พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
ทีนี้เมื่อร่างกายนี้มันหมดเขตของมันลงจริงๆ
มันทำงานไม่ไหวแล้วอย่างนี้ มันหยุดทุกส่วนแล้ว
นามธรรมทั้งหมดเหล่านั้นมันก็ดับลงไป มันก็ดับลงไป
บัดนี้มันก็มี
“กุศลกรรมนิมิต” หรือ
“อกุศลกรรมนิมิต”
แสดงออกต้อนรับดวงจิตนี้แล้วบัดนี้
นั่นแหล่ะ..
ผู้ใดมีบาปอยู่ในใจมาก
มันก็แสดงอกุศลกรรมนิมิตอันชั่วร้ายต่างๆให้จิตเห็น
นิมิตดีๆไม่เห็นแล้ว ..คนมีบาปน่ะ
คนมีบุญอย่างนี้มันก็จะแสดงเท่าแต่นิมิตดีๆ
สวยๆงามๆให้จิตยินดีรื่นเริง ในขณะนั้นน่ะมันเป็นอย่างนั้น
ถ้าจิตเห็นนิมิตดีๆอย่างนั้นก็แสดงว่า
มันจะต้องไปสู่สุคติแน่นอนเมื่อละจากร่างอันนี้ไปแล้ว
ท่านผู้สิ้นอาสวะแล้ว ท่านไม่มีนิมิตอะไรปรากฏในใจของท่าน
เพราะว่า “บุญ” ท่านก็ทำหมดแล้ว เต็มบริบูรณ์แล้ว
“บาป” ก็ละไปหมดแล้วเพราะฉะนั้นจึงไม่มีนิมิตอะไรปรากฏในใจ
มีแต่เมื่อร่างกายนี้มันรองรับดวงจิตอันนี้ไม่ได้แล้ว
ก็เป็นอันว่า “นิพพาน”กันเท่านั้นเองนะ ก็นิพพานกันเท่านั้นแหละ
“นิพพาน” แปลว่า ดับ กิเลสตัณหาน้อยใหญ่ทั้งหลายดับไปหมด
แล้วนามรูปก็ดับไปหมด เอออย่างนี้นะ..กิเลสพร้อมทั้งนามรูปอันนี้
ดับไปพร้อมกันบัดนี้นะ แต่เมื่อนามรูปอันนี้ยังไม่ดับ
ท่านกล่าวว่า
“พระอรหันต์นั้นท่านละกิเลสขาดจากสันดาน”
แต่ว่า “ขันธปัญจกะ” นี้ยังมีอยู่ ท่านเรียกว่า “สอุปาทิเสสนิพพาน”
ดับแต่กิเลสแต่เบญจขันธ์ยังอยู่
ทีนี้เมื่อเหตุปัจจัยที่จะบำรุงขันธ์ทั้ง ๕ นี้มันหมดไป
ขันธ์ ๕ นี้ดับลงบัดนี้ท่านก็เรียกว่า
“อนุปาทิเสสนิพพาน”
แปลว่า ดับกิเลสพร้อมทั้งเบญจขันธ์ หมายความว่า มันไม่มีกรรมอะไร
ที่มันจะไปตกแต่งขันธ์ ๕ นี้ให้ดวงจิตอาศัยอีกต่อไป ไม่มีเลย
เหตุนั้นจิตดวงนี้มันจึงได้นิพพานบัดนี้ จึงเป็นอันว่า
ยุติการท่องเที่ยวเกิด แก่ เจ็บ ตายต่อไป
พูดมาถึงตรงนี้นะ บางคนก็นึกวิตกขึ้นในใจ
เอ๊ะ..อะไรๆก็ดับหมดแล้วทีนี้มันจะไปเอาความสุขมาแต่ไหน
โฮ..จะไปอาศัยอะไรจึงจะมีความสุข นี่..
บุคคลผู้ยังมีอุปาทานอยู่
ยังติดความสุขในโลกนี้อยู่ก็ชอบวิตกอย่างนี้แหละส่วนมากนะ
ท่านผู้ที่รู้แจ้งในความสุขของโลกนี้แล้วว่ามันเป็น “ความสุขชั่วคราว”
เป็นความสุขไม่ยั่งยืนเลยอย่างนี้ ท่านจึงไม่ติดใจในความสุขของโลกอันนี้
เมื่อท่านไม่ติดใจในความสุขของโลกอันนี้แล้ว
ก็เท่ากับว่า ไม่ติดใจในขันธ์ ๕ นี่แหละ
ดังนั้นท่านก็ปลงก็วางขันธ์ ๕ นี้หมด
เมื่อปลงวางขันธ์ ๕ ได้หมดด้วยอำนาจแห่งปัญญาจริงๆ
กิเลสก็หมดไปพร้อมกัน อย่างนั้นมันก็เหลือแต่จิตบริสุทธิ์อย่างเดียว
ปุถุชนตายมีกรรมนิมิต..แต่พระอรหันต์ไม่มี : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
พระอาจารย์เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
...
ทีนี้เมื่อร่างกายนี้มันหมดเขตของมันลงจริงๆ
มันทำงานไม่ไหวแล้วอย่างนี้ มันหยุดทุกส่วนแล้ว
นามธรรมทั้งหมดเหล่านั้นมันก็ดับลงไป มันก็ดับลงไป
บัดนี้มันก็มี “กุศลกรรมนิมิต” หรือ “อกุศลกรรมนิมิต”
แสดงออกต้อนรับดวงจิตนี้แล้วบัดนี้
นั่นแหล่ะ..ผู้ใดมีบาปอยู่ในใจมาก
มันก็แสดงอกุศลกรรมนิมิตอันชั่วร้ายต่างๆให้จิตเห็น
นิมิตดีๆไม่เห็นแล้ว ..คนมีบาปน่ะ
คนมีบุญอย่างนี้มันก็จะแสดงเท่าแต่นิมิตดีๆ
สวยๆงามๆให้จิตยินดีรื่นเริง ในขณะนั้นน่ะมันเป็นอย่างนั้น
ถ้าจิตเห็นนิมิตดีๆอย่างนั้นก็แสดงว่า
มันจะต้องไปสู่สุคติแน่นอนเมื่อละจากร่างอันนี้ไปแล้ว
ท่านผู้สิ้นอาสวะแล้ว ท่านไม่มีนิมิตอะไรปรากฏในใจของท่าน
เพราะว่า “บุญ” ท่านก็ทำหมดแล้ว เต็มบริบูรณ์แล้ว
“บาป” ก็ละไปหมดแล้วเพราะฉะนั้นจึงไม่มีนิมิตอะไรปรากฏในใจ
มีแต่เมื่อร่างกายนี้มันรองรับดวงจิตอันนี้ไม่ได้แล้ว
ก็เป็นอันว่า “นิพพาน”กันเท่านั้นเองนะ ก็นิพพานกันเท่านั้นแหละ
“นิพพาน” แปลว่า ดับ กิเลสตัณหาน้อยใหญ่ทั้งหลายดับไปหมด
แล้วนามรูปก็ดับไปหมด เอออย่างนี้นะ..กิเลสพร้อมทั้งนามรูปอันนี้
ดับไปพร้อมกันบัดนี้นะ แต่เมื่อนามรูปอันนี้ยังไม่ดับ
ท่านกล่าวว่า “พระอรหันต์นั้นท่านละกิเลสขาดจากสันดาน”
แต่ว่า “ขันธปัญจกะ” นี้ยังมีอยู่ ท่านเรียกว่า “สอุปาทิเสสนิพพาน”
ดับแต่กิเลสแต่เบญจขันธ์ยังอยู่
ทีนี้เมื่อเหตุปัจจัยที่จะบำรุงขันธ์ทั้ง ๕ นี้มันหมดไป
ขันธ์ ๕ นี้ดับลงบัดนี้ท่านก็เรียกว่า “อนุปาทิเสสนิพพาน”
แปลว่า ดับกิเลสพร้อมทั้งเบญจขันธ์ หมายความว่า มันไม่มีกรรมอะไร
ที่มันจะไปตกแต่งขันธ์ ๕ นี้ให้ดวงจิตอาศัยอีกต่อไป ไม่มีเลย
เหตุนั้นจิตดวงนี้มันจึงได้นิพพานบัดนี้ จึงเป็นอันว่า
ยุติการท่องเที่ยวเกิด แก่ เจ็บ ตายต่อไป
พูดมาถึงตรงนี้นะ บางคนก็นึกวิตกขึ้นในใจ
เอ๊ะ..อะไรๆก็ดับหมดแล้วทีนี้มันจะไปเอาความสุขมาแต่ไหน
โฮ..จะไปอาศัยอะไรจึงจะมีความสุข นี่..บุคคลผู้ยังมีอุปาทานอยู่
ยังติดความสุขในโลกนี้อยู่ก็ชอบวิตกอย่างนี้แหละส่วนมากนะ
ท่านผู้ที่รู้แจ้งในความสุขของโลกนี้แล้วว่ามันเป็น “ความสุขชั่วคราว”
เป็นความสุขไม่ยั่งยืนเลยอย่างนี้ ท่านจึงไม่ติดใจในความสุขของโลกอันนี้
เมื่อท่านไม่ติดใจในความสุขของโลกอันนี้แล้ว
ก็เท่ากับว่า ไม่ติดใจในขันธ์ ๕ นี่แหละ
ดังนั้นท่านก็ปลงก็วางขันธ์ ๕ นี้หมด
เมื่อปลงวางขันธ์ ๕ ได้หมดด้วยอำนาจแห่งปัญญาจริงๆ
กิเลสก็หมดไปพร้อมกัน อย่างนั้นมันก็เหลือแต่จิตบริสุทธิ์อย่างเดียว