จอมมารแห่งโลกา
หลังจากข่าวการเตรียมการจู่โจมของเหล่ามาร ทำให้กองทัพฝ่ายมนุษย์หลายต่อหลายกองทัพเริ่มขยับขยายกองทัพของตนเพื่อป้องกันตัวเอง และในขณะเดียวกัน ทางนพเก้านครก็เริ่มที่จะเตรียมกองทัพขนาดใหญ่ ถึงขนาดส่งสาสน์ทองคำหิมะ ซึ่งเป็นเรียกทัพเร่งด่วนที่สุดของนพเก้า ซึ่งประกอบด้วยสาสน์ ๙ ระดับ ได้แก่ ๑. สาสน์ปฐม เป็นสาสน์ที่ใช้ในการส่งข่าวปกติ ๒.สาสน์ทองแดง เป็นสาสน์ที่ใช้งานราชพิธี ๓ สาสน์ทอง เป็นสาสน์ที่ใช้ในการเรียกการประชุมธรรมดาที่จะส่งไปยังหัวเมืองต่างๆ ๔.สาสน์เงินหิมะ เป็นสาสน์เรียกทัพระดับธรรมดาเพื่อตรวจตรากำลัง ๕.สาสน์ทองเหมันต์ เป็นสาสน์ที่ใช้ในการเรียกประชุมราชาตามเมืองขึ้น ๖.สาสน์หิมะเหมันต์ เป็นสาสน์ที่ใช้ในการเรียกทัพเพื่อช่วยระดับปกติ ๗.สาสน์ทองคำหิมะ เป็นสาสน์เรียกทัพเพื่อช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน ๘.สาสน์ราชันย์ธุระ เป็นสาสน์เร่งด่วนที่ใช้รวมพลของเจ้าเมืองต่างๆ ในการปกครอง ๙.สาสน์อหังการ์ราชันย์ เป็นสาสน์ที่ใช้เพื่อประชุมครั้งใหญ่ ซึ่งปกติ มักใช้ในงานที่สำคัญมากๆ ซึ่งในยุคของไฟร์ ยังไม่เคยใช้สาสน์อหังการ์ราชันย์เลย ซึ่งระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา กรุงนพเก้านคร ได้รับสาสน์ตอบรับความช่วยเหลือหลายต่อหลายฉบับ โดยทำให้กองกำลังของนพเก้านั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว ไฟร์จึงมีคำสั่งให้ไรจัดการกองทัพทั้งหมดให้เสร็จก่อนที่จะมีข่าวการเคลื่อนพลของอควอโลในอีก ๒ วัน จนในที่สุดทางนพเก้านครก็ได้กองกำลังทั้งสิ้น ๙ กองพล กองพลละ ๘ กองพัน กองพันละ ๗ กองร้อย กองร้อยละ ๑๒,๐๐๐ นาย แบ่งเป็นทหารราบ ๕,๐๐๐นาย ทหารม้า ๓,๐๐๐ นาย ทหารหอก ๒,๐๐๐ นาย ทหารข่าวสาร ๒๐๐ นาย ทหารเสบียง ๑,๒๐๐ นาย และทหารฝ่ายสืบราชการลับ ๖๐๐ นาย รวมกำลังพลทั้งสิ้น กองพันละ ๘๔,๐๐๐ นาย กองพลละ ๖๗๒,๐๐๐ รวมทั้งกองทัพทั้งสิ้น ๖,๐๔๘,๐๐๐ นาย โดยมีไรเป็นแม่ทัพอสุนีบาตไร้พ่าย มีไวร์มาร์คเป็นเป็นจอมพลบูรพาไร้พ่าย โดยไฟร์ยกตำแหน่งขึ้นไปเป็นจอมทัพปราบปฏิปักษ์ ยกตำแหน่งแม่ทัพนายกอง และราชาที่มาร่วมทัพกันคนละ ๑ ขั้น โดยให้เซียนสราญรมย์เป็นเสนาธิการบดีประจำทัพ
และในที่สุด ก็ถึงวันที่อควอโลจะยกทัพมาจู่โจมนพเก้านคร โดยในครั้งนี้ อควอโลได้แต่งตั้งให้ไวโลเป็นแม่ทัพคุมกองกำลังทั้งสิ้น ๑ กองพล ( ประมาณ ๓,๖๐๐,๐๐๐ ตน ) มาตั้งที่หน้ากรุงนพเก้านคร โดยตั้งห่างจากกำแพงเมืองประมาณ ๒๕ เส้น ตั้งค่ายกระโจมที่พักพร้อมจัดเวรยามตรวจตราการเคลื่อนไหวในอาณาเขต ๒๐๐ เส้น ฝ่ายในนพเก้านครก็จัดหาแม่ทัพเพื่อมาเป็นผู้นำทัพ โดยในที่ประชุมซึ่งเสนอโดยเซียนสราญรมย์ ว่าให้มิร่า ซึ่งเป็นแม่ทัพระดับสามรองจาก ไร และ เร็น ซึ่งไฟร์ก็ยังไม่เข้าใจในความคิดของเซียนสราญรมย์ มิร่าจึงรับตำแหน่งแม่ทัพ นำกองทัพ ๑ กองพล ( ประมาณ ๖๗๒,๐๐๐ นาย ) เพื่อนำมาต้านกำลังของอควอโล โดยมิร่าสั่งจัดตั้งทัพห่างจากค่ายของอควอโล ๒๔ เส้น โดยรอดูทีท่าของอควอโลก่อน ในคืนนั้น ณ ค่ายพักของอควอโล
“ ข้าไม่เข้าใจ ทำไมไฟร์ถึงให้แม่ทัพระดับ ๓ ซ้ำยังนำพลออกมาเพียง ๑ กองพลเขามาสู้กับเรา ทั้งๆที่เขาน่าจะรู้ว่า ไวโล เป็นแม่ทัพที่มีประสบการณ์ทางการรบอย่างช่ำชอง ” อควอโลพูด ไวโลก้มหัวให้ อควอโลก็พูดต่อ
“ ข้าไม่ได้พูดชมเจ้า เพียงแต่ข้าก็พูดความจริง แต่ถึงยังไงข้าก็อยากจะรู้จักเจ้ามิร่าให้มากกว่านี้ แค่ไม่เข้าใจไอ้พวกมนุษย์พวกนั้นจริงๆ ” อควอมาโดสนั่งฟังแล้วก็พูดขึ้นมาว่า
“ ฮ่า ถ้าเจ้าอยากรู้ข้าจะบอกให้ฟัง อควอโล ” อควอโลทำหน้างงแล้วถามว่า “ ท่านพ่อรู้จักเขาเหรอ ”
อควอมาโดสยิ้มหัวเราะเฮอะเฮอะ แล้วตอบไปว่า
“ ทำไมจะไม่รู้ มิร่าน่ะ เป็นคนที่มาจากทางตอนเหนือ บ้านของเขาอยู่ในป่าทึบ ปีนั้น เมก้าพ่อของไฟร์กำลังทำการเพิ่มดินแดน มันเป็นปีที่ข้า กำลังไปประจำการเพื่อทดสอบฝีมือ พ่อถูกเมก้าตีขนาบหน้า-หลัง เลยหลบหนีเข้าไปในที่พักของครอบครัวมิร่า ตอนนั้น มิร่ายังไม่เกิด ข้าเข้าไปหลบ พอเมก้าผ่านมา ก็เข้ามาถาม พ่อของมิร่า ออ! เขาชื่อ โอลิว เขาบอกปฏิเสธ เมก้าไม่ได้สงสัยอะไร ก็ออกไป ข้าก็เลยเข้าไปชักชวนเขามาทำงานในสภา เขาบอกปัดปฏิเสธ แต่ก็บอกว่าถ้าลูกออกมาเป็นผู้ชาย เขาจะให้มารับงานที่เมืองเรา จนเมื่อ ๒๐ ปีก่อน พ่อก็ได้ข่าวว่าไฟร์ไปทัศนาจรแถวๆนั้น เลยขอลูกชายของโอลิวไป ซึ่งนั้นก็คือมิร่านั่นแหละ แต่โอลิวก็ยืนยันว่าจะไม่ยุ่งกับการเมือง พ่อเดินทางไปหาเขา เขาก็กล่าวบอกกับพ่อว่าเสียใจที่ไม่ได้ให้ลูกของเขามารับราชการที่เรา พ่อก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเขาก็มีบุญคุณกับพ่อ พ่อก็เลยเลี้ยงเขา ตอนงานเลี้ยง พ่อก็สอบถามนิสัยของมิร่ากับโอลิว เขาบอกพ่อว่า มิร่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ด้านอักษร แม้จะไม่ได้เรียนแต่ก็สามารถท่องคัมภีร์ปราชญ์สวรรค์ได้จนจบเล่มเลยที่เดียว มิร่าน่ะเป็นคนขยันเรียน เป็นลูกพักลักจำ ออกมาในบริเวณสถานที่ศึกษาของโอรสกษัตริย์บริเวณนั้นบ่อยๆ วันๆไม่ทำอะไร อ่านตำรา ท่องตำรา เห็นว่าเคยจัดฝูงของวัวกระทิงให้เข้าถล่มฝูงราชสีห์ที่รบกวนเขาได้ทีเดียว นับว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง ลูกไม่ควรประมาทเขานะ ”
อควอโลกับไวโล และแม่ทัพนายกองต่างฟังกันอย่างตลึง อควอโลมองหน้าไวโล ไวโลเลยถามอควอมาโดสไปว่า
“ แล้วท่านผู้นำมีความเห็นอย่างไรกับการนำศึกครั้งนี้ของข้ากระหม่อม ขอคำแนะนำด้วยเถิด ”
“ ฮะ ข้านะก็อยากจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้แค่นั้นเอง ว่ามิร่านะ เป็นเด็กที่เกิดในชนบท ย่อมมีเมตตาเป็นธรรมดา ข้าจึงอยากให้เจ้า แสร้งทำเป็นเสียที่เขา ข้าว่าเขาจะไม่ไล่ตีตามมาแน่นอน แล้วถึงตอนนั้น ลูกน้องในทัพของมิร่าจะเห็นว่ามิร่ามีเมตตามากเกินไป ต้องบีบให้มิร่านำทัพเข้ามาแน่นอน แต่ตอนนี้ เราตั้งทัพใกล้มากเกินไป อควอโล ถอยทัพ สัก ๑๐๐ เส้นเถอะ พ่อว่า มันจะเป็นการดี ถ้าเราจะดำเนินการศึกเช่นนี้ ถ้ายังตั้งอยู่ที่นี่ เซียนสราญรมย์ย่อมมองกลอุบายออก ไม่ให้มิร่าออกรบแน่นอน หรือถึงออกรบก็คงส่งกองทัพมาเสริมได้ทัน มันแล้วแต่เจ้าแล้วล่ะ ”
อควอมาโดสกล่าว ไวโลก็มีความคิดที่คล้ายกันกับอควอมาโดส แต่อควอโลยังไม่เห็นด้วยทั้งหมด จึงพูดไปว่า
“ ท่านพ่อ การที่เรายิ่งตั้งห่างพวกมัน พวกมันก็อาจจะทำอย่างที่เราทำก็ได้นะ ” ไวโลจึงพูดขึ้นว่า
“ งั้นท่านแม่ทัพก็ทรงกังวลมากไปแล้วนะขอรับ ไฟร์กับเซียนสราญรมย์คงไม่คิดเช่นนั้นหรอก มันถือว่ามันเป็นตระกูลศักดิ์สิทธิ์ มันก็คงไม่ดำเนินศึกเช่นนี้แน่ ”
“ อ้า งั้นเจ้าว่าฝ่ายเราทำการต่ำช้างั้นหรือ ” อควอโลตวาด อควอมาโดสจึงยกมือขึ้นห้ามแล้วพูดขึ้นว่า
“ อควอโล พ่อไม่คิดเลยว่าเจ้าจะคิดเช่นนั้น ที่ไวโลพูดน่ะถูกแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราเลวกว่าพวกมัน เพียงแต่ในสนามรบคนที่กล้าเสี่ยงที่สุด คือผู้ชนะ อควอโล เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด เจ้าจำคำๆนี้ได้ไหม พ่อน่ะต้องเสียที่ข้าศึกมันมาครั้งหนึ่งแล้ว เพราะข้าคิดว่าเราสู้กันก็ควรจะสมศักดิ์ศรี แต่ก็เพราะศึกครั้งนั้นน่ะแหละ ทำให้พ่อถูกปู่ของเจ้าตัดออกจากการรับตำแหน่งจ้าวนครมหาเทวะ พ่อเลยอยากจะบอกลูกว่า ถ้ามันเป็นชัยชนะ มันก็การสู้ที่สมศักดิ์ศรีแล้ว เราไม่ได้ผิดกฎสงครามแม้แต่ข้อเดียว อีกอย่าง ถ้าเรายังยืดเยื้อต่อไป หากโอเบลิสถูกปลุกขึ้นมาก่อนปู่เจ้าล่ะก็ การศึกครั้งนี้ เจ้าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มมองชัยภูมิ มีเพียงปู่เจ้าเท่านั้นที่มองกลยุทธ์ของโอเบลิสออก เซียนสราญรมย์ที่ว่าฉลาด ยังเจ้าเล่ห์ไม่เท่าเจ้าโอเบลิสพ่อของมันเลย ”
อควอโลจึงคลายโทสะลงแล้วหันมาขอโทษไวโล
“ ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยที่ข้าต่อว่าเจ้า เจ้าเป็นผู้ที่ข้ามั่นใจที่สุด เอ้า เชิญเจ้าเลย ไวโล สั่งจัดการถอยทัพไป ๑๓๐ เส้น ”
ไวโลน้อมรับ แล้วออกมาสั่งกับกองทัพด้านนอกด้วยเสียงอันดังว่า “ ด้วยอาญาสิทธิ์ที่ข้าได้รับ ถอยทัพ ๑๓๐ เส้น รับบัญชา ”
เหล่ากองทัพเมื่อได้ยินคำสั่งก็ลุกขึ้นจากที่นอนจัดการเก็บขนของ ทางฝ่ายนพเก้านคร เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวก็จัดการลั่นกลองสัญญาณทันที เหล่าทหารที่เตรียมพร้อมก็ต่างลุกขึ้นจัดทัพกันอย่างรวดเร็วแต่เป็นระเบียบ มิร่าออกมาดูทัพด้วยตนเอง ด้านเซียนสราญรมย์ ไฟร์ ไวร์มาร์ค ไร เร็น ก็ออกมาดูการเคลื่อนไหว “ ทหารเห็นพวกมันเตรียมตัวกันพ่ะย่ะค่ะ ” มิร่ากล่าวกับไฟร์ “ อืม ข้าเห็นแล้ว แล้วกองทัพเราล่ะเป็นอย่างไรบ้าง ” ไฟร์ถาม
“ จากการฝึกซ้อม คาดว่าอีกสักครู่ ก็คงจัดรูปขบวนเสร็จนะพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่คิดว่ามันจะจู่โจมตอนดึกเช่นนี้ ”
“ มันไม่ได้จู่โจม แต่กำลังถอย โน่น ดูนั่นสิ พวกมันเริ่มจัดการรื้อป้อมแล้ว ”
เซียนสราญรมย์กล่าว ทั้งหมดหันไปดู แล้วก็พบว่า ทัพของอควอโลรื้อป้อมจริงๆ ไฟร์กับไวร์มาร์คและเหล่าแม่ทัพทำสีหน้าสงสัย ไฟร์ถามเซียนสราญรมย์ว่า
“ มันจะถอนกำลังทำไม”
“ มันจะเล่นอุบายกับเรา” เซียนสราญรมย์ตอบ “ อุบาย อุบายอะไรกันท่านลุง ” ไฟร์ถาม
“ ถ้าข้าเดาไม่ผิด มันต้องการให้เราไปสู้กับมันโดยไกลจากเมืองหลวงมากที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ หากเพลี่ยงพล้ำอะไร เราช่วยมิร่าไม่ทันการแน่ ” เซียนสราญรมย์กล่าว มิร่าจึงพูดว่า
“ งั้นข้าว่าให้ท่านไร เป็นผู้นำทัพครั้งนี้ดีกว่านะท่าน ”
“ มิร่า ข้าไว้ใจเจ้ามากที่สุด ยังไงเจ้าก็ต้องนำทัพครั้งนี้ไป ข้าว่าข้าจะไปกับเจ้าด้วย ” เซียนสราญรมย์กล่าว ไฟร์หันมาแล้วพูดว่า
“ ท่านลุง การนำทัพครั้งนี้ หลานว่า สมควรให้ไรไปจะดีกว่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้านะ มิร่า แต่ถ้าหากมันเล่นอย่างนี้ เราก็ต้องใช้กลศึกที่แยบยล แม้ว่าเจ้าจะชาญตำราอยู่บ้าง แต่ถึงท่านลุงไปด้วย หากเพลี่ยงพล้ำ มันจะไม่ทันการยกทัพไปนะท่านลุง ”
“ เอาเป็นว่าข้าไว้ใจมิร่าอยู่เหมือนเดิม ไฟร์ ยังไงลุงก็เป็นเสนาธิการบดี ลุงเชื่อว่าลุงมองคนไม่ผิด หลานล่ะ คิดว่าลุงคิดผิดหรือ ” เซียนสราญรมย์พูด ไฟร์ถึงกับอ้าปากไม่ออก เซียนสราญรมย์จึงหันมาสั่งการกับมิร่าว่า
“ เอาล่ะ มิร่า เจ้าให้ทหารไปพักผ่อนเสีย แล้วพรุ่งนี้ค่อยสืบดูอีกที ว่ามันจะตั้งทัพที่ใด ”
มิร่าน้อมรับ แล้วหันไปสั่งให้เหล่าทหารกลับไปพักผ่อนเสีย ส่วนไฟร์ ไวร์มาร์ค ไร และเร็น เซียนสราญรมย์ก็ให้ไปนอนพักผ่อน ส่วนตนจะขอพิจารณากลศึกครั้งนี้ก่อน หลังจากการเคลื่อนพลของอควอโลเพียงชั่วยามเดียว ทัพของอควอโลก็ถอนไปได้จนหมด เหลือเพียงทหารคอยสอดแนมอยู่เท่านั้น เซียนสราญรมย์ยืนมองอย่างพินิจพิจารณา ก็เห็นให้กลศึกของอควอโลเป็นอย่างดี แต่ที่สงสัยก็คือ รู้นิสัยของมิร่าได้อย่างไง
รุ่งเช้า กองกำลังของอควอโลก็เคลื่อนพลมาประจัญบาลกับทัพนพเก้านคร เซียนสราญรมย์ซึ่งเตรียมการณ์ไว้อยู่แล้ว ไม่ได้มีสีหน้าตกใจแต่อย่างใด ส่วนกองทัพของมิร่าก็จัดทัพเพื่อเตรียมประจัญบาลเช่นกัน โดยที่มิร่ายกทัพห่างจากนพเกาถึง ๒๐ เส้น เซียนสราญรมย์ขี่ม้ามาเคียงข้างมิร่า อควอมาโดสเห็นเซียนสราญรมย์มาด้วยก็เรียกไวโลมาตักเตือนเรื่องการรบ
“ เจ้าจงระวังเซียนสราญรมย์ไว้ให้ดี พยายามทำให้มันแยกจากมิร่าให้ได้ ”
“ ขอรับ ถ้างั้นหม่อมฉันขอให้พระองค์ยกทัพ ๗๐,๐๐๐ ตน ไปตรึงเซียนสราญรมย์ไว้ เดี๋ยวหม่อมฉันจะพุ่งไปหามิร่าเอง ” ไวโลบอกวิธีกับอควอมาโดส อควอมาโดสพยักหน้ายิ้มให้ก้อนจะแยกทหารไปรบ
มหาสงครามชิงพิภพ ตอนที่ ๑ จุดเริ่มต้นของสงคราม บทที่ ๓ สงครามชิงหงส์
หลังจากข่าวการเตรียมการจู่โจมของเหล่ามาร ทำให้กองทัพฝ่ายมนุษย์หลายต่อหลายกองทัพเริ่มขยับขยายกองทัพของตนเพื่อป้องกันตัวเอง และในขณะเดียวกัน ทางนพเก้านครก็เริ่มที่จะเตรียมกองทัพขนาดใหญ่ ถึงขนาดส่งสาสน์ทองคำหิมะ ซึ่งเป็นเรียกทัพเร่งด่วนที่สุดของนพเก้า ซึ่งประกอบด้วยสาสน์ ๙ ระดับ ได้แก่ ๑. สาสน์ปฐม เป็นสาสน์ที่ใช้ในการส่งข่าวปกติ ๒.สาสน์ทองแดง เป็นสาสน์ที่ใช้งานราชพิธี ๓ สาสน์ทอง เป็นสาสน์ที่ใช้ในการเรียกการประชุมธรรมดาที่จะส่งไปยังหัวเมืองต่างๆ ๔.สาสน์เงินหิมะ เป็นสาสน์เรียกทัพระดับธรรมดาเพื่อตรวจตรากำลัง ๕.สาสน์ทองเหมันต์ เป็นสาสน์ที่ใช้ในการเรียกประชุมราชาตามเมืองขึ้น ๖.สาสน์หิมะเหมันต์ เป็นสาสน์ที่ใช้ในการเรียกทัพเพื่อช่วยระดับปกติ ๗.สาสน์ทองคำหิมะ เป็นสาสน์เรียกทัพเพื่อช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน ๘.สาสน์ราชันย์ธุระ เป็นสาสน์เร่งด่วนที่ใช้รวมพลของเจ้าเมืองต่างๆ ในการปกครอง ๙.สาสน์อหังการ์ราชันย์ เป็นสาสน์ที่ใช้เพื่อประชุมครั้งใหญ่ ซึ่งปกติ มักใช้ในงานที่สำคัญมากๆ ซึ่งในยุคของไฟร์ ยังไม่เคยใช้สาสน์อหังการ์ราชันย์เลย ซึ่งระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา กรุงนพเก้านคร ได้รับสาสน์ตอบรับความช่วยเหลือหลายต่อหลายฉบับ โดยทำให้กองกำลังของนพเก้านั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว ไฟร์จึงมีคำสั่งให้ไรจัดการกองทัพทั้งหมดให้เสร็จก่อนที่จะมีข่าวการเคลื่อนพลของอควอโลในอีก ๒ วัน จนในที่สุดทางนพเก้านครก็ได้กองกำลังทั้งสิ้น ๙ กองพล กองพลละ ๘ กองพัน กองพันละ ๗ กองร้อย กองร้อยละ ๑๒,๐๐๐ นาย แบ่งเป็นทหารราบ ๕,๐๐๐นาย ทหารม้า ๓,๐๐๐ นาย ทหารหอก ๒,๐๐๐ นาย ทหารข่าวสาร ๒๐๐ นาย ทหารเสบียง ๑,๒๐๐ นาย และทหารฝ่ายสืบราชการลับ ๖๐๐ นาย รวมกำลังพลทั้งสิ้น กองพันละ ๘๔,๐๐๐ นาย กองพลละ ๖๗๒,๐๐๐ รวมทั้งกองทัพทั้งสิ้น ๖,๐๔๘,๐๐๐ นาย โดยมีไรเป็นแม่ทัพอสุนีบาตไร้พ่าย มีไวร์มาร์คเป็นเป็นจอมพลบูรพาไร้พ่าย โดยไฟร์ยกตำแหน่งขึ้นไปเป็นจอมทัพปราบปฏิปักษ์ ยกตำแหน่งแม่ทัพนายกอง และราชาที่มาร่วมทัพกันคนละ ๑ ขั้น โดยให้เซียนสราญรมย์เป็นเสนาธิการบดีประจำทัพ
และในที่สุด ก็ถึงวันที่อควอโลจะยกทัพมาจู่โจมนพเก้านคร โดยในครั้งนี้ อควอโลได้แต่งตั้งให้ไวโลเป็นแม่ทัพคุมกองกำลังทั้งสิ้น ๑ กองพล ( ประมาณ ๓,๖๐๐,๐๐๐ ตน ) มาตั้งที่หน้ากรุงนพเก้านคร โดยตั้งห่างจากกำแพงเมืองประมาณ ๒๕ เส้น ตั้งค่ายกระโจมที่พักพร้อมจัดเวรยามตรวจตราการเคลื่อนไหวในอาณาเขต ๒๐๐ เส้น ฝ่ายในนพเก้านครก็จัดหาแม่ทัพเพื่อมาเป็นผู้นำทัพ โดยในที่ประชุมซึ่งเสนอโดยเซียนสราญรมย์ ว่าให้มิร่า ซึ่งเป็นแม่ทัพระดับสามรองจาก ไร และ เร็น ซึ่งไฟร์ก็ยังไม่เข้าใจในความคิดของเซียนสราญรมย์ มิร่าจึงรับตำแหน่งแม่ทัพ นำกองทัพ ๑ กองพล ( ประมาณ ๖๗๒,๐๐๐ นาย ) เพื่อนำมาต้านกำลังของอควอโล โดยมิร่าสั่งจัดตั้งทัพห่างจากค่ายของอควอโล ๒๔ เส้น โดยรอดูทีท่าของอควอโลก่อน ในคืนนั้น ณ ค่ายพักของอควอโล
“ ข้าไม่เข้าใจ ทำไมไฟร์ถึงให้แม่ทัพระดับ ๓ ซ้ำยังนำพลออกมาเพียง ๑ กองพลเขามาสู้กับเรา ทั้งๆที่เขาน่าจะรู้ว่า ไวโล เป็นแม่ทัพที่มีประสบการณ์ทางการรบอย่างช่ำชอง ” อควอโลพูด ไวโลก้มหัวให้ อควอโลก็พูดต่อ
“ ข้าไม่ได้พูดชมเจ้า เพียงแต่ข้าก็พูดความจริง แต่ถึงยังไงข้าก็อยากจะรู้จักเจ้ามิร่าให้มากกว่านี้ แค่ไม่เข้าใจไอ้พวกมนุษย์พวกนั้นจริงๆ ” อควอมาโดสนั่งฟังแล้วก็พูดขึ้นมาว่า
“ ฮ่า ถ้าเจ้าอยากรู้ข้าจะบอกให้ฟัง อควอโล ” อควอโลทำหน้างงแล้วถามว่า “ ท่านพ่อรู้จักเขาเหรอ ”
อควอมาโดสยิ้มหัวเราะเฮอะเฮอะ แล้วตอบไปว่า
“ ทำไมจะไม่รู้ มิร่าน่ะ เป็นคนที่มาจากทางตอนเหนือ บ้านของเขาอยู่ในป่าทึบ ปีนั้น เมก้าพ่อของไฟร์กำลังทำการเพิ่มดินแดน มันเป็นปีที่ข้า กำลังไปประจำการเพื่อทดสอบฝีมือ พ่อถูกเมก้าตีขนาบหน้า-หลัง เลยหลบหนีเข้าไปในที่พักของครอบครัวมิร่า ตอนนั้น มิร่ายังไม่เกิด ข้าเข้าไปหลบ พอเมก้าผ่านมา ก็เข้ามาถาม พ่อของมิร่า ออ! เขาชื่อ โอลิว เขาบอกปฏิเสธ เมก้าไม่ได้สงสัยอะไร ก็ออกไป ข้าก็เลยเข้าไปชักชวนเขามาทำงานในสภา เขาบอกปัดปฏิเสธ แต่ก็บอกว่าถ้าลูกออกมาเป็นผู้ชาย เขาจะให้มารับงานที่เมืองเรา จนเมื่อ ๒๐ ปีก่อน พ่อก็ได้ข่าวว่าไฟร์ไปทัศนาจรแถวๆนั้น เลยขอลูกชายของโอลิวไป ซึ่งนั้นก็คือมิร่านั่นแหละ แต่โอลิวก็ยืนยันว่าจะไม่ยุ่งกับการเมือง พ่อเดินทางไปหาเขา เขาก็กล่าวบอกกับพ่อว่าเสียใจที่ไม่ได้ให้ลูกของเขามารับราชการที่เรา พ่อก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเขาก็มีบุญคุณกับพ่อ พ่อก็เลยเลี้ยงเขา ตอนงานเลี้ยง พ่อก็สอบถามนิสัยของมิร่ากับโอลิว เขาบอกพ่อว่า มิร่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ด้านอักษร แม้จะไม่ได้เรียนแต่ก็สามารถท่องคัมภีร์ปราชญ์สวรรค์ได้จนจบเล่มเลยที่เดียว มิร่าน่ะเป็นคนขยันเรียน เป็นลูกพักลักจำ ออกมาในบริเวณสถานที่ศึกษาของโอรสกษัตริย์บริเวณนั้นบ่อยๆ วันๆไม่ทำอะไร อ่านตำรา ท่องตำรา เห็นว่าเคยจัดฝูงของวัวกระทิงให้เข้าถล่มฝูงราชสีห์ที่รบกวนเขาได้ทีเดียว นับว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง ลูกไม่ควรประมาทเขานะ ”
อควอโลกับไวโล และแม่ทัพนายกองต่างฟังกันอย่างตลึง อควอโลมองหน้าไวโล ไวโลเลยถามอควอมาโดสไปว่า
“ แล้วท่านผู้นำมีความเห็นอย่างไรกับการนำศึกครั้งนี้ของข้ากระหม่อม ขอคำแนะนำด้วยเถิด ”
“ ฮะ ข้านะก็อยากจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้แค่นั้นเอง ว่ามิร่านะ เป็นเด็กที่เกิดในชนบท ย่อมมีเมตตาเป็นธรรมดา ข้าจึงอยากให้เจ้า แสร้งทำเป็นเสียที่เขา ข้าว่าเขาจะไม่ไล่ตีตามมาแน่นอน แล้วถึงตอนนั้น ลูกน้องในทัพของมิร่าจะเห็นว่ามิร่ามีเมตตามากเกินไป ต้องบีบให้มิร่านำทัพเข้ามาแน่นอน แต่ตอนนี้ เราตั้งทัพใกล้มากเกินไป อควอโล ถอยทัพ สัก ๑๐๐ เส้นเถอะ พ่อว่า มันจะเป็นการดี ถ้าเราจะดำเนินการศึกเช่นนี้ ถ้ายังตั้งอยู่ที่นี่ เซียนสราญรมย์ย่อมมองกลอุบายออก ไม่ให้มิร่าออกรบแน่นอน หรือถึงออกรบก็คงส่งกองทัพมาเสริมได้ทัน มันแล้วแต่เจ้าแล้วล่ะ ”
อควอมาโดสกล่าว ไวโลก็มีความคิดที่คล้ายกันกับอควอมาโดส แต่อควอโลยังไม่เห็นด้วยทั้งหมด จึงพูดไปว่า
“ ท่านพ่อ การที่เรายิ่งตั้งห่างพวกมัน พวกมันก็อาจจะทำอย่างที่เราทำก็ได้นะ ” ไวโลจึงพูดขึ้นว่า
“ งั้นท่านแม่ทัพก็ทรงกังวลมากไปแล้วนะขอรับ ไฟร์กับเซียนสราญรมย์คงไม่คิดเช่นนั้นหรอก มันถือว่ามันเป็นตระกูลศักดิ์สิทธิ์ มันก็คงไม่ดำเนินศึกเช่นนี้แน่ ”
“ อ้า งั้นเจ้าว่าฝ่ายเราทำการต่ำช้างั้นหรือ ” อควอโลตวาด อควอมาโดสจึงยกมือขึ้นห้ามแล้วพูดขึ้นว่า
“ อควอโล พ่อไม่คิดเลยว่าเจ้าจะคิดเช่นนั้น ที่ไวโลพูดน่ะถูกแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราเลวกว่าพวกมัน เพียงแต่ในสนามรบคนที่กล้าเสี่ยงที่สุด คือผู้ชนะ อควอโล เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด เจ้าจำคำๆนี้ได้ไหม พ่อน่ะต้องเสียที่ข้าศึกมันมาครั้งหนึ่งแล้ว เพราะข้าคิดว่าเราสู้กันก็ควรจะสมศักดิ์ศรี แต่ก็เพราะศึกครั้งนั้นน่ะแหละ ทำให้พ่อถูกปู่ของเจ้าตัดออกจากการรับตำแหน่งจ้าวนครมหาเทวะ พ่อเลยอยากจะบอกลูกว่า ถ้ามันเป็นชัยชนะ มันก็การสู้ที่สมศักดิ์ศรีแล้ว เราไม่ได้ผิดกฎสงครามแม้แต่ข้อเดียว อีกอย่าง ถ้าเรายังยืดเยื้อต่อไป หากโอเบลิสถูกปลุกขึ้นมาก่อนปู่เจ้าล่ะก็ การศึกครั้งนี้ เจ้าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มมองชัยภูมิ มีเพียงปู่เจ้าเท่านั้นที่มองกลยุทธ์ของโอเบลิสออก เซียนสราญรมย์ที่ว่าฉลาด ยังเจ้าเล่ห์ไม่เท่าเจ้าโอเบลิสพ่อของมันเลย ”
อควอโลจึงคลายโทสะลงแล้วหันมาขอโทษไวโล
“ ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วยที่ข้าต่อว่าเจ้า เจ้าเป็นผู้ที่ข้ามั่นใจที่สุด เอ้า เชิญเจ้าเลย ไวโล สั่งจัดการถอยทัพไป ๑๓๐ เส้น ”
ไวโลน้อมรับ แล้วออกมาสั่งกับกองทัพด้านนอกด้วยเสียงอันดังว่า “ ด้วยอาญาสิทธิ์ที่ข้าได้รับ ถอยทัพ ๑๓๐ เส้น รับบัญชา ”
เหล่ากองทัพเมื่อได้ยินคำสั่งก็ลุกขึ้นจากที่นอนจัดการเก็บขนของ ทางฝ่ายนพเก้านคร เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวก็จัดการลั่นกลองสัญญาณทันที เหล่าทหารที่เตรียมพร้อมก็ต่างลุกขึ้นจัดทัพกันอย่างรวดเร็วแต่เป็นระเบียบ มิร่าออกมาดูทัพด้วยตนเอง ด้านเซียนสราญรมย์ ไฟร์ ไวร์มาร์ค ไร เร็น ก็ออกมาดูการเคลื่อนไหว “ ทหารเห็นพวกมันเตรียมตัวกันพ่ะย่ะค่ะ ” มิร่ากล่าวกับไฟร์ “ อืม ข้าเห็นแล้ว แล้วกองทัพเราล่ะเป็นอย่างไรบ้าง ” ไฟร์ถาม
“ จากการฝึกซ้อม คาดว่าอีกสักครู่ ก็คงจัดรูปขบวนเสร็จนะพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่คิดว่ามันจะจู่โจมตอนดึกเช่นนี้ ”
“ มันไม่ได้จู่โจม แต่กำลังถอย โน่น ดูนั่นสิ พวกมันเริ่มจัดการรื้อป้อมแล้ว ”
เซียนสราญรมย์กล่าว ทั้งหมดหันไปดู แล้วก็พบว่า ทัพของอควอโลรื้อป้อมจริงๆ ไฟร์กับไวร์มาร์คและเหล่าแม่ทัพทำสีหน้าสงสัย ไฟร์ถามเซียนสราญรมย์ว่า
“ มันจะถอนกำลังทำไม”
“ มันจะเล่นอุบายกับเรา” เซียนสราญรมย์ตอบ “ อุบาย อุบายอะไรกันท่านลุง ” ไฟร์ถาม
“ ถ้าข้าเดาไม่ผิด มันต้องการให้เราไปสู้กับมันโดยไกลจากเมืองหลวงมากที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ หากเพลี่ยงพล้ำอะไร เราช่วยมิร่าไม่ทันการแน่ ” เซียนสราญรมย์กล่าว มิร่าจึงพูดว่า
“ งั้นข้าว่าให้ท่านไร เป็นผู้นำทัพครั้งนี้ดีกว่านะท่าน ”
“ มิร่า ข้าไว้ใจเจ้ามากที่สุด ยังไงเจ้าก็ต้องนำทัพครั้งนี้ไป ข้าว่าข้าจะไปกับเจ้าด้วย ” เซียนสราญรมย์กล่าว ไฟร์หันมาแล้วพูดว่า
“ ท่านลุง การนำทัพครั้งนี้ หลานว่า สมควรให้ไรไปจะดีกว่า ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้านะ มิร่า แต่ถ้าหากมันเล่นอย่างนี้ เราก็ต้องใช้กลศึกที่แยบยล แม้ว่าเจ้าจะชาญตำราอยู่บ้าง แต่ถึงท่านลุงไปด้วย หากเพลี่ยงพล้ำ มันจะไม่ทันการยกทัพไปนะท่านลุง ”
“ เอาเป็นว่าข้าไว้ใจมิร่าอยู่เหมือนเดิม ไฟร์ ยังไงลุงก็เป็นเสนาธิการบดี ลุงเชื่อว่าลุงมองคนไม่ผิด หลานล่ะ คิดว่าลุงคิดผิดหรือ ” เซียนสราญรมย์พูด ไฟร์ถึงกับอ้าปากไม่ออก เซียนสราญรมย์จึงหันมาสั่งการกับมิร่าว่า
“ เอาล่ะ มิร่า เจ้าให้ทหารไปพักผ่อนเสีย แล้วพรุ่งนี้ค่อยสืบดูอีกที ว่ามันจะตั้งทัพที่ใด ”
มิร่าน้อมรับ แล้วหันไปสั่งให้เหล่าทหารกลับไปพักผ่อนเสีย ส่วนไฟร์ ไวร์มาร์ค ไร และเร็น เซียนสราญรมย์ก็ให้ไปนอนพักผ่อน ส่วนตนจะขอพิจารณากลศึกครั้งนี้ก่อน หลังจากการเคลื่อนพลของอควอโลเพียงชั่วยามเดียว ทัพของอควอโลก็ถอนไปได้จนหมด เหลือเพียงทหารคอยสอดแนมอยู่เท่านั้น เซียนสราญรมย์ยืนมองอย่างพินิจพิจารณา ก็เห็นให้กลศึกของอควอโลเป็นอย่างดี แต่ที่สงสัยก็คือ รู้นิสัยของมิร่าได้อย่างไง
รุ่งเช้า กองกำลังของอควอโลก็เคลื่อนพลมาประจัญบาลกับทัพนพเก้านคร เซียนสราญรมย์ซึ่งเตรียมการณ์ไว้อยู่แล้ว ไม่ได้มีสีหน้าตกใจแต่อย่างใด ส่วนกองทัพของมิร่าก็จัดทัพเพื่อเตรียมประจัญบาลเช่นกัน โดยที่มิร่ายกทัพห่างจากนพเกาถึง ๒๐ เส้น เซียนสราญรมย์ขี่ม้ามาเคียงข้างมิร่า อควอมาโดสเห็นเซียนสราญรมย์มาด้วยก็เรียกไวโลมาตักเตือนเรื่องการรบ
“ เจ้าจงระวังเซียนสราญรมย์ไว้ให้ดี พยายามทำให้มันแยกจากมิร่าให้ได้ ”
“ ขอรับ ถ้างั้นหม่อมฉันขอให้พระองค์ยกทัพ ๗๐,๐๐๐ ตน ไปตรึงเซียนสราญรมย์ไว้ เดี๋ยวหม่อมฉันจะพุ่งไปหามิร่าเอง ” ไวโลบอกวิธีกับอควอมาโดส อควอมาโดสพยักหน้ายิ้มให้ก้อนจะแยกทหารไปรบ