มหาสงครามชิงพิภพ ตอนที่ ๑ จุดเริ่มต้นของสงคราม บทที่ ๑ ชนวนศึก

กระทู้สนทนา

ปฐมบท
ในอดีตกาลนานโพ้นก่อนยุคองค์พระอิศวร  ได้มีสมเด็จมหาเทวาธิเทพมหาเทพนาม “จ้าวโลกาธิบดีศรีอมฤต (ฮอลอาคุแฟนท่อม)” ปกครองไตรปรมภพ อันได้แก่ ๑.พิภพมนุษย์   ๒.พิภพสวรรค์ ๓.พิภพนรก   โดยในแต่ละภพยังแบ่งอำนาจการปกครองไปสู่ผู้ครองตำแหน่ง คือ พิภพมนุษย์ ปกครองโดย จ้าวจักรราศี พิภพสวรรค์ ปกครองโดย จ้าวสวรรค์ พิภพนรก ปกครองโดย จ้าวมัจจุราช ซึ่งในปัจจุบัน จ้าวจักรราศี มีพระนาม “ราชาเก้าพันปี” บุตรแห่ง ราชันต์สวรรค์ กับ ธิดาสวรรค์ นัดดาแห่ง จ้าวอหังการ์ ราชาเก้าพันปีปกครองนครนาม “นพเก้าประกายแสง สำแดงเดชเทพารักษ์  บริรักษ์เทวดา มหานครพระประสิทธิ์ พิทธาวรานุสรณ์ อมรมณีรัตน์ ธิปัตติมงคล ดลธรรมจักราศี ปฐพีเตศวรบุรี”  ซึ่งนพเก้านครก็เป็น ๑ ใน ๙ มหานคร อันได้แก่ ๑.มหานครนพเก้านคร   ๒.สราญรมย์นคร ๓.นครอัศวินมังกรขาว ๔.นครทิพยมณีรัตนเจดีย์  ๕.นครราชมหาอัคคี  ๖.มหานครภูผาคีรีบุรี    ๗.นครมหานครอวตารจำแลง  ๘.นครทองคำเพชรอำไพ  ๙.มหานครกรรลนรรัตน์  ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดย “มหาเทวีราชันกษัตรีสายรุ้ง {เรนโบว์}  (บุตรีแห่งจ้าวโลกาธิบดีศรีอมฤต)” ดำรงตำแหน่งยอดปราการแห่งฝ่ายธรรมะ นพเก้านครมีพันมิตรสองนครคือ สราญรมย์นครซึ่งปกครองโดย เซียนสราญรมย์  และ มหาเทวานครซึ่งปกครองโดย  มารราชันต์ม่วง
       ชนวนศึก
วันหนึ่ง ขณะที่แสงแดดกำลังส่องแสงอ่อน ณ  ป่าแห่งหนึ่ง ห่างจากนพเก้านครไปไม่กี่เส้น{๑ เส้น = ๔๐ เมตร}
ได้มีเสียงวิ่งเหยาะๆจากอาชาสีขาวสังข์ โดยมีบุรุษนั่งอยู่บนหลังม้าคอยบังคับบังเหียน   เขาผู้นี้ถือธนูคันขนาด ๒ศอกครึ่งมีสีทองคำ กำลังเล็งเป้าไปสู่หมูป่า ๒ ตัวเขาปล่อยลูกธนู ฟิ้ว!ฉึก ฉึก ลูกธนูปักกลางดวงใจของหมูป่าทั้งสอง เขายิ้มกระหยิ่มใจ   ด้วยว่าภูมิใจในฝีมือของตนเอง เวลาผ่านไปสักพัก ขณะที่เขาขี่ม้าเข้าไปในป่าลึก เขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง “ว้าย!”  เขาตกใจ จึงรีบควบม้าไปทันที พอเขาไปถึงเขาก็เห็นว่ามีเสือโคร่งลายพาดกลอนกำลังจะกระโจนใส่หญิงสาว “เฮ้ย! หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขายกธนูใส่มันและไม่รอช้า เขารีบยิงใส่เจ้าเสือตัวนั้นทันที ฉึก! เสือตัวนั้นได้ขาดใจตายลงทันที
            “ขอบคุณนะคะที่มาช่วยฉัน ไม่ทราบว่าคุณมีนามว่าอะไรเหรอ”
                หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล  เขามองหน้าแล้วยิ้มตอบรับ
            “เธอไม่จำเป็นต้องรู้หรอก เพราะถึงรู้ไปก็เอาไปทำอะไรไม่ได้”
                ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร  เธอหัวเราะ
            “คุณคงไม่รู้สิว่าฉันเป็นใคร”
                ชายหนุ่มยิ้มแล้วพยักหน้า   “ใช่! ผมไม่รู้” เธอยิ้มกระหยิ่มใจแล้วจึงตอบออกไปว่า
        “ฉันเป็นบุตรีคนที่ ๒ ของราชันต์ดาบสวรรค์ แห่งมหานครภูผาคีรีบุรี   ชื่อของฉันก็คือ เทวีหงส์ฟ้าทอง {อลิซเบส}”
        “เฮอะ!  คุณหญิงรองนี่เอง แหม! ขออภัยที่หม่อมฉันล่วงเกิน เออ! แล้วองค์หญิงรู้ไหมพ่ะย่ะค่ะว่าหม่อมฉันเป็น  ใคร? ”
           ชายหนุ่มสวนกลับบ้าง อลิซเบสส่ายหน้า เขาจึงยิ้มแล้วตอบไปว่า
        “ข้ามีนามว่าพญามหาราช {ไวร์มาร์ค} เป็นพระราชอนุชาของราชาเก้าพันปี {ไฟร์} แห่งนพเก้านคร ยินดีที่ได้รู้จัก หงส์ฟ้าทอง”
        อลิซเบสถึงกับอึ้งเพราะนางได้ทำการลบหลู่เบื้องสูงเข้าให้แล้วนางรีบคุกเข่าลงคำนับทันที
        “หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะฝ่าบาท ที่หม่อมฉันล่วงเกิน หวังว่าพระองค์จะไม่ถือโทษโกรธเคืองหม่อมฉัน.....นะเพคะ”
        “ไม่เป็นไรๆ ข้าไม่ได้โกรธเจ้าหรอกลุกขึ้นเถิดข้าไม่ได้ถือยศถือศักดิ์อะไรหรอกว่าแต่ว่า เจ้ามาทำอะไรคนเดียวในไพรสัณฑ์จัณฑลลักษณ์ เจ้ารู้ไหมว่ามันอันตราย”
    ไวร์มาร์ค ลงจากหลังม้าไปพยุงอลิซเบสขึ้นมาแล้วก็ตั้งคำถาม อลิซเบสปัดตัวอยู่เล็กน้อยแล้วจึงตอบไปว่า
        “หม่อมฉันมาหาพระเชษฐาของพระองค์น่ะเพคะ”
        “เออ! ตอนนี้ท่านพี่คงจะว่างอยู่  นู่น ! ตรงโค้งตรงนั้นมีทางลัดอยู่ ถ้าใช้ทางนั้นเจ้าจะถึงไวกว่าประมาณ ๓ ชั่วโมง  เออ ! ว่าแต่ ทำไมไม่มีใครตามเจ้ามาเลยล่ะ มาคนเดียวหรือ”
    ไวร์มาร์คถามดู  แล้วมองไปรอบๆ   เห็นไม่มีใครเดินตามมา
        “อ๋อ! คือพวกเขารุดหน้าไปทางโน้น อีกสักพักคงกลับมา”
    อลิซเบสยิ้มตอบ  ไวร์มาร์คผงึกหน้าทำว่าเข้าใจ  สักพักก็มีคนประมาณ ๓ – ๕ คน ใส่เครื่องปิดกาย ใส่เสื้อสีน้ำตาลไหม้ กางเกงขายาวคลุมข้อเท้า ใส่หมวกแบบบังหน้า พอเห็นไวร์มาร์คก็รีบวิ่งมาล้อมทันที
        “มันเป็นใครหรือองค์หญิง มีประสงค์ร้ายหรือไม่ แล้วองค์หญิงปลอดภัยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
    วานรไพร{สเกล์ลา} ซึ่งเป็นหนึ่งในคนอารักษ์ขาอลิซเบส ถามอย่างเป็นห่วง อลิซเบสยิ้มแล้วพูดออกไปว่า
        “ไม่ใช่หรอกสเกล์ลาเขาคือ พญามหาราช ไวร์มาร์ค พระอนุชาขององค์ราชาเก้าพันปี”
    สเกล์ลารีบคำนับด้วยท่าทางร้อนรน   หน่วยอารักษ์ขาที่เหลือต่างก็คำนับตาม
        “หม่อมฉันขอประทานอภัยพระพุทธเจ้าค่ะ ฝ่าบาท”
    สเกล์ลาพูด  ไวร์มาร์คยิ้มรับ  แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า
        “ไม่เป็นไร เอ้า!  รีบไปเถอะ ประเดี๋ยวจะค่ำมืดเสียก่อน ระวังตัวด้วยล่ะ อลิซเบส”
    อลิซเบสยิ้มตอบ สเกล์ลารีบเดินนำไปตามทางที่ไวร์มาร์คบอก  พอพวกอลิซเบสลับตา ไวร์มาร์คก็ขี่ไปต่อ
พอได้สักระยะเขาก็เห็นกองทัพขนาดย่อมๆ มีกำลังพลประมาณ ๑-๔ หมื่นคน ไวร์มาร์คเพ่งเล็งอยู่สักพัก เขาก็ยิ้มที่มุมปากแล้วก็พูดกับตัวเองว่า
        “กล้าบุกมาขนาดนี้แสดงว่ามีอะไรดีแน่ๆ ฮึ! ข้าจะทำให้หัวหมุนเลยเชียว ”
    ไวร์มาร์คขี่ม้าไปยืนบนริมหน้าผา เขายิ้มอยู่สักพักแล้วก็ส่งเสียงคำราม ก๊าซ ก๊าซ  ทันใดนั้นเองฝูงสัตว์ก็ห่อตะบึงวิ่งกรูกันออกมาจากแนวป่า  มุ่งหน้าไปทางกองทัพขนาดย่อมๆตรงหน้า ทหารในกองทัพต่างวิ่งหนีตายกันไม่เป็นขบวน ไวร์มาร์คยืนยิ้มอย่างได้ใจ  พอกองทัพนั้นคุมสถานการณ์นั้นได้ ไวร์มาร์คก็ควบม้าจากไปด้วยความไว
หลังจากผ่านไป ๔ ชั่วโมงไวร์มาร์คก็มาหยุด ณ กำแพงนครซึ่งสูงราว ๓ วา ไวร์มาร์คโบกมือเป็นสัญญาณให้ทหารคุมป้อม ประตูเปิดทำให้เห็นทัศนียภาพภายใน หน้าประตูปราสาทรายล้อมไปด้วยเหล่าทหารเสนาเฝ้าประตูต่างถืออาวุธครบมือ ยืนเฝ้าฝั่งละ  ๙ นาย  สวมชุดกะทัดรัด พอไวร์มาร์คเดินผ่านต่างก็ก้มหัวคำนับอย่างพร้อมเพรียงและสวยงาม ไวร์มาร์คพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปในท้องพระโรงกลาง ระหว่างทางมีเหล่าเสนาอำมาตย์  ต่างให้ความเคารพไวร์มาร์คเดินเข้ามา พบกับรัฐบุรุษผู้สง่าคนหนึ่งของพิภพ นั่งเอากำปั้นเท้าคาง ศอกต่อกับพนักพิงยิ้มกระหยิ่ม ข้างๆมีเสนาธิการน้อยใหญ่รายล้อม  เขาคือ ไฟร์  ไวร์มาร์คคำนับสักครู่ แล้วถามไปว่า
        “เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ   ยิ้มเสียแก้มปริ    สงสัยจะได้อะไรดีๆมาแน่ๆเลย”
        “สงสัยว่าจะมีแขกสาวๆสวยๆมาเยี่ยมเยียนละมั้ง ข้าถึงได้ยิ้มซะขนาดนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
    ไฟร์ ตอบไปอย่างตลกขบขัน ไวร์มาร์คอ้าปากส่งเสียง อ้อ อ้อ
        “อ้อ! คงจะเป็นอลิซเบสใช่ใหมพ่ะย่ะค่ะ   ไม่งั้นท่านพี่คงไม่ยิ้มขนาดนี้”
        “เจ้านี่เดาเก่งจริงๆ ว่าแต่เจ้าไปเจอนางตอนไหน”
    ไฟร์ หัวเราะ แล้วถามอย่างสงสัย  ไวร์มาร์คตอบอย่างช้าๆ
        “คือ.....หม่อมฉันไปเจอนางตอนที่นางถูกเสือลอบทำร้ายน่ะพ่ะย่ะค่ะ ก่อนจะถึงนครเราไม่เท่าไร”
        “เหรอ! ไม่ใช่ว่าเจ้าดักไปเจอนางหรือ”
ไฟร์พูดทำนองว่าไม่เชื่อ  แต่ไวร์มาร์คยังผงกหน้ายืนยัน  แล้วอลิซเบสก็เดินเข้ามา
        “หม่อมฉันตัวก่อนนะเพคะ.... เสด็จพ่อห้ามมิให้หม่อมฉันกลับค่ำมืด พระองค์กลัวจะเป็นอันตรายต่อหม่อมฉันน่ะเพคะ”
        “อือ! เราเข้าใจแล้ว  เออ แล้วหากเสด็จลุงมีอะไรกับเราอีก  ก็ให้ส่งพิราบสื่อสารมาก็ได้  แล้วเดี๋ยวเราจะไปรับมาเอง”
    ไฟร์กล่าวอย่างมีไมตรี  อลิซเบสพยักหน้าเข้าใจ  แล้วก้มคำนับแล้วก็เดินออกไป
        “เสด็จพี่ทรงนึกอะไรอยู่ฤาพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเห็นมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้แล้ว”
    ไวร์มาร์คถาม ด้วยเห็นว่าไฟร์มีอาการมาแต่เมื่อครู่
        “ไม่มีอะไรหรอกไวร์ ว่าแต่ว่างานที่พี่ให้เจ้าไปทำน่ะสำเร็จหรือไม่ ไหนลองบอกมาสิ ฮึ!”
    ไฟร์เปลี่ยนเรื่องคุย   ไวร์มาร์คทำตาลุกโตด้วยความตกใจ  แล้วตอบไปว่า
        “หม่อมฉันลืมสนิทเลยพ่ะย่ะค่ะ   ขอประทานอภัย เดี๋ยวหม่อมฉันจะหาท่านเซียนสราญรมย์ให้นะพ่ะย่ะค่ะ”
    ไฟร์ถอนหายใจแล้วตอบกลับอย่างเบื่อหน่าย
        “ฮึ ไม่ต้องไปแล้ว เดี๋ยวฝากเทพเงาสวรรค์ {ไร} ไปส่งข่าวดีกว่า แหม! แค่นำสาส์นไปขอช่างตีอัญมณีแค่นี้ทำเป็นยากขนาดพาไปตาย เจ้านิมันสุดแสนจะไร้ความจำจริงๆ จะให้ข้าอบรมเจ้าอย่างไรดี ฮึ”
    ไฟร์สาธยายอย่างยาวยืด  พอสิ้นเสียงของไฟร์ ก็มีเสียงหนึ่ง ซึ่งเป็นเสียงของสตรีที่มีความไพเราะในสำนวนและการใช้เสียงในการพูดเจรจา นางคือทูตที่ดีที่สุดในสากลพิภพ และนางก็เป็นกนิษฐาของไฟร์ และเป็นเชษฐภคินีของไวร์มาร์ค นางคือ ‘นางพญาหงส์’ {ฮาโมนิก้า}
        “เสด็จพี่จะไปเอาอะไรกับคนเช่นไวร์มาร์คเพคะ พระองค์ก็รู้ว่าคนอย่างไวร์มาร์คทำอะไรไม่มีสำเร็จก่อนพลาด”
        “แหม! ทำอย่างกับว่าเสด็จพี่จะไม่เคยพลาดอย่างนั้นเหละ อย่างน้อยก็เรื่องความรักละว้า”
    ไวร์มาร์คพูดเสียดสีฮาโมนิก้า    นางทำหน้าโมโหแต่ไฟร์ได้พูดตัดบทว่า
        “เอาเหอะน่า! เรื่องมันแล้วก็ให้มันแล้วไปไม่ต้องมาฟื้นฝอยหาตะเข็บ เจ้าก็ไม่น่าไปว่าน้องมันอย่างนั้น”
        “อือ! เสด็จพี่เพคะ หม่อมฉันได้ข่าวมาว่ากองกำลังขนาดเล็กกำลังมุ่งหน้ามาทางนครเราน่ะเพคะ ไม่ทราบว่าจะให้น้องจัดการเช่นไร จะให้ส่งกำลังไปสกัดไว้ไหมเพคะ”
    ฮาโมนิก้าถอนหายใจก่อนจะถาม ไวร์มาร์คยิ้มแล้วตอบไปว่า
        “มิต้องทรงห่วงเรื่องนั้นท่านพี่ฮาโม หม่อมฉันได้จัดการแล้ว”
        “เหรอ! แต่พี่เพิ่งจะเห็นแม่ทัพของเขาเดินเข้ามานะ นู่น  ข้างหลังเจ้านู่น”
    ไฟร์บอกพร้อมผงกหน้าไปข้างหน้าตัวเอง  ไวร์มาร์คหันไปก็ทำตางงงวย  แต่ฮาโมนิก้ามองไปก็รีบหันกลับมาทำตาไม่ถูกชะตากับผู้ที่เดินมาทันที  ผู้ที่เดินเข้ามานั้น  เท่าที่ได้เห็นก็สวมเสื้อสีออกน้ำตาลดำถักด้วยใยไหมแท้ผสมกับผงสุวรรณนิลกาฬ (ทองคำสีดำ) ซึ่งต้องทอด้วยเข็มที่ชุบไปด้วยเงินบริสุทธิ์จึงจะถักทอผ้าชนิดนี้ขึ้นมาได้    สวมกางเกงสีดำสนิทสวมถุงมือสีดำน้ำตาลทองใส่มงกุฎลายกนกสามตายอดสูงเป็นช่อชฎา มี ผ้าคุมสีดำม่วงคอปกสูง ๒  คืบเดินสวมรองเท้ากษัตริย์ปลายโค้งงอนสีทองคำสนิท ทรวดทรงองอาจ   ใบหน้าดูดีทีภูมิฐาน กำลังกล่าวคำทำความเคารพอย่างมีสกุล
        “ถวายบังคมพระเจ้าค่ะฝ่าพระบาท หม่อมฉันนำความอันมีประโยชน์แก่นพเก้านครมากล่าวกับพระองค์ หวังว่าพระองค์จะทรงกรุณารับฟังนะพระเจ้าค่ะ”
        “มิมีปัญหาเชิญเจ้ากล่าวมาได้เลย ฮาโม ไวร์มาร์คไปนั่งที่สิ เชิญพูดมาอควอโล”
    ไฟร์พูดตอบรับบุรุษผู้นั้นซึ่งมีนามว่า ราชันต์มาร{อควอโล} แล้วสั่งให้ฮาโมนิก้า ไวร์มาร์คนั่งลง อควอโลจึงกล่าวต่อพร้อมกับนั่งลงในที่ของอาคันตุกะและเหล่าทุตานุทูต ซึ่งอยู่ใกล้กับที่นั่งของฮาโมนิก้า
        “พระองค์ผู้ทรงเป็นกษัตราธิราชอันทรงเปี่ยมด้วยทศพิศราชธรรม และ จักรพรรดิวัตร พระองค์ทรงเรืองรองด้วยอำนาจแห่งปัญญา หม่อมฉันมีความเห็นว่าในขณะที่บ้านเมืองไร้ซึ่งภยันตรายต่างๆ เราทั้งสองอันเป็นสองเผ่าพงศ์ ก็ควรจะผูกมิตรเจริญสัมพันธไมตรีอันดีต่อกันด้วยการผสานสองครอบครัวเข้าด้วยกัน พระองค์มีความเห็นอย่างไร ก็ทรงเล่าแจ้งแถลงไขมาเถิดพระเจ้าค่ะ”
    ไฟร์นั่งนิ่งไปสักพัก ด้วยว่าเคลิ้มในคารมของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นมารที่องอาจที่สุด สุดท้ายไฟร์ก็เอ่ยขึ้นมาว่า
        “ท่านราชันต์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความสง่า พระองค์จะพูดเช่นไร ตัวเราก็ไม่อาจจะตัดสินใจแทนน้องสาวของเราผู้นี้ได้หรอก ขอท่านอย่าได้อ้อมค้อม จงเร่งบอกนางเองเถิด”
        “หากเป็นเช่นนั้น หม่อมฉันก็ขออนุญาตถามองค์หญิงหน่อยเถิด ว่าองค์หญิงคิดเห็นเป็นเช่นไร”
    อควอโลหันมาถามฮาโมนิก้า ซึ่งตอนนี้นางกำลังนั่งคิดอะไรสักอย่าง นางสะดุ้งเล็กน้อย ถอนหายใจแล้ว
ตอบอควอโลไปว่า
        “ท่านราชันต์ผู้เกรียงไกร อันตัวหม่อมฉันเป็นเพียงองค์หญิงของนครเล็กๆ เกรงว่าจะไม่คู่ควรกับพระองค์ผู้ซึ่งเป็นถึงราชาของนครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเหล่านครของเหล่ามารด้วยกัน แลอีกอย่าง หม่อมฉันชิงชังชายหลายใจเป็นที่สุด ซึ่งพระองค์ก่ออะไรไว้ พระองค์ก็น่าจะรู้ดีอยู่ จริงไหมเพคะ”
    อควอโลอึ้งไปชั่วครู่ ฮาโมนิก้าก็กำลังอยากจะรู้ว่าเขาจะแก้ตัวเช่นไร อควอโลพูดขึ้นหลังจากอึ้งไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสม่ำเสมอ
        “ฮึ ฮาโมนิก้า เจ้ากำลังเข้าใจผิด เรื่องในวันนั้น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยที่ข้ามิได้คาดคิด ข้าเพียงแต่เห็นนางไม่ค่อยจะดี จึงไปอย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่