข้อเท้าด้านหน้ามาก มากขนาดว่าเหลืออีกแค่ 800 เมตรก็จะได้ระยะ 32 ที่ต้องการแล้วแต่ผมก็ตัดใจหยุดไปเลยเพราะไม่ไหวจริงๆ วันนั้นเป็นวันพุธ พักสามวันมาซ้อมวิ่งอีกทีวันอาทิตย์เพราะรู้สึกว่าอาการบางเบาจนแทบจะไม่รู้สึกหากไม่เกร็งข้อเท้าแต่ก็ซ้อมได้แค่ 27 กิโลเท่านั้นก็ต้องเลิกเพราะมันกลับมาเจ็บอีกแล้วตั้งแต่กิโลที่ 22 หลังจากนั้นก็พักยาวตามคำแนะนำของเพื่อนนักวิ่งในเฟซ พักยันวันวิ่งจริง 1 สัปดาห์เต็มๆเลย นั่นก็คือซ้อมวิ่งจริงๆแค่แปดวัน
วันวิ่งจริง ก่อนวิ่งกังวลแค่เรื่องอาการบาดเจ็บเพียงอย่างเดียวแต่ก็มองโลกในแง่ดีว่าน่าจะไปรอดเพราะคิดว่าพักมามาก ช่วงที่พักคือไม่ได้วิ่งเลยแม้แต่กิโลเดียว แช่แข็งร่างกายอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องหมดแรงระหว่างทางนั้นไม่กังวลเพราะวิ่งช้ากว่าระยะมินิเยอะ ตอนซ้อมไม่เหนื่อยเพราะหอบอาจมีเหนื่อยจากการหมดแรงข้าวต้มบ้างแต่ก็เตรียมเจลไว้กินแล้วสองซองคิดว่าไปรอดแน่ๆ ตั้งเป้าไว้ไม่เกิน 4 ชั่วโมงครึ่ง (ก่ะเอาให้เท่าตูนบอดี้สแลมเลย)
แต่วิ่งผ่านไปได้แค่ 15 กิโลลางหายนะก็มาแล้วคือเริ่มมีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าเจ้ากรรมขึ้นมาแต่ยังอยู่ในขอบเขตที่ทนได้ก็วิ่งมาเรื่อยๆแต่มันก็ส่งผลต่อเรื่องสมาธิเช่นกันกลายเป็นวิ่งไปไม่มั่นใจไป อาการค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผ่านกิโลที่ 32 ก็เกมโอเวอร์ต้องเปลี่ยนมาเดินแทนเพราะเจ็บข้อเท้ามาก ขนาดเดินก็ยังเจ็บมาก ระหว่างนั้นมีหลากหลายอารมณ์ในจิตใจทั้งโมโหตัวเอง,ผิดหวังในตัวเอง,และอ้างว้าง อ่านแล้วอาจจะรู้สึกแปลกกับความอ้างว้าง คือด้วยระยะทางที่ยังเหลืออีก 10 กิโลเมตรมันเป็นระยะทางที่ไกลมากหากจะไปให้ถึงด้วยการเดินเท้า รู้สึกเหมือนตัวเองใส่เสื้อชูชีพแล้วลอยคออยู่กลางมหาสมุทธก็ไม่ปาน นักวิ่งเริ่มทยอยวิ่งผ่านไปทีละคนๆ บางคนหันมาถามด้วยความเป็นห่วง บางคนมาช่วยกระตุ้นให้สู้ต่อไป มาตัดสินใจวิ่งอีกทีก็ตอน 6 กิโลสุดท้าย กัดฟันวิ่งเพราะคิดว่าไหนๆเดินก็เจ็บก็วิ่งเถอะ แต่ก็วิ่งได้แบบเหยาะๆไม่ได้เร็วมาก เข้าเส้นชัยไปเกือบๆ 5 ชั่วโมงเกินระยะเป้าหมายที่ตั้งไว้เกือบครึ่งชั่วโมง ผ่านมาราธอนแรกแบบไม่ค่อยดีใจเพราะมันผ่านแบบเจ็บๆ
สิ่งที่อยากบอกถึงคนที่คิดจะลงมาราธอนแรก
๑.ฮาล์ฟกับมาราธอนห่างกันเยอะ : การข้ามจากระยะฮาล์ฟมาเป็นมาราธอนนั้นไม่ง่ายเหมือนกันข้ามจากมินิมาระยะฮาล์ฟ แม้ระยะจะคูณสองเหมือนกันแต่คนละเรื่องเลยก็ว่าได้ การซ้อมต้องใช้เวลาบ่มเพาะร่างกายนานหน่อยให้ร่างกายฟิตพอที่จะลงสู้ศึกได้จะดีที่สุด ซ้อมไปมาราธอนอย่าใจร้อนครับ หาตารางฝึกให้เป็นเรื่องเป็นราว (คืออย่าคิดสั้นแบบผมครับ 555 สามสัปดาห์ไม่พอจริงๆครับถึงผ่านได้แต่ก็ถือว่าจบแบบไม่สวยแล้วมันจะน่าเสียดายมากๆ ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์นะครับ)
๒.หากคิดจะไปแล้วขอให้อดทนซ้อม : จากการซ้อมทำให้ผมได้ตระหนักว่ามาราธอนมันเริ่มตั้งแต่การซ้อมแล้ว มันสามารถบอกได้ว่าคุณจะไปรอดไหมเพราะคุณต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจ,แรงบันดาลใจ ฯ อย่างมากเพราะมันเป็นระยะที่ไกลและต้องใช้เวลาอยู่กับมันนานมาก จะเบื่อจะขี้เกียจ,ผลัดวันประกันพรุ่งไม่ได้เลย (เพราะหากผลัดวันเดียวก็จะมีวันอื่นแน่) ความท้อแท้ความเบื่อหน่ายในการซ้อมมันเกิดขึ้นตลอดยิ่งหากซ้อมวิ่งคนเดียวจะรู้เลยว่ามันน่าเบื่อมาก กว่าจะผ่านไปได้แต่ละกิโลๆ แต่หากว่าคุณผ่านมันมาได้คุณก็จะภูมิใจในตัวเอง
๓.มาราธอนไม่ได้แข่งกับใครเพราะเป็นการแข่งกับตัวเอง : ด้วยระยะ 42.195 กิโลนั้นไกลพอที่จะข้ามจากจังหวัดหนึ่งไปสู่อีกจังหวัดหนึ่ง จริงอยู่ในตอนแรกคุณอาจจะคิดว่าคนอื่นเป็นคู่แข่ง แต่พอคุณวิ่งไปคุณก็จะรู้แหล่ะว่าท้ายสุดแล้วคู่แข่งก็คือตัวคุณ,ใจคุณเอง คุณเท่านั้นที่จะพาตัวเองให้ไปถึงเส้นชัยได้
ท้ายสุดนี้ไม่รู้จะกล่าวอะไรนอกจากหากว่าคุณคิดจะลงมาราธอนแล้วขอให้ลุยเลย อย่าถอดใจระหว่างทาง สู้ครับ