พ่ายก่อนจึงสำเร็จ
รุ่งอรุณแห่งแสงอรุโณทัยกำลังโผล่พ้นขึ้นจากพื้นโลกา แสงสุริยันได้สาดส่องไปทั่วแผ่นดิน ตอนนี้ ณ ค่ายทหารที่เข้มแข็งของอควอโลนั้น ได้ถูกรื้อลงอย่างเร็วไว เพื่อถอนกลับสู่นครามหาเทวะ ซึ่งได้รับชัยชนะเป็นการประเดิมสงครามที่จะยังคงมีต่อไปอีกเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบสิ้น ฝ่ายนพเก้านครก็ได้ทอดตาเพื่อทัศนาจรการรื้อถอนค่ายของเหล่ามารนี้ และแฝงด้วยความคับแค้นใจเพราะชั่วเวลาเพียง ๒ ราตรี นพเก้านครก็พ่ายอย่างไม่เป็นท่า แสงสุริยาได้เข้าสู่ช่วงกลางวันทัพของอควอโลก็ถูกรื้อถอนเสร็จสิ้น และค่อยๆทยอยเดินทัพกลับกรุงมหาเทวะ ไฟร์มองดูทัพยุรยาตราของศัตรูค่อยๆเลือนหายไปตามขอบของพื้นบรรณพิภพ เซียนสราญรมย์มองดูด้วยสายตาที่ต้องการที่จะสำรวจความเคลื่อนไหวของกองทัพนั้นทุกฝีก้าว จนเมื่อกองทัพเคลื่อนลับตาไป เมืองนพเก้าก็เริ่มเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง เหล่าชาวเมืองต่างออกมาเดินจับจ่ายใช้สอยสินค้ากันตามปกติ ทหารที่คอยอยู่เฝ้าเวรยามก็ลดการตรวจตราลง สถานการณ์ตอนนี้นับได้ว่าเป็นปกติวิสัยโดยแท้ เหล่าราชา แม่ทัพที่ยกกองกำลังมาคอยท่า ก็ผ่อนคลายความกังวลลงไป ต่างพากันมาเข้าเฝ้าไฟร์ในท้องพระโรงกันทุกหัวเมืองเพื่อลากลับถิ่นฐานบ้านเกิดของตน
“ หวังว่าในการศึกครั้งหน้าเราจะมีโอกาสรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระองค์อีกพระพุทธเจ้าค่ะ เวลานี้ กระหม่อมเห็นว่าเหตุการณ์ในนพเก้านครเข้าสู่ปกติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เกล้ากระหม่อม พร้อมด้วยราชาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านแคว้น จึงมาทูลลาพระองค์กลับสู่นครของเรา พระพุทธเจ้าค่ะ ”
ลาสโปร์วาเรียล หนึ่งในราชาที่ยกกองทัพมาช่วยศึกครั้งนี้กล่าวแก่ไฟร์ ซึ่งบัดนี้ขึ้นว่าราชการบนบัลลังก์มังกรฟ้าปราบประจิม ไฟร์นั่งผ่อนคลายอยู่บนบัลลังก์ก็ได้ถอนหายใจก่อนกล่าวออกอย่างช้าๆว่า
“ลาสโปร์วาเรียล เราขอขอบใจท่านมากที่ท่านมาช่วยเราในศึกครั้งนี้ แต่ท่านก็คงจะตระหนักดีว่า ศึกครั้งนี้ไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ มันยังคงจะมีต่ออีก และจะมีอีกนับสิบนับร้อยศึกที่เราต้องผ่านมันไป ตอนนี้เราเสียเปรียบด้านขวัญกำลังใจ ทหารที่พ่ายศึกมายังคงมีอาการเกรงกลัวต่ออำนาจของเหล่ามารนั่น เราเพียงต้องการบอกกล่าวท่าน มิได้มีเจตนากักกำลังของพวกท่านไว้แต่ประการใด เอาล่ะข้าขอให้ท่านนำกำลัง ๑ ใน ๑๐ ส่วนของพวกท่าน พำนักพักพิงอยู่ที่นี่ เราสัญญาว่าจะดูแลปกป้องพวกเขาดั่งว่าเขาคือประชาชนของเรา และหลังจากนี้ เราขอประกาศสภาวะฉุกเฉินที่ทุกหัวเมืองจำต้องเตรียมกำลังทหารให้พร้อมที่จะเดินทางมาถึงนพเก้านครภายในกำหนด ๙ วัน หากพ้นนั้นแล้วไซร้ ให้ต้องโทษราชอาญาฐานเป็นกบฏคิดคดทรยศต่อราชวงศ์อหังการ์ เมื่อท่านทราบดังนี้โดยทั่วกันแล้วเราก็ขออำนวยอวยชัยให้พวกท่านสู่นครท่านอย่างปลอดภัย หากเมืองใดมีเหตุการณ์ที่เป็นสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ ให้ส่งสารมาหาเรา เราจะจัดทัพไปช่วยเหลือพวกท่านโดยด่วนที่สุด รับราชโองการ”
เหล่าราชา อำมาตย์ราชปุหิต แม่ทัพนายกองต่างก้มรับราชโองการ ไฟร์จึงสั่งการให้ไรเป็นคนจัดการสร้างตำแหน่งทางการทหารแก่แม่ทัพนายกองที่เหล่ากษัตริย์แต่ละเมืองได้มอบให้ช่วยงาน ซึ่งก็ได้ร่วมรวมทหารได้จำนวนถึง ๔๐๐,๐๐๐ นาย โดยที่ไรได้แบ่งออกเป็น ๔ กรม กรมละ ๔ กอง รวมเป็น ๑๖ กอง ไรได้นำรายการชื่อของเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหมดมาแสดงไฟร์ที่ท้องพระโรง ไรหยิบสาสน์รายนามออกมาแล้วประกาศให้ไฟร์ฟัง
“ ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท เกล้ากระหม่อมขอพระบรมราชานุญาติ แสดงรายนามแม่ทัพบรรดาศักดิ์ดังรายชื่อต่อไปนี้ กองที่ ๑-๑๒ เป็นกองกำลังจักรราศี กองที่ ๑๓ เป็นกองกำลังบูรพา กองที่ ๑๔ เป็นกองกำลังอุดร กองที่ ๑๕ เป็นกองกำลังประจิม และกองกำลังที่ ๑๖ เป็นกองกำลังทักษิณ พระพุทธเจ้าค่ะ”
ไร น้อมโค้งเสนอราชโองการแล้วเดินถอยหลังไป ไฟร์ยกสาสน์ถวายเหนือบัลลังก์มังกรฟ้าปราบประจิม แล้วประกาศกลางท้องพระโรง
“ บัดนี้ กองกำลังของนพเก้านครพร้อมแล้วที่จะปกป้องเกียรติประวัติเอกราชของราชวงศ์เราไว้ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
เสนาอำมาตย์ราชปุโรหิตต่างก้มน้อมรับคำ เซียนสราญรมย์นั่งสบายๆในที่พักราชอาคันตุกะแล้วก็มองเห็นแววตาที่โชติช่วงของทหารกล้าผู้มีนามว่า ไร คนนี้อย่างเสียเหลือเกิน แววตามุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว รอบคอบ ในเมืองนี้หากไม่นับโอเบลิสผู้เป็นบิดาของเขาแล้ว ผู้มีแววตาเช่นนี้เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่เสียดายที่เป็นเพียงแม่ทัพของนครนี้ หากเป็นรัชทายาทหรือเชื้อพระวงศ์รับรองได้ว่า เซียนสราญรมย์ย่อมจะสนับสนุนไรเป็นจอมทัพแน่แท้ ไฟร์ในตอนนี้ก็เริมที่จะเข้าสู้วัยกลางคน กำลังในการสู้ทัพรบราย่อมถดถอยเป็นธรรมดา เหลือก็เพียงแต่ไวร์มาร์คกับไรเท่านั้นที่เซียนสราญรมย์หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ เซียนสราญรมย์อดชมภูมิของไรไม่ได้จึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า
“ นี่ไร ข้านะฟังเจ้ามาก็มาก เจ้ามีเหตุผลอะไรที่จัดทัพเป็นถึง ๑๖ ทัพ ”
ไฟร์หันมามองเซียนสราญรมย์ด้วยแววตาที่สงสัย แล้วเขาก็หันมาหาไร เพื่อจะดูว่าไรมีปฏิกิริยาอย่างไร เพราะไฟร์ไม่ได้ทันฉุกคิดว่าเพราะอะไร ไรจึงจัดทัพเช่นนี้ ไรน้อมคำนับอีกครั้งพร้อมเงยหน้าขึ้นตอบว่า
“ขอเดชะฝ่าพระบาท ข้ากระหม่อมเห็นว่าการจัดทัพเช่นนี้เพื่อให้การบริหารเป็นไปอย่างเรียบง่าย เพราด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรก กองกำลังของเหล่าราชาที่มาช่วยเหลือเรา นั้นมีจำนวน ๔๐๐,๐๐๐ นาย หากเราจะแบ่งจำนวนเป็น ๔ ทัพตามปกติ ดูแลรักษาปราการทั้ง๔ด้านก็เป็นการที่ป้องกันได้อ่อนแอเกินไป เพราะเรื่องนั้นเป็นการเสียสมดุล ในกรณีที่เราถูกโจมตีทางอื่น จะขาดกองกำลังเสริม แต่หากแบ่งมากไป การที่เราจะรักษาปราการที่นั้นๆ ก็จะเป็นการยากยิ่งเกินไป เพราะ ๑๖ ทัพจะรักษาได้ทั้งสิ้น ๘ ทิศๆละ ๒ ทัพ เป็นการเพียงพอสำหรับการป้องกันได้พอแล้ว ประการที่ ๒ ในจำนวน ๑๖ ทัพ มี ๔ ทัพเป็นกำลังทิศหลัก อีก ๑๒ ทัพ เป็นทัพที่จัดเปลี่ยนเวรยาม ในตลอดวัน กองละ ๒ ครั้ง เพื่อเป็นการรักษาสถานการณ์ให้มั่นคง ประการที่ ๓ กองกำลังเหล่านี้เป็นกองกำลังที่เพิ่งก่อเพิ่มขึ้นใหม่ ยังมิมีการฝึกซ้อมด้วยมาตรการของนพเก้า จึงเป็นการดีที่แบ่งออกเพียงกองละ ๒๕,๐๐๐ เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพของกองทัพ พระพุทธเจ้าค่ะ ”
เซียนสราญรมย์ยิ้มกระหยิ่มพอใจในคำตอบยิ่งนัก ไฟร์เองก็มองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เหล่าทหารนายกองที่ฟังอยู่ต่างชื่นชมในสติปัญญาของไรเช่นกัน เซียนสราญรมย์จึงลุกขึ้นปรบมือให้กับไร ไรน้อมคำนับแล้วลุกขึ้นยืน ไฟร์จึงลุกขึ้นกล่าว
“ ดีมาก ไร วันนี้เราก็ให้ทุกท่านไปพำนักพักผ่อนกัน ”
เหล่าเสนาอำมาตย์และแม่ทัพนายกอง รวมทั้งราชาจากแคว้นต่างๆ ก็คำนับแล้วลุกขึ้นออกจากท้องพระโรง เหลือเพียงเซียนสราญรมย์และไฟร์นั่งอยู่ ไฟร์ก็กล่าวขึ้นว่า
“ ท่านลุง หลานยังมีเรื่องข้องใจอยู่พ่ะย่ะค่ะ ”
“ เจ้าคงจะยังสงสัยข้าเรื่องที่ข้าปล่อยให้มิร่าเข้าไปหลงกลของอควอโลใช่ไหม ” เซียนสราญรมย์เงยหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างนิ่งๆ
“ พระเจ้าค่ะ ท่านลุงคิดอย่างไรถึงได้ยอมพ่ายแก่มัน ”
“ ฮ่า ไฟร์ เจ้าคิดว่าคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างอควอโลจะไม่มีข้อผูกมัดในการทำศึกอย่างนั้นหรือ อีกอย่างผู้ที่ชาญศึกอย่างอควอมาโดสไม่ยอมทำการสุ่มเสี่ยงแน่ อควอโลต้องเอาชัยชนะในครั้งนี้มาเป็นข้ออ้างในการออกศึกแน่ เพราะฉะนั้น ข้าจึงจำเป็นต้องทำการเยี่ยงนี้ แต่ก็ยอมรับว่ามันมีแผนที่ทำให้ข้าต้องตกใจจริงๆ อยู่ เพราะหากศึกครั้งนี้อควอโลแพ้ศึก ข้าว่ามันต้องทำการปลุกชีพอควอโลมาโดสมาอย่างแน่นอน เพราะสายของข้ารายงานมาว่าสุสานของอควอโลมาโดสถูกขุดขึ้นมาแล้ว อีกทั้งเรายังไม่ได้รับสาสน์เข้าร่วมศึกจากผู้ทรงสัญลักษณ์พันปีทั้ง ๗ เลย เราต้องใช้สัญลักษณ์พันปีทั้ง ๗ และหิมะขาวทอง – เงิน เพื่อเปิดประตูยมโลกเข้าไปเชิญโอเบลิสมา ซึ่งต้องกระทำในเพ็ญเดือน ๙ เสียดาย นี่เพิ่งจะเดือน ๔ ต้องรออีกเกือบ ๕ เดือน ไม่งั้นโอเบลิสจะออกมาไม่เต็มพลัง เท่ากับว่าต้องรอเวลาอีกหลายปี เสียเวลาโดยใช่เหตุ เราจึงจำต้องยืดเวลาการทำศึกออกไปอีก ซึ่งถ้ามันยังชนะอยู่ข้าว่ามันคงยังไม่อยากปลดตัวเองลงเป็นเพียงแค่รองผู้บัญชาการเด็ดขาด”
เซียนสราญรมย์เฉลยกลศึกที่ไฟร์สงสัยออกมา ไฟร์ถึงเข้าใจในกลศึกที่หลายชั้นและสลับซับซ้อน ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั่นเอง ไรก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน ลงก้มคำนับแล้วเงยหน้าเผยให้เห็นสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยกำลังใจ เซียนสราญรมย์ก็หาใช่ชนชั้นธรรมดารับพูดดักทางขึ้นทันทีเลยว่า
“ ฮ่า ไร มีเรื่องอันใดหรือ ดูหน้าเจ้าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจโดยแท้”
“ ข่าวสารพ่ะย่ะค่ะ ทางหน้าด่านเรารายงานมาว่า ขณะนี้ ท่านดาบสวรรค์ยกทัพมาแล้วพระเจ้าค่ะ คาดว่าจะถึงนครเราต้อนบ่ายแก่ๆ พระเจ้าค่ะ ” ไรกล่าวออกไป ทำให้ทั้งสองคนถึงกับรู้สึกโล่งใจอย่างทันควัน เหมือนว่านำเขามหาบรรพตออกจากอกฉะนั้น เซียนสราญรมย์กล่าวขึ้นอย่างดีใจว่า
“ ดี ฮ่า ข้าว่าเราเริ่มที่จะได้รับข่าวดีมาบ้างแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า ”
“ แล้วตอนนี้มีใครที่ทราบเรื่องนี้แล้วบ้าง ไร ” ไฟร์ถามออกไปด้วยน้ำเสียงสุขุม ไรเองก็กล่าวตอบออกมาอย่างสง่างามว่า
“ ตอนนี้ ข้าได้ให้หน่วยกระจายข่าว เร่งบอกเรื่องนี้ต่อท่านอุปราชไวร์มาร์ค และพระราชกนิษฐาฮาโมนิก้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วพระเจ้าค่ะ ”
มหาสงครามชิงพิภพ ตอนที่ ๒ การเริ่มต้นสู่จุดจบ บทที่ ๑ บรรเลงศึกกลางโลกา
รุ่งอรุณแห่งแสงอรุโณทัยกำลังโผล่พ้นขึ้นจากพื้นโลกา แสงสุริยันได้สาดส่องไปทั่วแผ่นดิน ตอนนี้ ณ ค่ายทหารที่เข้มแข็งของอควอโลนั้น ได้ถูกรื้อลงอย่างเร็วไว เพื่อถอนกลับสู่นครามหาเทวะ ซึ่งได้รับชัยชนะเป็นการประเดิมสงครามที่จะยังคงมีต่อไปอีกเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบสิ้น ฝ่ายนพเก้านครก็ได้ทอดตาเพื่อทัศนาจรการรื้อถอนค่ายของเหล่ามารนี้ และแฝงด้วยความคับแค้นใจเพราะชั่วเวลาเพียง ๒ ราตรี นพเก้านครก็พ่ายอย่างไม่เป็นท่า แสงสุริยาได้เข้าสู่ช่วงกลางวันทัพของอควอโลก็ถูกรื้อถอนเสร็จสิ้น และค่อยๆทยอยเดินทัพกลับกรุงมหาเทวะ ไฟร์มองดูทัพยุรยาตราของศัตรูค่อยๆเลือนหายไปตามขอบของพื้นบรรณพิภพ เซียนสราญรมย์มองดูด้วยสายตาที่ต้องการที่จะสำรวจความเคลื่อนไหวของกองทัพนั้นทุกฝีก้าว จนเมื่อกองทัพเคลื่อนลับตาไป เมืองนพเก้าก็เริ่มเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง เหล่าชาวเมืองต่างออกมาเดินจับจ่ายใช้สอยสินค้ากันตามปกติ ทหารที่คอยอยู่เฝ้าเวรยามก็ลดการตรวจตราลง สถานการณ์ตอนนี้นับได้ว่าเป็นปกติวิสัยโดยแท้ เหล่าราชา แม่ทัพที่ยกกองกำลังมาคอยท่า ก็ผ่อนคลายความกังวลลงไป ต่างพากันมาเข้าเฝ้าไฟร์ในท้องพระโรงกันทุกหัวเมืองเพื่อลากลับถิ่นฐานบ้านเกิดของตน
“ หวังว่าในการศึกครั้งหน้าเราจะมีโอกาสรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระองค์อีกพระพุทธเจ้าค่ะ เวลานี้ กระหม่อมเห็นว่าเหตุการณ์ในนพเก้านครเข้าสู่ปกติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เกล้ากระหม่อม พร้อมด้วยราชาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านแคว้น จึงมาทูลลาพระองค์กลับสู่นครของเรา พระพุทธเจ้าค่ะ ”
ลาสโปร์วาเรียล หนึ่งในราชาที่ยกกองทัพมาช่วยศึกครั้งนี้กล่าวแก่ไฟร์ ซึ่งบัดนี้ขึ้นว่าราชการบนบัลลังก์มังกรฟ้าปราบประจิม ไฟร์นั่งผ่อนคลายอยู่บนบัลลังก์ก็ได้ถอนหายใจก่อนกล่าวออกอย่างช้าๆว่า
“ลาสโปร์วาเรียล เราขอขอบใจท่านมากที่ท่านมาช่วยเราในศึกครั้งนี้ แต่ท่านก็คงจะตระหนักดีว่า ศึกครั้งนี้ไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ มันยังคงจะมีต่ออีก และจะมีอีกนับสิบนับร้อยศึกที่เราต้องผ่านมันไป ตอนนี้เราเสียเปรียบด้านขวัญกำลังใจ ทหารที่พ่ายศึกมายังคงมีอาการเกรงกลัวต่ออำนาจของเหล่ามารนั่น เราเพียงต้องการบอกกล่าวท่าน มิได้มีเจตนากักกำลังของพวกท่านไว้แต่ประการใด เอาล่ะข้าขอให้ท่านนำกำลัง ๑ ใน ๑๐ ส่วนของพวกท่าน พำนักพักพิงอยู่ที่นี่ เราสัญญาว่าจะดูแลปกป้องพวกเขาดั่งว่าเขาคือประชาชนของเรา และหลังจากนี้ เราขอประกาศสภาวะฉุกเฉินที่ทุกหัวเมืองจำต้องเตรียมกำลังทหารให้พร้อมที่จะเดินทางมาถึงนพเก้านครภายในกำหนด ๙ วัน หากพ้นนั้นแล้วไซร้ ให้ต้องโทษราชอาญาฐานเป็นกบฏคิดคดทรยศต่อราชวงศ์อหังการ์ เมื่อท่านทราบดังนี้โดยทั่วกันแล้วเราก็ขออำนวยอวยชัยให้พวกท่านสู่นครท่านอย่างปลอดภัย หากเมืองใดมีเหตุการณ์ที่เป็นสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ ให้ส่งสารมาหาเรา เราจะจัดทัพไปช่วยเหลือพวกท่านโดยด่วนที่สุด รับราชโองการ”
เหล่าราชา อำมาตย์ราชปุหิต แม่ทัพนายกองต่างก้มรับราชโองการ ไฟร์จึงสั่งการให้ไรเป็นคนจัดการสร้างตำแหน่งทางการทหารแก่แม่ทัพนายกองที่เหล่ากษัตริย์แต่ละเมืองได้มอบให้ช่วยงาน ซึ่งก็ได้ร่วมรวมทหารได้จำนวนถึง ๔๐๐,๐๐๐ นาย โดยที่ไรได้แบ่งออกเป็น ๔ กรม กรมละ ๔ กอง รวมเป็น ๑๖ กอง ไรได้นำรายการชื่อของเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหมดมาแสดงไฟร์ที่ท้องพระโรง ไรหยิบสาสน์รายนามออกมาแล้วประกาศให้ไฟร์ฟัง
“ ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท เกล้ากระหม่อมขอพระบรมราชานุญาติ แสดงรายนามแม่ทัพบรรดาศักดิ์ดังรายชื่อต่อไปนี้ กองที่ ๑-๑๒ เป็นกองกำลังจักรราศี กองที่ ๑๓ เป็นกองกำลังบูรพา กองที่ ๑๔ เป็นกองกำลังอุดร กองที่ ๑๕ เป็นกองกำลังประจิม และกองกำลังที่ ๑๖ เป็นกองกำลังทักษิณ พระพุทธเจ้าค่ะ”
ไร น้อมโค้งเสนอราชโองการแล้วเดินถอยหลังไป ไฟร์ยกสาสน์ถวายเหนือบัลลังก์มังกรฟ้าปราบประจิม แล้วประกาศกลางท้องพระโรง
“ บัดนี้ กองกำลังของนพเก้านครพร้อมแล้วที่จะปกป้องเกียรติประวัติเอกราชของราชวงศ์เราไว้ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
เสนาอำมาตย์ราชปุโรหิตต่างก้มน้อมรับคำ เซียนสราญรมย์นั่งสบายๆในที่พักราชอาคันตุกะแล้วก็มองเห็นแววตาที่โชติช่วงของทหารกล้าผู้มีนามว่า ไร คนนี้อย่างเสียเหลือเกิน แววตามุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว รอบคอบ ในเมืองนี้หากไม่นับโอเบลิสผู้เป็นบิดาของเขาแล้ว ผู้มีแววตาเช่นนี้เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่เสียดายที่เป็นเพียงแม่ทัพของนครนี้ หากเป็นรัชทายาทหรือเชื้อพระวงศ์รับรองได้ว่า เซียนสราญรมย์ย่อมจะสนับสนุนไรเป็นจอมทัพแน่แท้ ไฟร์ในตอนนี้ก็เริมที่จะเข้าสู้วัยกลางคน กำลังในการสู้ทัพรบราย่อมถดถอยเป็นธรรมดา เหลือก็เพียงแต่ไวร์มาร์คกับไรเท่านั้นที่เซียนสราญรมย์หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ เซียนสราญรมย์อดชมภูมิของไรไม่ได้จึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า
“ นี่ไร ข้านะฟังเจ้ามาก็มาก เจ้ามีเหตุผลอะไรที่จัดทัพเป็นถึง ๑๖ ทัพ ”
ไฟร์หันมามองเซียนสราญรมย์ด้วยแววตาที่สงสัย แล้วเขาก็หันมาหาไร เพื่อจะดูว่าไรมีปฏิกิริยาอย่างไร เพราะไฟร์ไม่ได้ทันฉุกคิดว่าเพราะอะไร ไรจึงจัดทัพเช่นนี้ ไรน้อมคำนับอีกครั้งพร้อมเงยหน้าขึ้นตอบว่า
“ขอเดชะฝ่าพระบาท ข้ากระหม่อมเห็นว่าการจัดทัพเช่นนี้เพื่อให้การบริหารเป็นไปอย่างเรียบง่าย เพราด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรก กองกำลังของเหล่าราชาที่มาช่วยเหลือเรา นั้นมีจำนวน ๔๐๐,๐๐๐ นาย หากเราจะแบ่งจำนวนเป็น ๔ ทัพตามปกติ ดูแลรักษาปราการทั้ง๔ด้านก็เป็นการที่ป้องกันได้อ่อนแอเกินไป เพราะเรื่องนั้นเป็นการเสียสมดุล ในกรณีที่เราถูกโจมตีทางอื่น จะขาดกองกำลังเสริม แต่หากแบ่งมากไป การที่เราจะรักษาปราการที่นั้นๆ ก็จะเป็นการยากยิ่งเกินไป เพราะ ๑๖ ทัพจะรักษาได้ทั้งสิ้น ๘ ทิศๆละ ๒ ทัพ เป็นการเพียงพอสำหรับการป้องกันได้พอแล้ว ประการที่ ๒ ในจำนวน ๑๖ ทัพ มี ๔ ทัพเป็นกำลังทิศหลัก อีก ๑๒ ทัพ เป็นทัพที่จัดเปลี่ยนเวรยาม ในตลอดวัน กองละ ๒ ครั้ง เพื่อเป็นการรักษาสถานการณ์ให้มั่นคง ประการที่ ๓ กองกำลังเหล่านี้เป็นกองกำลังที่เพิ่งก่อเพิ่มขึ้นใหม่ ยังมิมีการฝึกซ้อมด้วยมาตรการของนพเก้า จึงเป็นการดีที่แบ่งออกเพียงกองละ ๒๕,๐๐๐ เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพของกองทัพ พระพุทธเจ้าค่ะ ”
เซียนสราญรมย์ยิ้มกระหยิ่มพอใจในคำตอบยิ่งนัก ไฟร์เองก็มองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เหล่าทหารนายกองที่ฟังอยู่ต่างชื่นชมในสติปัญญาของไรเช่นกัน เซียนสราญรมย์จึงลุกขึ้นปรบมือให้กับไร ไรน้อมคำนับแล้วลุกขึ้นยืน ไฟร์จึงลุกขึ้นกล่าว
“ ดีมาก ไร วันนี้เราก็ให้ทุกท่านไปพำนักพักผ่อนกัน ”
เหล่าเสนาอำมาตย์และแม่ทัพนายกอง รวมทั้งราชาจากแคว้นต่างๆ ก็คำนับแล้วลุกขึ้นออกจากท้องพระโรง เหลือเพียงเซียนสราญรมย์และไฟร์นั่งอยู่ ไฟร์ก็กล่าวขึ้นว่า
“ ท่านลุง หลานยังมีเรื่องข้องใจอยู่พ่ะย่ะค่ะ ”
“ เจ้าคงจะยังสงสัยข้าเรื่องที่ข้าปล่อยให้มิร่าเข้าไปหลงกลของอควอโลใช่ไหม ” เซียนสราญรมย์เงยหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างนิ่งๆ
“ พระเจ้าค่ะ ท่านลุงคิดอย่างไรถึงได้ยอมพ่ายแก่มัน ”
“ ฮ่า ไฟร์ เจ้าคิดว่าคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างอควอโลจะไม่มีข้อผูกมัดในการทำศึกอย่างนั้นหรือ อีกอย่างผู้ที่ชาญศึกอย่างอควอมาโดสไม่ยอมทำการสุ่มเสี่ยงแน่ อควอโลต้องเอาชัยชนะในครั้งนี้มาเป็นข้ออ้างในการออกศึกแน่ เพราะฉะนั้น ข้าจึงจำเป็นต้องทำการเยี่ยงนี้ แต่ก็ยอมรับว่ามันมีแผนที่ทำให้ข้าต้องตกใจจริงๆ อยู่ เพราะหากศึกครั้งนี้อควอโลแพ้ศึก ข้าว่ามันต้องทำการปลุกชีพอควอโลมาโดสมาอย่างแน่นอน เพราะสายของข้ารายงานมาว่าสุสานของอควอโลมาโดสถูกขุดขึ้นมาแล้ว อีกทั้งเรายังไม่ได้รับสาสน์เข้าร่วมศึกจากผู้ทรงสัญลักษณ์พันปีทั้ง ๗ เลย เราต้องใช้สัญลักษณ์พันปีทั้ง ๗ และหิมะขาวทอง – เงิน เพื่อเปิดประตูยมโลกเข้าไปเชิญโอเบลิสมา ซึ่งต้องกระทำในเพ็ญเดือน ๙ เสียดาย นี่เพิ่งจะเดือน ๔ ต้องรออีกเกือบ ๕ เดือน ไม่งั้นโอเบลิสจะออกมาไม่เต็มพลัง เท่ากับว่าต้องรอเวลาอีกหลายปี เสียเวลาโดยใช่เหตุ เราจึงจำต้องยืดเวลาการทำศึกออกไปอีก ซึ่งถ้ามันยังชนะอยู่ข้าว่ามันคงยังไม่อยากปลดตัวเองลงเป็นเพียงแค่รองผู้บัญชาการเด็ดขาด”
เซียนสราญรมย์เฉลยกลศึกที่ไฟร์สงสัยออกมา ไฟร์ถึงเข้าใจในกลศึกที่หลายชั้นและสลับซับซ้อน ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั่นเอง ไรก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางร้อนรน ลงก้มคำนับแล้วเงยหน้าเผยให้เห็นสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยกำลังใจ เซียนสราญรมย์ก็หาใช่ชนชั้นธรรมดารับพูดดักทางขึ้นทันทีเลยว่า
“ ฮ่า ไร มีเรื่องอันใดหรือ ดูหน้าเจ้าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจโดยแท้”
“ ข่าวสารพ่ะย่ะค่ะ ทางหน้าด่านเรารายงานมาว่า ขณะนี้ ท่านดาบสวรรค์ยกทัพมาแล้วพระเจ้าค่ะ คาดว่าจะถึงนครเราต้อนบ่ายแก่ๆ พระเจ้าค่ะ ” ไรกล่าวออกไป ทำให้ทั้งสองคนถึงกับรู้สึกโล่งใจอย่างทันควัน เหมือนว่านำเขามหาบรรพตออกจากอกฉะนั้น เซียนสราญรมย์กล่าวขึ้นอย่างดีใจว่า
“ ดี ฮ่า ข้าว่าเราเริ่มที่จะได้รับข่าวดีมาบ้างแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า ”
“ แล้วตอนนี้มีใครที่ทราบเรื่องนี้แล้วบ้าง ไร ” ไฟร์ถามออกไปด้วยน้ำเสียงสุขุม ไรเองก็กล่าวตอบออกมาอย่างสง่างามว่า
“ ตอนนี้ ข้าได้ให้หน่วยกระจายข่าว เร่งบอกเรื่องนี้ต่อท่านอุปราชไวร์มาร์ค และพระราชกนิษฐาฮาโมนิก้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วพระเจ้าค่ะ ”