อุบายแก้ตนเมื่อประสบบุคคลที่ไม่ชอบใจ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ



พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

...

ความทุกข์อันเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันกับบุคคลที่ไม่เป็นที่พออกพอใจ  
อันหมู่นี้นะมันก็เป็นทุกข์จริงๆนะ  ทุกคนก็คงเคยจะถูกมานะ  

บางทีคนเกิดร่วมท้องเดียวกัน อยู่ด้วยกันก็ไม่ถูกต้องกัน
กระทบกระทั่งกันให้เดือดเนื้อร้อนใจอยู่อย่างนั้น  
บางทีสามีกับภรรยาทีแรกก็ถูกกันดี  รักใคร่กันดี  
ครั้นต่อมานี่ฝ่ายหนึ่งประพฤตินอกศีลนอกธรรมออกไป
ลุอำนาจแก่กิเลสตัณหาเข้าไป อีกฝ่ายหนึ่งตักเตือน  ไม่ฟัง ไม่พอใจ  
เกิดทะเลาะวิวาทกันเข้า เรียกว่า ความเห็นมันแตกต่างกัน
ผู้หนึ่งยึดเอาศีลธรรมเป็นเครื่องดำเนินของชีวิต  
อีกฝ่ายหนึ่งประพฤตินอกศีลธรรมออกไปอย่างนี้
แต่ว่ามันมีเหตุสุดวิสัยที่มันจะหย่าร้างกันไม่ได้
ก็อยู่ด้วยกันด้วยความทุกข์ทนทรมานไปอย่างนั้นก็มี

อย่างนี้นะนี่ล่ะการอยู่ร่วมกับบุคคลที่ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ
นี่มันก็เป็นทุกข์เอาจริงๆ แม้คนอื่นๆที่มาอยู่ร่วมกับตนก็เหมือนกัน
ถ้าเป็นคนที่นิสัยไม่ถูกต้องกันไม่ตรงกันแล้วก็อยู่ยาก
อืม มันเป็นอย่างนั้น  
การเดินทางร่วมกันไปทำมาค้าขาย ไปหาเงินหาทองด้วยกันอย่างนี้  
เมื่อทีแรกก็ร่วมจิตร่วมใจกันอย่างดี  ครั้นไปๆแล้ว
ก็เกิดความคิดเห็นแตกแยกกันเข้าไป ก็ทะเลาะกันไป
จะหนีจากกันก็หนีไม่ได้ เพราะมันมีกิจการพัวพันกันอยู่  
ก็เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นแหละ  

ทุกข์เหล่านี้มันมีอยู่แล้วในโลกนี้น่ะขอให้พากันพิจารณาให้ดี  
และทำยังไงบาดนี่เมื่อมีทุกข์อยู่อย่างนี้เช่นอย่างว่า
เราอยู่ร่วมกับบุคคลที่ไม่เป็นที่พออกพอใจอย่างนี้นะ
พิจารณาดูไอ้เรื่อง "กรรม" เรื่อง "ผลของกรรม" ให้แจ่มแจ้ง  
ต่างคนเกิดมาก็มีกรรมเป็นของของตน  อันที่เขาเป็นอย่างนั้น
ก็เพราะกรรมของเขา เขาทำมาอย่างนั้น  
กรรมมันดลบันดาลอย่างนั้นมันก็จึงเป็นอย่างนั้น  

อย่างนี้แหละ  เมื่อกรรมมันแต่งอันนั้นแล้ว
เราจะไปดัดแปลงให้มันดีขึ้นได้ยังไง เพราะผู้นั้น
ยังตกอยู่ใต้อำนาจแห่งกรรมชั่วกรรมไม่ดีต่างๆ
รู้อย่างนี้แล้ว
ก็หวนพิจารณาว่า คนผู้นั้นไม่ใช่ว่าเป็นคนชั่วอยู่ตลอด
เวลามันใจดีมันทำดีอยู่ก็มีอย่างนี้
เราก็นับถือความดีของเขาแทนความชั่ว  
สิ่งใดที่มันชั่วเราก็ไม่ยึดถือเอา  เราก็นึกถึงแต่ความดีของเขา
มาเป็นอารมณ์แล้วมันก็พอให้อภัยกันได้
นี่ทางแก้ไขนะ

การอยู่ร่วมกับบุคคลที่ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจ
แต่มันไม่มีโอกาสที่จะทำให้จากกันไปได้อย่างนี้
เมื่อมันจำเป็นล่ะก็ต้องนึกต้องคิดอย่างที่ว่านี้ล่ะ  
อย่าไปยึดเอาความชั่วบางสิ่งบางอย่างของเขามาเป็นอารมณ์  
ให้นึกถึงความดีที่เขามีต่อตน หรือว่าต่อส่วนรวมเป็นอารมณ์
อย่างนี้นะ  แล้วมันก็หาย  หายความหงุดหงิด
ความท้อแท้ใจในการอยู่ร่วมกัน  
ถ้าเราจะไปนึกถึงแต่ความชั่วของเขา
มาเป็นอารมณ์อยู่อย่างนั้นมันก็วุ่นวายแน่นอนน่ะจิตใจน่ะ
โดยไม่ได้นึกถึงความดีของเขาเลย  นี่มันลำเอียง  
จิตเป็นอย่างนั้นน่ะ  ลำเอียงเข้าข้างกับความโกรธให้ดูตัวเอง


ถ้าหากว่าจิตใจของตัวเองไม่ลุอำนาจ
แก่ความโลภความโกรธแล้วเช่นนี้ แล้ววางใจให้เป็นกลางอยู่
นั่นล่ะจึงได้พิจารณาว่า ไอ้ตัวของเราเองคุ้มดีก็ดี คุ้มร้ายก็ร้าย
ไม่ใช่ว่า ตัวของตัวเองน่ะจะดีไปตลอดก็หามิได้  
เพราะยังมีกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นน่ะคนอื่นก็มีกิเลส  
จะไม่ให้มันแสดงบทชั่วออกมาเลยไม่ได้  


หากเมื่อพิจารณาเขากับเราเทียบกันดูแล้วเช่นนี้
มันก็ควรให้อภัยกันได้เลยบัดนี้นะ  มันก็ไม่ถือสากัน   
อ๋อ ต่างคนต่างก็มีกิเลสน้อ  ถ้าผู้ใดละกิเลสหมดสิ้นไปแล้ว
ผู้นั้นก็มีความประพฤติเรียบร้อย  ไม่ทำให้ผู้ใดเดือดเนื้อร้อนใจเลย


แต่นี่เรามาอยู่กันหมู่มากอย่างนี้นะ
ล้วนแต่บุคคลยังไม่สิ้นกิเลสทั้งนั้นเลย  
เพียงแต่ทำกิเลสให้เบาบางลงไปเท่านั้นเองนะ  
ส่วนใดที่มันยังเหลืออยู่ในจิตใจของผู้นั้น
มันก็แสดงบทบาทออกมาภายนอกเมื่อเจ้าของเผลอๆตัวเข้าไป
แม้เราก็เหมือนกันถ้ากิเลสอันใดของเรามี  เมื่อเราเผลอๆสติเข้าไป
มันก็อาจแสดงบทบาทออกไปวันหนึ่งให้ได้อย่างนี้

นี่มันเป็นอย่างนี้แหละให้พากันพิจารณาให้เห็น  

เมื่อพิจารณาเห็นแล้วมันก็อนุโลมปฏิโลมกันไปได้แหละ
หือ...เราจะไปถือว่าแต่ตัวดีวิเศษผู้เดียว  คนอื่นเลวหมดอย่างนี้..
ผิดถนัดแน่นอนเพราะว่าทุกคนก็ยังละกิเลสไม่หมด  
ก็ขอให้เข้าใจอย่างนี้การปฏิบัติธรรม  
ไม่พิจารณาให้รอบคอบอย่างนี้แล้วมันก็เข้าทำนองที่ว่า
เมื่อทำความดีแล้วก็ยึดมั่นในความดีนั้นเสีย
สำคัญว่าแต่ตนดีอย่างเดียว  
ไม่เฉลียวนึกถึงความชั่วความผิดอะไรเลย  
มันก็ผิดทางน่ะ  มันไม่รอบคอบอย่างนั้นน่ะเป็นอย่างนั้น
  
ฉะนั้นเราต้องพิจารณาให้รอบคอบ เมื่อพิจารณาไป
รอบคอบแล้วอย่างนี้มันก็มียืดหยุ่นต่อกันและกัน  

...

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
"สว่างมาอย่ามืดไป"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่