พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้คนเราน่ะคำนึงถึงโลกหน้าให้มาก
นั้นแหละธรรมดาบุคคลผู้ที่ยังละอาสวกิเลส
ให้หมดไปจากจิตใจไม่ได้นี้นะมันก็ต้องเกิดอีกอยู่วันยันค่ำนะ
เพราะฉะนั้นน่ะพระองค์จึงได้ทรงสอนให้คำนึงถึงชาติหน้าต่อไป
เมื่อผู้ใดรู้ตัวว่าตนไม่สามารถที่จะละกิเลส
ให้ขาดจากสันดานได้ในชาตินี้ก็ต้องพยายามคำนึงถึงว่า
เมื่อเราละโลกนี้ไปแล้วเราจะไปเกิดในที่ทุกข์
หรือว่าจะไปเกิดที่สุขสบาย
ทำอย่างไรเราถึงจะได้ไปเกิดที่สุขสบาย
ถ้าหากว่าเราละกิเลสให้หมดไปจากจิตใจไม่ได้ในชาตินี้
นี่ทุกคนมันก็ต้องคิดถึงตนอย่างนี้
แต่ถ้าหากว่าตนสามารถที่จะละกิเลส
ให้หมดสิ้นไปได้ในชาตินี้ก็เอา.. ตั้งใจลง..
ไม่ต้องไปมุ่งหวังชาติหน้าแหละ
แต่ถ้าหากว่าตนไม่สามารถที่จะละกิเลส
ให้ขาดจากสันดานได้ในชาตินี้
มันก็ต้องมีชาติหน้าอยู่ดีดีนี่แหละ
นั่นก็ต้องเตรียมตัวไว้แล้ ชำระสะสางตนให้สะอาด
เพื่อจะได้ไปเกิดในที่สุขสบาย ...
ไม่ต้องปรารถนาหรอกเพียงแต่ชำระจิตใจของตนนี้
ให้มันสะอาดจากบาปอกุศลกรรมต่างๆไว้เท่านั้นแหละ
ถ้ายังละกิเลสอันละเอียดอันปานกลางไม่หมดแล้วก็..
ก็แล้วแต่บุญกรรมมันจะนำไปแหละไปเกิดที่ไหนก็แล้วแต่
ไม่ต้องคำนึงล่ะตรงนั้นน่ะ เพราะว่า
บุญกรรมนี่มันยุติธรรมมาก
สุดแล้วแต่ใครบำเพ็ญบุญกุศลให้เข้าขั้นใด
บุญกุศลก็นำไปเกิดในขั้นนั้นแหละ
ไม่ต้องปรารถนามันก็เป็นไปเองมัน
เพราะ
"กำลังของบุญ" น่ะ เหมือนอย่างลูกปืนอย่างนี้นะ
กำลังของปืนกระบอกนั้นมันมีกำลังมากน้อยเพียงใด
มันก็ส่งกระสุนไปไกลเพียงนั้นแหละ
เป็นอย่างนั้น อันนี้เหมือนกันแหละ
กำลังบุญกุศลที่บุคคลสะสมไว้ในใจของตนนี้
มันมีมากน้อยเพียงใดมันก็ส่งจิตวิญญาณนี้
ให้ไปเกิดในที่สูงได้เพียงแค่นั้นแหละ
ถ้าหากว่าบุคคลสะสมบาปอกุศลใส่ตนไว้ไม่ยอมละ
บาปอกุศลนั้นมันก็มีกำลังมากกำลังน้อยกว่ากัน
อันนั้น
"กำลังบาป" มันน้อยมันก็พาไปเกิด
ในที่ทุกข์ยากลำบากเบาขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
ถ้ากำลังบาปที่บุคคลกระทำนั้นมันมากมันหนัก
มันก็ฉุดคร่าเอาดวงจิตวิญญาณนี้
ไปตกสู่ห้วงแห่งความทุกข์อย่างมากมาย
มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เป็นไปตามเหตุ
เหตุมากผลก็มาก เหตุน้อยผลก็น้อย
นี่ก็ให้พึงพากันเข้าใจ เรียกว่า ชีวิตของคนเรานี่
เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่ว่ามันเป็นไปอย่างลอยๆ
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
"ควรปฏิบัติตนให้เป็นคนมักน้อยสันโดษ"
ไปตามกำลังบุญกำลังบาปของตน : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้คนเราน่ะคำนึงถึงโลกหน้าให้มาก
นั้นแหละธรรมดาบุคคลผู้ที่ยังละอาสวกิเลส
ให้หมดไปจากจิตใจไม่ได้นี้นะมันก็ต้องเกิดอีกอยู่วันยันค่ำนะ
เพราะฉะนั้นน่ะพระองค์จึงได้ทรงสอนให้คำนึงถึงชาติหน้าต่อไป
เมื่อผู้ใดรู้ตัวว่าตนไม่สามารถที่จะละกิเลส
ให้ขาดจากสันดานได้ในชาตินี้ก็ต้องพยายามคำนึงถึงว่า
เมื่อเราละโลกนี้ไปแล้วเราจะไปเกิดในที่ทุกข์
หรือว่าจะไปเกิดที่สุขสบาย
ทำอย่างไรเราถึงจะได้ไปเกิดที่สุขสบาย
ถ้าหากว่าเราละกิเลสให้หมดไปจากจิตใจไม่ได้ในชาตินี้
นี่ทุกคนมันก็ต้องคิดถึงตนอย่างนี้
แต่ถ้าหากว่าตนสามารถที่จะละกิเลส
ให้หมดสิ้นไปได้ในชาตินี้ก็เอา.. ตั้งใจลง..
ไม่ต้องไปมุ่งหวังชาติหน้าแหละ
แต่ถ้าหากว่าตนไม่สามารถที่จะละกิเลส
ให้ขาดจากสันดานได้ในชาตินี้
มันก็ต้องมีชาติหน้าอยู่ดีดีนี่แหละ
นั่นก็ต้องเตรียมตัวไว้แล้ ชำระสะสางตนให้สะอาด
เพื่อจะได้ไปเกิดในที่สุขสบาย ...
ไม่ต้องปรารถนาหรอกเพียงแต่ชำระจิตใจของตนนี้
ให้มันสะอาดจากบาปอกุศลกรรมต่างๆไว้เท่านั้นแหละ
ถ้ายังละกิเลสอันละเอียดอันปานกลางไม่หมดแล้วก็..
ก็แล้วแต่บุญกรรมมันจะนำไปแหละไปเกิดที่ไหนก็แล้วแต่
ไม่ต้องคำนึงล่ะตรงนั้นน่ะ เพราะว่า บุญกรรมนี่มันยุติธรรมมาก
สุดแล้วแต่ใครบำเพ็ญบุญกุศลให้เข้าขั้นใด
บุญกุศลก็นำไปเกิดในขั้นนั้นแหละ
ไม่ต้องปรารถนามันก็เป็นไปเองมัน
เพราะ "กำลังของบุญ" น่ะ เหมือนอย่างลูกปืนอย่างนี้นะ
กำลังของปืนกระบอกนั้นมันมีกำลังมากน้อยเพียงใด
มันก็ส่งกระสุนไปไกลเพียงนั้นแหละ
เป็นอย่างนั้น อันนี้เหมือนกันแหละ
กำลังบุญกุศลที่บุคคลสะสมไว้ในใจของตนนี้
มันมีมากน้อยเพียงใดมันก็ส่งจิตวิญญาณนี้
ให้ไปเกิดในที่สูงได้เพียงแค่นั้นแหละ
ถ้าหากว่าบุคคลสะสมบาปอกุศลใส่ตนไว้ไม่ยอมละ
บาปอกุศลนั้นมันก็มีกำลังมากกำลังน้อยกว่ากัน
อันนั้น "กำลังบาป" มันน้อยมันก็พาไปเกิด
ในที่ทุกข์ยากลำบากเบาขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
ถ้ากำลังบาปที่บุคคลกระทำนั้นมันมากมันหนัก
มันก็ฉุดคร่าเอาดวงจิตวิญญาณนี้
ไปตกสู่ห้วงแห่งความทุกข์อย่างมากมาย
มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เป็นไปตามเหตุ
เหตุมากผลก็มาก เหตุน้อยผลก็น้อย
นี่ก็ให้พึงพากันเข้าใจ เรียกว่า ชีวิตของคนเรานี่
เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่ว่ามันเป็นไปอย่างลอยๆ
...
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
"ควรปฏิบัติตนให้เป็นคนมักน้อยสันโดษ"