ในร่างกายและจิตใจ (คือขันธ์ ๕) นี้มันมีอะไรบ้างที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ?
ร่างกาย (รูปขันธ์) ก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันเป็นแค่ ดิน น้ำ ไฟ ลม มาปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้น ไม่นานมันก็จะแตกสลายไป
การรับรู้ (วิญญาณขันธ์) ก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันเป็แค่กิริยาที่รับรู้ได้เมื่ออายตนะภายนอก (คือรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งกระทบกาย สิ่งกระทบใจ) มากระทบกับอายตนะภายในของร่างกาย (คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เท่านั้น ถ้าอายตนะภายในเสียหาย (หรือร่างกายตาย) การรับรู้ (วิญญาณ) ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้
การจำสิ่งที่รับรู้ได้ (สัญญาขันธ์) ก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันเป็นแค่กิริยาที่จำสิ่งที่รับรู้ได้เท่านั้น ถ้าไม่มีการรับรู้ ก็จะไม่มีการจำสิ่งที่รับรู้ได้ (หรือถ้าไม่มีข้อมูลจากสอมง ก็จำอะไรไม่ได้)
ความรู้สึก (เวทนาขันธ์) ก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันเป็นแค่เพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อมีการรับรู้สิ่งต่างๆ (คืออายตนะภายนอก) เท่านั้น ถ้าไม่มีการรับรู้ ก็จะไม่มีความรู้สึก
การคิดนึกปรุงแต่งของจิต (สังขารขันธ์) ก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันเป็นแค่อาการที่จิตนำเอาการจำสิ่งที่รับรู้ได้มาปรุงแต่งให้เกิดเป็นความพอใจ-ไม่พอใจ-ลังเลใจบ้าง ให้เกิดเป็นความยึดถือว่าจิตใจและร่างกายนี้คือตัวเรา-ของเราบ้าง ให้เกิดเป็นความคิดบ้าง เป็นต้น ถ้าไม่มีการจำสิ่งที่รับรู้ได้ ก็จะไม่มีการคิดนึกปรุงแต่งของจิต
สรุปได้ว่า มันไม่มีสิ่งใดเลยในร่างกายและจิตใจ (จิตใจก็คือระบบการทำงานร่วมกันของวิญญาณขันธ์,สัญญาขันธ์,เวทนาขันธ์,และสังขารขันธ์) ที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรา-ของเราอยู่นี้ ซึ่งจิตใจที่เรากำลังรู้สึกอยู่ว่าเป็นตัวเรานี้ มันเป็นเพียงระบบการทำงานที่สลับซับซ้อนของจิต ที่มีอวิชชา (ความรู้ว่ามีตัวเราที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติพร้อมกับจิต) ครอบงำอยู่เท่านั้น แล้วอวิชชาก็มาหลอกจิตทำให้จิตเกิดความรู้สึกว่ามีตัวตนของเราอยู่จริงๆขึ้นมา แล้วก็ยังทำให้จิตโง่นี้เกิดความเข้าใจผิด (ความเห็นผิด) ว่าจิตนี้คือตัวตนของเราจริงๆ ที่จะไม่สูญหายไป แม้ร่างกายจะตายไปแล้วแต่จิตใจที่เป็นตัวตนของเรานี้ก็จะยังเกิดขึ้นมาได้ใหม่อีกเรื่อยไป (คือทำให้เกิดความเชื่อว่ามีการเวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกาย และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า รวมทั้งเรื่องเทวดา นางฟ้า เป็นต้น ขึ้นมา) ซึ่งนี่คือความเข้าใจผิดหรือความเห็นผิดจากความเป็นจริงของธรรมชาติอย่างเต็มที่ (มิจฉาทิฏฐิ) ซึ่งความเห็นผิดนี้เองที่ทำให้จิตเกิดความยึดถือว่าจิตใจและร่างกายนี้คือตัวเรา-ของเราขึ้นมาพร้อมความทุกข์ (คือความเสียใจ ไม่สบายใจ คับแค้นใจ ทรมานใจ เป็นต้น) ขึ้นมา ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า (คือสรุปว่าความยึดถือในขันธ์ ๕ นี้ว่าเป็นตัวเรา-ของเรานี้คือตัวความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอน)
ไม่มีตัวเราอยู่จริง
ร่างกาย (รูปขันธ์) ก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันเป็นแค่ ดิน น้ำ ไฟ ลม มาปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้น ไม่นานมันก็จะแตกสลายไป
การรับรู้ (วิญญาณขันธ์) ก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันเป็แค่กิริยาที่รับรู้ได้เมื่ออายตนะภายนอก (คือรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งกระทบกาย สิ่งกระทบใจ) มากระทบกับอายตนะภายในของร่างกาย (คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เท่านั้น ถ้าอายตนะภายในเสียหาย (หรือร่างกายตาย) การรับรู้ (วิญญาณ) ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้
การจำสิ่งที่รับรู้ได้ (สัญญาขันธ์) ก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันเป็นแค่กิริยาที่จำสิ่งที่รับรู้ได้เท่านั้น ถ้าไม่มีการรับรู้ ก็จะไม่มีการจำสิ่งที่รับรู้ได้ (หรือถ้าไม่มีข้อมูลจากสอมง ก็จำอะไรไม่ได้)
ความรู้สึก (เวทนาขันธ์) ก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันเป็นแค่เพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อมีการรับรู้สิ่งต่างๆ (คืออายตนะภายนอก) เท่านั้น ถ้าไม่มีการรับรู้ ก็จะไม่มีความรู้สึก
การคิดนึกปรุงแต่งของจิต (สังขารขันธ์) ก็ไม่ใช่ตัวเรา เพราะมันเป็นแค่อาการที่จิตนำเอาการจำสิ่งที่รับรู้ได้มาปรุงแต่งให้เกิดเป็นความพอใจ-ไม่พอใจ-ลังเลใจบ้าง ให้เกิดเป็นความยึดถือว่าจิตใจและร่างกายนี้คือตัวเรา-ของเราบ้าง ให้เกิดเป็นความคิดบ้าง เป็นต้น ถ้าไม่มีการจำสิ่งที่รับรู้ได้ ก็จะไม่มีการคิดนึกปรุงแต่งของจิต
สรุปได้ว่า มันไม่มีสิ่งใดเลยในร่างกายและจิตใจ (จิตใจก็คือระบบการทำงานร่วมกันของวิญญาณขันธ์,สัญญาขันธ์,เวทนาขันธ์,และสังขารขันธ์) ที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรา-ของเราอยู่นี้ ซึ่งจิตใจที่เรากำลังรู้สึกอยู่ว่าเป็นตัวเรานี้ มันเป็นเพียงระบบการทำงานที่สลับซับซ้อนของจิต ที่มีอวิชชา (ความรู้ว่ามีตัวเราที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติพร้อมกับจิต) ครอบงำอยู่เท่านั้น แล้วอวิชชาก็มาหลอกจิตทำให้จิตเกิดความรู้สึกว่ามีตัวตนของเราอยู่จริงๆขึ้นมา แล้วก็ยังทำให้จิตโง่นี้เกิดความเข้าใจผิด (ความเห็นผิด) ว่าจิตนี้คือตัวตนของเราจริงๆ ที่จะไม่สูญหายไป แม้ร่างกายจะตายไปแล้วแต่จิตใจที่เป็นตัวตนของเรานี้ก็จะยังเกิดขึ้นมาได้ใหม่อีกเรื่อยไป (คือทำให้เกิดความเชื่อว่ามีการเวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกาย และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า รวมทั้งเรื่องเทวดา นางฟ้า เป็นต้น ขึ้นมา) ซึ่งนี่คือความเข้าใจผิดหรือความเห็นผิดจากความเป็นจริงของธรรมชาติอย่างเต็มที่ (มิจฉาทิฏฐิ) ซึ่งความเห็นผิดนี้เองที่ทำให้จิตเกิดความยึดถือว่าจิตใจและร่างกายนี้คือตัวเรา-ของเราขึ้นมาพร้อมความทุกข์ (คือความเสียใจ ไม่สบายใจ คับแค้นใจ ทรมานใจ เป็นต้น) ขึ้นมา ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า (คือสรุปว่าความยึดถือในขันธ์ ๕ นี้ว่าเป็นตัวเรา-ของเรานี้คือตัวความทุกข์ที่พระพุทธเจ้าสอน)