อารัมภบท
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศกัมพูชาและนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด
ตอนที่ 5 ก่อการกำเริบ
กัมพูชา ในปีพุทธศักราช 2406 ดำรงตนอยู่ในฐานะรัฐอาณานิคมฝรั่งเศส ตามสนธิสัญญาอารักขาฝรั่งเศส-กัมพูชา ซึ่งจากผลของสนธิสัญญาดังกล่าวนั้น ก่อให้เกิดความเสียดุลระหว่างพื้นที่ปกครองเดิมของรัฐสยาม ซึ่งเดิมทีนั้นกัมพูชาเป็นรัฐในอารักขาระหว่างจักรวรรดิ์สยามและญวนมาก่อน ผลของสนธิสัญญาดังกล่าวจึงทำให้สยามต้องเสียดินแดนบางส่วนให้แก่ฝรั่งเศสไปเป็นครั้งแรก
ในช่วงแรกของการปกครองกัมพูชานั้น ฝรั่งเศสมิได้เข้าไปยุ่มย่ามเกี่ยวข้องกับกิจการภายในของกัมพูชามากนัก อีกทั้งฝรั่งเศสยังช่วยค้ำจุนราชสำนักกัมพูชาเสียด้วย ทั้งยังช่วยปราบกลุ่มกบฏต่างๆที่ก่อการกำเริบในกัมพูชา แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่แผนการให้เขมรตายใจเท่านั้นเอง ในขณะที่สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์(นักองค์ราชาวดี) กษัตริย์กัมพูชาในสมัยนั้นล่วงรู้ถึงแผนการร้ายๆของฝรั่งเศสและพระองค์เองยังมีทีท่าเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าอณานิคมด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ฝรั่งเศสก็จัดการแต่งตั้งพระสีสุวัตถ์ให้ดำรงสถานะเป็นพระมหาอุปราชกัมพูชาเสียเลย พระสีสุวัตถ์คือพระอนุชาของนักองค์ราชาวดี ซึ่งทั้งสองพระองค์นี้มีความหมางใจกันในเรื่องของการสืบทอดราชบัลลังก์กัมพูชา การนี้ก็เพื่อให้พระสีสุวัตถ์นั้นคอยถ่วงดุลอำนาจของกษัตริย์กัมพูชานั่นเอง จนกระทั่งฝรั่งเศสสามารถยึดเวียดนามได้เบ็ดเสร็จแล้ว จึงค่อยๆลิดรอนอำนาจของกษัตริย์กัมพูชามาเรื่อย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ หรือ นักองค์ราชาวดี พระมหากษัตริย์แห่งราชอณาจักรกัมพูชาพระองค์ที่ 2 ทรงเป็นพระราชโอรสของ สมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี (นักองค์ด้วง) กษัตริย์แห่งกัมพูชาองค์ที่ 1 และเป็นพระเชษฐาต่างพระมารดาของ พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ (นักองค์สีสุวัตถิ์)
กล่าวย้อนความไปเมื่อครั้นกัมพูชายังคงดำรงสถานะเป็นรัฐอารักขาสยาม-ญวนนั้น พระองค์ทรงสถานะเป็นพระราชบุตรบุญธรรมของกษัตริย์สยาม ภายหลังนักองค์ด้วงพระราชบิดาเสด็จสวรรคตลง เมื่อ พ.ศ. 2403 ได้เกิดความยุ่งยากในการสืบราชสมบัติของกัมพูชา โดยพระสีสุวัตถิ์แสดงความต้องการที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ทั้งนี้โดยได้รับการสนับสนุนจากสนองโสผู้เป็นลุง ทำให้เกิดความขัดแย้งกันเองภายในราชวงศ์นโรดม และระหว่างความขัดแย้งนี่เอง สนองโสจึงได้รวบรวมขุนนางไปตั้งมั่นที่กัมพูชาตะวันออกแล้วยกทัพเข้ามายึดพนมเปญและเมืองอุดงมีไชยได้ นักองค์ราชาวดีจึงหนีไปพระตะบองซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในพระราชอาณาเขตสยาม สยามเราได้ตัดสินใจสนับสนุนให้นักองค์ราชาวดีขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งกรุงกัมพูชาขึ้นที่กรุงเทพฯ และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกให้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ในระหว่างนั้นเองที่ขุนนางฝ่ายตรงข้ามของสนองโสได้รวบรวมกำลังเข้าต่อต้าน และเป็นฝ่ายชนะและสามารถจับตัวสนองโสได้ แต่สนองโสหลบหนีไปสู่อินโดจีนฝรั่งเศสได้ในที่สุด
ภายหลังจากที่กัมพูชาตกเป็นรัฐอารักขาฝรั่งเศสจึงกระทำการบีบคั้นพระองค์เพื่อผนวกกัมพูชาเข้ากับอินโดจีน โดยฝรั่งเศสยื่นเรื่องให้พระองค์ลงพระนามยินยอมให้ย้ายเมืองหลวงจากกรุงอุดงไปที่กรุงพนมเปญแทน ซึ่งพระองค์จึงต่อต้านด้วยการสละราชสมบัติเพื่อประท้วงทางการฝรั่งเศสแต่ฝรั่งเศสก็มิได้สนใจใยดี กลับสนับสนุนให้พระสีสุวัตถิ์ได้ขึ้นครองราชเป็นกษัตริย์กัมพูชาพระองค์ที่ 3 แทน แต่ฝรั่งเศสเองก็ยังคงลิดรอนอำนาจกษัตริย์กัมพูชาอยู่เป็นเนืองๆ
ฝ่ายนักองค์ราชาวดีได้เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2447 ที่กรุงเทพมหานคร ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทางราชสำนักสยามได้อัญเชิญพระบรมศพกลับสู่กัมพูชา พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพมีขึ้นที่กรุงพนมเปญ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2449 ปัจจุบันมีพระบรมราชานุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าของพระองค์อยู่ในวัดอุดง
ภายหลังจากที่ฝรั่งเศสสามารถควบคุมเวียดนามได้เบ็ดเสร็จในช่วง พ.ศ.2426 และต่อมาในปี พ.ศ.2427 จึงมีความพยายามผนวกกัมพูชาให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน โดยแผนการเริ่มแรกนั้น ฝรั่งเศสได้ดำเนินนโยบายครั้งใหญ่ซึ่งเข้มงวดเพื่อพยายามเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ และระบบอันเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานภายในกัมพูชา โดยข้าหลวงทอมสันได้เสนอแผนการปรับปรุงการเก็บภาษี การตำรวจ การยกเลิกระบบทาสไพร่ ฯลฯ ซึ่งนั้นทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างมากในหมู่ชนชั้นปกครองชาวกัมพูชา อีกทั้งฝรั่งเศสยังนำชาวเวียดนามเข้ามาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในระบบราชการของฝรั่งเศส แต่กลับกีดกันไม่ให้ชาวกัมพูชาบางส่วนได้เข้าสู่ระบอบชนชั้นปกครองด้วย ทั้งยังนำชาวเวียดนามมาเป็นแรงงานทางด้านเกษตรกรรม ซึ่งสร้างความแค้นหมางใจลึกๆให้แก่ชาวนากัมพูชาเป็นอย่างมาก นโยบายใหม่ครั้งนี้สร้างความขุ่นเคืองให้แก่นักองค์ราชาวดีกษัตริย์กัมพูชา พระองค์ได้โต้แย้งและเตรียมส่งสาส์นร้องเรียนรัฐบาลฝรั่งเศสแต่พระองค์ต้องระงับการดังกล่าวไป เพราะข้าหลวงทอมสันได้นำหมู่เรือปืนเข้ามาทอดสมอริมพระราชวัง อีกทั้งยังบีบบังคับข่มขู่จนกษัตริย์กัมพูชาจำต้องลงพระนามาภิไธยรับรองนโยบายดังกล่าว เมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2427 .....
เครดิต ไทยวิกิพีเดีย
ติดตามต่อตอนไปครับ.....
กัมพูชา บูชากรรม ตอนที่ 5
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศกัมพูชาและนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด
ตอนที่ 5 ก่อการกำเริบ
กัมพูชา ในปีพุทธศักราช 2406 ดำรงตนอยู่ในฐานะรัฐอาณานิคมฝรั่งเศส ตามสนธิสัญญาอารักขาฝรั่งเศส-กัมพูชา ซึ่งจากผลของสนธิสัญญาดังกล่าวนั้น ก่อให้เกิดความเสียดุลระหว่างพื้นที่ปกครองเดิมของรัฐสยาม ซึ่งเดิมทีนั้นกัมพูชาเป็นรัฐในอารักขาระหว่างจักรวรรดิ์สยามและญวนมาก่อน ผลของสนธิสัญญาดังกล่าวจึงทำให้สยามต้องเสียดินแดนบางส่วนให้แก่ฝรั่งเศสไปเป็นครั้งแรก
ในช่วงแรกของการปกครองกัมพูชานั้น ฝรั่งเศสมิได้เข้าไปยุ่มย่ามเกี่ยวข้องกับกิจการภายในของกัมพูชามากนัก อีกทั้งฝรั่งเศสยังช่วยค้ำจุนราชสำนักกัมพูชาเสียด้วย ทั้งยังช่วยปราบกลุ่มกบฏต่างๆที่ก่อการกำเริบในกัมพูชา แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่แผนการให้เขมรตายใจเท่านั้นเอง ในขณะที่สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์(นักองค์ราชาวดี) กษัตริย์กัมพูชาในสมัยนั้นล่วงรู้ถึงแผนการร้ายๆของฝรั่งเศสและพระองค์เองยังมีทีท่าเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าอณานิคมด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ฝรั่งเศสก็จัดการแต่งตั้งพระสีสุวัตถ์ให้ดำรงสถานะเป็นพระมหาอุปราชกัมพูชาเสียเลย พระสีสุวัตถ์คือพระอนุชาของนักองค์ราชาวดี ซึ่งทั้งสองพระองค์นี้มีความหมางใจกันในเรื่องของการสืบทอดราชบัลลังก์กัมพูชา การนี้ก็เพื่อให้พระสีสุวัตถ์นั้นคอยถ่วงดุลอำนาจของกษัตริย์กัมพูชานั่นเอง จนกระทั่งฝรั่งเศสสามารถยึดเวียดนามได้เบ็ดเสร็จแล้ว จึงค่อยๆลิดรอนอำนาจของกษัตริย์กัมพูชามาเรื่อย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ภายหลังจากที่ฝรั่งเศสสามารถควบคุมเวียดนามได้เบ็ดเสร็จในช่วง พ.ศ.2426 และต่อมาในปี พ.ศ.2427 จึงมีความพยายามผนวกกัมพูชาให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน โดยแผนการเริ่มแรกนั้น ฝรั่งเศสได้ดำเนินนโยบายครั้งใหญ่ซึ่งเข้มงวดเพื่อพยายามเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ และระบบอันเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานภายในกัมพูชา โดยข้าหลวงทอมสันได้เสนอแผนการปรับปรุงการเก็บภาษี การตำรวจ การยกเลิกระบบทาสไพร่ ฯลฯ ซึ่งนั้นทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างมากในหมู่ชนชั้นปกครองชาวกัมพูชา อีกทั้งฝรั่งเศสยังนำชาวเวียดนามเข้ามาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในระบบราชการของฝรั่งเศส แต่กลับกีดกันไม่ให้ชาวกัมพูชาบางส่วนได้เข้าสู่ระบอบชนชั้นปกครองด้วย ทั้งยังนำชาวเวียดนามมาเป็นแรงงานทางด้านเกษตรกรรม ซึ่งสร้างความแค้นหมางใจลึกๆให้แก่ชาวนากัมพูชาเป็นอย่างมาก นโยบายใหม่ครั้งนี้สร้างความขุ่นเคืองให้แก่นักองค์ราชาวดีกษัตริย์กัมพูชา พระองค์ได้โต้แย้งและเตรียมส่งสาส์นร้องเรียนรัฐบาลฝรั่งเศสแต่พระองค์ต้องระงับการดังกล่าวไป เพราะข้าหลวงทอมสันได้นำหมู่เรือปืนเข้ามาทอดสมอริมพระราชวัง อีกทั้งยังบีบบังคับข่มขู่จนกษัตริย์กัมพูชาจำต้องลงพระนามาภิไธยรับรองนโยบายดังกล่าว เมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2427 .....
เครดิต ไทยวิกิพีเดีย
ติดตามต่อตอนไปครับ.....