วันก่อนเห็นกระทู้การบ้านเด็ก ครูให้เเต่งนิทาน เรื่องพริกขี้หนูกับมะเขือพวง ฟังดูเหมือนการบ้านเด็กประถม
เเต่คิดดูดีๆเเล้วมันน่าเอามาเขียนจริงๆนะ ผมก็เลยเขียนออกมาจนได้
พริกขี้หนูกับมะเขือพวง
"
สรรพสิ่งล้วนถูกขับเคลื่อน ด้วยความปรารถนาในเสถียรภาพ เหตุนั้นนำมาซึ่งการเเย่งชิงเพื่อดำรงอยู่ เหตุนั้นนำมาซึ่งการจัดอันดับ
สิ่งเหล่านี้ถือเป็นของขวัญจากพระผู้สร้าง ที่บรรจงออกแบบมาเพื่อให้ทุกชีวิต ได้พบกับรอยยิ้มเเละน้ำตา"
เช้าวันหนึ่ง ณ สวนผักหลังบ้าน ต้นมะเขือพวง กับ ต้นพริกขี้หนู ซึ่งถูกปลูกไว้ใกล้กัน เพื่อความสะดวกในการหยิบใช้ กำลังจะเริ่มถกประเด็นวิวาทะ ถึงความสำคัญของเผ่าพันธุ์ตนเอง ต่อมนุษยโลก
"แกน่ะ ต้นสูงใหญ่ ใช้เเร่ธาตุในดินมาก ลูกผลก็ไม่เป็นที่นิยม เปลืองเปล่านะ ว่ามั้ย" ต้นพริกขี้หนูเริ่มเปิดประเด็น ส่อเสียด เนื่องจากปมในใจ
ที่รูปร่างเล็กเตี้ย กว่า ต้นมะเขือพวง
"เอ้า เรื่องความใหญ่ยาว มันเป็นข้อได้เปรียบด้านสายพันธุ์ของข้า ให้ข้ามีความทนทานต่อการรุกรานของวัชพืช เเละศัตรูพืช ได้ดีกว่าแก แล้วข้าก็ยังไม่เห็นว่าในประเทศนี้ จะมีคนที่ไม่รู้จัก คำว่า มะเขือพวง" ต้นมะเขือพวง ตอบกลับ ด้วยใจที่พยายาม หาความสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
"หุ! ที่แกเป็นที่รู้จัก นั่นก็เพราะ ผลผลิตของแกติดไปกับข้าในเมนูน้ำพริกกะปิ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเมนูไม่กี่เมนู ที่จำเป็นต้องมีแก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ข้าว่าเเกน่าจะเข้าใจได้ดีอยู่เเล้วนะ"
"ทำไมเหรอ?" ต้นมะเขือพวงยังคงยึดติดในเหตุผล
"โง่จิ๊บ! แกลองคิดดูนะ ผลผลิตของข้าน่ะอยู่ในฐานะ เครื่องเทศยอดนิยม ถูกนำไปประกอบอาหารหลายประเภท ต้ม ผัด เเกง เเม้กระทั่งของทอด น้ำจิ้มยังมีพริกขี้หนูป่น แล้วดูผลผลิตของแกสิ อะไร ผักที่มักจะถูกเขี่ยไปอยู่ขอบจานเสมอ ถูกเทปนไปกับเศษอาหาร ขนาดเอาไปให้หมา หมายังเขี่ยเเกไว้ขอบราง มันน่ารันทดนะทิด"
"เเต่...เเต่ผลผลิตข้า ถูกนำไปเป็นวัตถุดิบ ของเมนูระดับโลก อย่างแกงเขียวหวานเชียวนะ" ต้นมะเขือพวงเริ่มเสียจุดยืน จนน้ำเสียงเเลดูสั่นเครือ
ต้นพริกขี้หนูเห็นเป็นจังหวะเหมาะ ที่จะโจมตีต่อ
"ไอ้น้องเอ้ย เดี๋ยวนี้ ร้านฟาสต์ฟู้ดเขาทำแกงเขียวหวานใส่ ถั่วลันเตาเเทนมะเขือพวงเเล้ว แถมถูกปากพวกเด็กๆซะด้วย ถั่วลันเตาน่ะ คุณค่าทางโภชนาการสูงกว่ามะเขือพวงอย่างเทียบไม่ได้ มีทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเตรด
ในด้านวิตามินเเละไฟเบอร์ ก็ไม่ได้เป็นรองเเกเลย เเล้วเรื่องรสชาติ เมื่อเทียบกับแกเเล้วเนี่ย หึหึ อย่าให้พูด เอาให้เคลียร์เลยคือ
ไม่ต้องมีแกเขาก็อยู่กันได้"
"เเต่ข้าโดดเด่นในเรื่องธาตุเหล็กนะ" ต้นมะเขือพวงกล่าว น้ำตาคลอ
"ธาตุเหล็กน่ะ หาง่าย มันก็เเค่มนุษย์คนนึง ไปพูดจากวนส้น***มนุษย์อีกคน เเค่นั้นก็ได้มาเเล้ว เเดงเต็มปากเลย"
"..!@#$22/7%*-*( E=MC
2. T-T ." ต้นมะเขือพวง จิตตกอย่างรุนเเรง เเม้จะพยายามเค้นโครโมโซมในทุกนิวเคลียส
ตั้งเเต่ปลายรากยันยอดอ่อน คิดหาเหตุผลเท่าไหร่ ก็ไม่พบซักเหตุผล ที่จะสนับสนุนถึง คุณค่าแห่งการมีชีวิตของตน เทพธิดาแห่งชัยชนะหันมายิ้ม
ให้ต้นพริกขี้หนูเต็มๆ ต้นพริกขี้หนูไม่รอช้าพุ่งไปรับโอกาสนี้ด้วยความเร็วเเสง ควักค้อนยักษ์ขนาดสิบตันออกมา พุ่งเข้าตอกฝาโลง
"ค่านิยมในการบริโภคผลผลิตที่ได้จากแกน่ะ นับวันยิ่งลดลง เมื่อเทียบกับตัวข้าเเล้ว ซึ่งมีเเนวโน้มเพิ่มขึ้นตาม การปรับเปลี่ยนผสานวัฒนธรรม
รู้จัก โบโลน่าพริกหมูมั้ย ไก่จ้อพริกสดล่ะ แม้เเต่เเคปไซซิน ที่ได้จากผลของข้า ก็ยังถูกนำไปสลายไขมัน ให้หนุ่มสาวทรงพญาปลวก นั่นแหละหลักฐาน
ที่บ่งบอกว่าข้าน่ะ มีอนาคต
เทคโนโลยีทางอาหารเจริญก้าวหน้าไป และข้าจะเดินไปกับมัน เเล้วแกล่ะ ดูแกซี่ มะเขือพวงที่รสชาติขมขื่น กลิ่นก็เหม็นเขียว เอาไปใส่ไส้กรอกก็ไม่ได้
ใส่สลัดก็แทบอ้วก สิ่งที่แกควรจะต้องทำคือ ทำใจยอมรับความจริง ว่าไม่มีช่องว่างในอนาคตให้แกเลย ในวันหนึ่ง แกจะถูกจัดให้เป็นวัชพืช
ขึ้นที่ไหนก็ถูกเด็ดทิ้ง"
'ขึ้นที่ไหนก็ถูกเด็ดทิ้ง'
'ขึ้นที่ไหนก็ถูกเด็ดทิ้ง'
'ขึ้นที่ไหนก็ถูกเด็ดทิ้ง'
มันช่างเป็นคำพูดที่หลอกหลอน ฝังรากลึกในจิตใจ ของต้นมะเขือพวงเสียจริง เเสงอรุณยามเช้าสาดส่องปะทะ หยดน้ำที่เกาะตามใบต้นมะเขือพวง
ดูระยับสวยงาม หากแต่นั่นไม่ใช่หยดน้ำค้าง เเต่เป็นหยดน้ำตาที่หลั่งรินมาต้อนรับอรุณเเรกเเย้ม
"ทำไม...ต้องเป็นเรา ทำไมเราไม่เกิดเป็นต้นถั่วลันเตา ทำไมผลผลิตเราไม่มีโปรตีน ทำไมผลผลิตเราไม่อร่อย ทำไมฯลฯ"
ในช่วงเวลาเเค่พริบตา หมื่นพันคำถามผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของต้นมะเขือพวง
มันบีบคั้นให้เขา ร้อนรนจนเเทบลุกไหม้ เขาไม่สามารถหาเหตุผลที่ทำให้ตัวเองควรมีชีวิตอยู่ได้เลย
ไม่มีเลยเเม้เเต่วลีเดียว
เเละเเล้วความทรมานก็เดินผ่านมาถึงปลายทาง เมื่อต้นมะเขือพวงเเสดงเจตนารมณ์ต่อต้านโชคชะตา
'อยู่ไปก็ไลฟ์บอย เฮ่ย! {=_=} อยู่ไปก็หาความสำคัญไม่ได้ เรามันก็เเค่ฟันเฟืองบิ่น เข้าไม่ได้กับกลไก'
จากนั้นเป็นต้นมา ใบมะเขือพวงที่เคยมีเต็มต้น ก็ทยอยร่วงหล่น ทีละใบสองใบ ไม่มีการดูดซึมน้ำ
ไม่มีการดูดซับไนเตรท ไม่มีการสังเคราะห์ แป้งเเละน้ำตาล
เวลาเเละมายาคติได้กัดกินชีวิตของต้นมะเขือพวง จนถึงวาระสุดท้าย สัญญาณชีพเริ่มแผ่วลง แผ่วลง ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมจิตทัศน์
จนไม่เหลือเเสงสว่างใดเลย
เเต่เเล้ว จะเรียกว่าปาฏิหาริย์ หรือเป็นเพราะเจตนารมณ์ อันเเน่วเเน่ของต้นมะเขือพวง ที่หนักเเน่น จนสั่นสะเทือนกึกก้องกัมปนาท ไปถึงเบื้องบน
ในดวงจิตที่ถูกสัญญาณมรณะมืดดำปกคลุม ได้มีเเสงสีทองฉายส่องมา อบอุ่นเเละน่าหลงใหล ต้นมะเขือพวง รู้สึกได้ชัดเจนว่าเขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของมันมาก่อน
"ไฮ เบ๊บ อันตรกิริยาใด ที่ทำให้เจ้า น้อยใจตัดพ้อตัวเองได้เช่นนี้" เสียงพูดนุ่มนวล ดังมาจากจุดกำเนิดเเสงสีทอง
".........." ต้นมะเขือพวงไม่ตอบ เพราะเขาคิดว่าผู้ที่ถามนั้น หากไม่ รู้อยู่เเล้ว จะปรากฏตัวมาถาม เพื่ออะไร ในสถานการณ์เช่นนี้
"เอาเถอะ เจ้าไม่ตอบข้า เพราะเจ้าคิดว่า ผู้ที่ถามนั้น หากไม่ รู้อยู่เเล้ว จะปรากฏตัวมาถาม เพื่ออะไร ในสถานการณ์เช่นนี้
ไม่เป็นไร เเต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจ ไอ้ลูกชายเอ๋ย ที่ข้าออกแบบสร้างเจ้ามาให้เป็นต้นมะเขือพวงนั้น ไม่ใช่เพราะข้าแกล้งเจ้า ไม่ใช่เพราะข้าสนุกที่เห็นเจ้าทรมาน ข้าสร้างความลับไว้มากมายเพื่อเป็นเเรงบันดาลใจ ให้สิ่งมีชีวิตได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต ดังนั้นข้าไม่สามารถบอก ความลับแห่งอนาคตแก่เจ้าได้ ข้าพูดได้เเต่เพียงว่า ความทุกข์ที่เกิดเเก่ใจเจ้านั้น มันไม่ได้มาจากสิ่งที่ทำให้เจ้าเป็นทุกข์ เเต่มันมาจากมุมมอง
ที่เจ้าเลือกตัดสินมันต่างหาก"
ต้นมะเขือพวงนิ่งฟังเเละตั้งใจคิด เเต่เขาก็ยังเลือกที่จะไม่พูด เพราะเขาคิดว่า ผู้ที่ถามนั้น หากไม่ รู้อยู่เเล้ว จะปรากฏตัวมาถาม เพื่ออะไร
ในสถานการณ์เช่นนี้ เเต่ด้วยความอยากรู้ที่มีมาก ครู่หนึ่งเขาจึงถามกลับไป จนได้
"ท่านจะให้ข้าทนอยู่ต่อไปทั้งๆที่รู้ว่าตัวข้าไร้ประโยชน์งั้นหรือ"
"ฮ่ะๆๆ เจ้าต้นไม้โง่ ไม่มีสิ่งใดไร้ประโยชน์หรอกลูกเอ๋ย ทุกสิ่งถูกสร้างมาให้ร้อยเชื่อมกัน ไม่มีสิ่งใดที่อยู่อย่างเดียวดายหรอก พวกเขาต้องสนับสนุนกัน พึ่งพาอาศัยกัน เสริมจุดอ่อนด้วยจุดเเข็งของกันเเละกัน อันดับหนึ่งนั้นมีค่าอะไรเล่า หากไม่มีอันดับสุดท้าย ในสังคมมนุษย์ก็มีบางพวกที่ ถูกสังคมประเมินว่าต่ำต้อย เป็นพวกกรรมาชีพ แต่ดูเถิด ถึงเเม้สังคมจะมีค่านิยมที่ดูถูกพวกเขา เเต่สังคมมนุษย์ก็ขาดพวกเขาไม่ได้ ถ้าหากเเม้เเต่พวกเขายังดูถูกในความต่ำต้อยของตัวเอง พวกเขาก็จะไม่มีวันหลุดพ้นจากคำว่าต่ำต้อยไปได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่พวกเขาเคารพในความต่ำต้อยของตัวเอง
เคารพในหน้าที่การงาน เเละทำมันอย่างเต็มที่ ในวันหนึ่งสังคมจะยกย่องพวกเขา
ตัวเจ้าเองก็เช่นกัน ซักวันมนุษย์อาจเห็นคุณค่าของเจ้า เพราะมันเป็นความต้องการ ที่พวกเขาไม่เคยรู้ว่าต้องการ สองพันปีก่อน พวกเขาเคยรู้หรือ
ว่าต้องการผลของเจ้ามาใส่น้ำพริกกะปิ หึ ไม่! พวกเขาไม่มีวันรู้หรอกว่าพวกเขาต้องการอะไร กับเรื่องที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น เหมือนกับที่พวกเขาไม่เคยรู้ว่า ต้องการอะไรจากเจ้าในวันพรุ่งนี้ พวกเขาไม่ผิด ที่ยังยึดติดกับทัศนะคติเดิมๆ เเต่เจ้าน่ะผิด ที่ไม่คิดทำอะไรซักอย่าง เพราะมันเป็นหน้าที่ของเจ้า ที่ต้องเปลี่ยนเเละให้ ให้พวกเขาได้เห็นว่าตัวเจ้ามีประโยชน์ มากกว่าที่พวกเขาคิด เเละกับชีวิตเมื่อเจ้าต้องการในสิ่งที่ไม่เคยมี
เจ้าก็ต้องเริ่มทำในสิ่งที่ ไม่เคยทำ "
"TMB" ต้นมะเขือพวง พูดด้วยน้ำเสียงเเสดงความทึ่ง
"ใช่เเล้ว เมก เดอะ ดริฟเฟรนซ์ ซะ"
จบสิ้นบทสนทนาให้ห้วงจิต ความมืดค่อยๆ จางหายไป ต้นมะเขือพวงกลับมามีชีวิตอีกครั้ง พร้อมทัศนคติใหม่ เขาเอาชนะมายาคติอันเลวร้ายลงได้
เขาคือสายพันธุ์ที่เเข็งแกร่งอย่างเเท้จริง
'ข้าจะขอรอ ข้าจะสืบทอดปณิธานให้เเก่ลูกหลาน เพื่อรอ รอวันที่มนุษย์หันมามอง อย่างลึกซึ้งในคุณค่าของพวกเรา'
นิทานสำหรับเด็ก(แอบโขมยคอนเซ็ปต์การบ้าน) พริกขี้หนู กับ มะเขือพวง >ดราม่ากับความฮาก็ไปด้วยกันได้นะ
เเต่คิดดูดีๆเเล้วมันน่าเอามาเขียนจริงๆนะ ผมก็เลยเขียนออกมาจนได้
"สรรพสิ่งล้วนถูกขับเคลื่อน ด้วยความปรารถนาในเสถียรภาพ เหตุนั้นนำมาซึ่งการเเย่งชิงเพื่อดำรงอยู่ เหตุนั้นนำมาซึ่งการจัดอันดับ
สิ่งเหล่านี้ถือเป็นของขวัญจากพระผู้สร้าง ที่บรรจงออกแบบมาเพื่อให้ทุกชีวิต ได้พบกับรอยยิ้มเเละน้ำตา"
เช้าวันหนึ่ง ณ สวนผักหลังบ้าน ต้นมะเขือพวง กับ ต้นพริกขี้หนู ซึ่งถูกปลูกไว้ใกล้กัน เพื่อความสะดวกในการหยิบใช้ กำลังจะเริ่มถกประเด็นวิวาทะ ถึงความสำคัญของเผ่าพันธุ์ตนเอง ต่อมนุษยโลก
"แกน่ะ ต้นสูงใหญ่ ใช้เเร่ธาตุในดินมาก ลูกผลก็ไม่เป็นที่นิยม เปลืองเปล่านะ ว่ามั้ย" ต้นพริกขี้หนูเริ่มเปิดประเด็น ส่อเสียด เนื่องจากปมในใจ
ที่รูปร่างเล็กเตี้ย กว่า ต้นมะเขือพวง
"เอ้า เรื่องความใหญ่ยาว มันเป็นข้อได้เปรียบด้านสายพันธุ์ของข้า ให้ข้ามีความทนทานต่อการรุกรานของวัชพืช เเละศัตรูพืช ได้ดีกว่าแก แล้วข้าก็ยังไม่เห็นว่าในประเทศนี้ จะมีคนที่ไม่รู้จัก คำว่า มะเขือพวง" ต้นมะเขือพวง ตอบกลับ ด้วยใจที่พยายาม หาความสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
"หุ! ที่แกเป็นที่รู้จัก นั่นก็เพราะ ผลผลิตของแกติดไปกับข้าในเมนูน้ำพริกกะปิ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเมนูไม่กี่เมนู ที่จำเป็นต้องมีแก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ข้าว่าเเกน่าจะเข้าใจได้ดีอยู่เเล้วนะ"
"ทำไมเหรอ?" ต้นมะเขือพวงยังคงยึดติดในเหตุผล
"โง่จิ๊บ! แกลองคิดดูนะ ผลผลิตของข้าน่ะอยู่ในฐานะ เครื่องเทศยอดนิยม ถูกนำไปประกอบอาหารหลายประเภท ต้ม ผัด เเกง เเม้กระทั่งของทอด น้ำจิ้มยังมีพริกขี้หนูป่น แล้วดูผลผลิตของแกสิ อะไร ผักที่มักจะถูกเขี่ยไปอยู่ขอบจานเสมอ ถูกเทปนไปกับเศษอาหาร ขนาดเอาไปให้หมา หมายังเขี่ยเเกไว้ขอบราง มันน่ารันทดนะทิด"
"เเต่...เเต่ผลผลิตข้า ถูกนำไปเป็นวัตถุดิบ ของเมนูระดับโลก อย่างแกงเขียวหวานเชียวนะ" ต้นมะเขือพวงเริ่มเสียจุดยืน จนน้ำเสียงเเลดูสั่นเครือ
ต้นพริกขี้หนูเห็นเป็นจังหวะเหมาะ ที่จะโจมตีต่อ
"ไอ้น้องเอ้ย เดี๋ยวนี้ ร้านฟาสต์ฟู้ดเขาทำแกงเขียวหวานใส่ ถั่วลันเตาเเทนมะเขือพวงเเล้ว แถมถูกปากพวกเด็กๆซะด้วย ถั่วลันเตาน่ะ คุณค่าทางโภชนาการสูงกว่ามะเขือพวงอย่างเทียบไม่ได้ มีทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเตรด
ในด้านวิตามินเเละไฟเบอร์ ก็ไม่ได้เป็นรองเเกเลย เเล้วเรื่องรสชาติ เมื่อเทียบกับแกเเล้วเนี่ย หึหึ อย่าให้พูด เอาให้เคลียร์เลยคือ
ไม่ต้องมีแกเขาก็อยู่กันได้"
"เเต่ข้าโดดเด่นในเรื่องธาตุเหล็กนะ" ต้นมะเขือพวงกล่าว น้ำตาคลอ
"ธาตุเหล็กน่ะ หาง่าย มันก็เเค่มนุษย์คนนึง ไปพูดจากวนส้น***มนุษย์อีกคน เเค่นั้นก็ได้มาเเล้ว เเดงเต็มปากเลย"
"..!@#$22/7%*-*( E=MC2. T-T ." ต้นมะเขือพวง จิตตกอย่างรุนเเรง เเม้จะพยายามเค้นโครโมโซมในทุกนิวเคลียส
ตั้งเเต่ปลายรากยันยอดอ่อน คิดหาเหตุผลเท่าไหร่ ก็ไม่พบซักเหตุผล ที่จะสนับสนุนถึง คุณค่าแห่งการมีชีวิตของตน เทพธิดาแห่งชัยชนะหันมายิ้ม
ให้ต้นพริกขี้หนูเต็มๆ ต้นพริกขี้หนูไม่รอช้าพุ่งไปรับโอกาสนี้ด้วยความเร็วเเสง ควักค้อนยักษ์ขนาดสิบตันออกมา พุ่งเข้าตอกฝาโลง
"ค่านิยมในการบริโภคผลผลิตที่ได้จากแกน่ะ นับวันยิ่งลดลง เมื่อเทียบกับตัวข้าเเล้ว ซึ่งมีเเนวโน้มเพิ่มขึ้นตาม การปรับเปลี่ยนผสานวัฒนธรรม
รู้จัก โบโลน่าพริกหมูมั้ย ไก่จ้อพริกสดล่ะ แม้เเต่เเคปไซซิน ที่ได้จากผลของข้า ก็ยังถูกนำไปสลายไขมัน ให้หนุ่มสาวทรงพญาปลวก นั่นแหละหลักฐาน
ที่บ่งบอกว่าข้าน่ะ มีอนาคต
เทคโนโลยีทางอาหารเจริญก้าวหน้าไป และข้าจะเดินไปกับมัน เเล้วแกล่ะ ดูแกซี่ มะเขือพวงที่รสชาติขมขื่น กลิ่นก็เหม็นเขียว เอาไปใส่ไส้กรอกก็ไม่ได้
ใส่สลัดก็แทบอ้วก สิ่งที่แกควรจะต้องทำคือ ทำใจยอมรับความจริง ว่าไม่มีช่องว่างในอนาคตให้แกเลย ในวันหนึ่ง แกจะถูกจัดให้เป็นวัชพืช
ขึ้นที่ไหนก็ถูกเด็ดทิ้ง"
'ขึ้นที่ไหนก็ถูกเด็ดทิ้ง'
'ขึ้นที่ไหนก็ถูกเด็ดทิ้ง'
'ขึ้นที่ไหนก็ถูกเด็ดทิ้ง'
มันช่างเป็นคำพูดที่หลอกหลอน ฝังรากลึกในจิตใจ ของต้นมะเขือพวงเสียจริง เเสงอรุณยามเช้าสาดส่องปะทะ หยดน้ำที่เกาะตามใบต้นมะเขือพวง
ดูระยับสวยงาม หากแต่นั่นไม่ใช่หยดน้ำค้าง เเต่เป็นหยดน้ำตาที่หลั่งรินมาต้อนรับอรุณเเรกเเย้ม
"ทำไม...ต้องเป็นเรา ทำไมเราไม่เกิดเป็นต้นถั่วลันเตา ทำไมผลผลิตเราไม่มีโปรตีน ทำไมผลผลิตเราไม่อร่อย ทำไมฯลฯ"
ในช่วงเวลาเเค่พริบตา หมื่นพันคำถามผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของต้นมะเขือพวง
มันบีบคั้นให้เขา ร้อนรนจนเเทบลุกไหม้ เขาไม่สามารถหาเหตุผลที่ทำให้ตัวเองควรมีชีวิตอยู่ได้เลย
ไม่มีเลยเเม้เเต่วลีเดียว
เเละเเล้วความทรมานก็เดินผ่านมาถึงปลายทาง เมื่อต้นมะเขือพวงเเสดงเจตนารมณ์ต่อต้านโชคชะตา
'อยู่ไปก็ไลฟ์บอย เฮ่ย! {=_=} อยู่ไปก็หาความสำคัญไม่ได้ เรามันก็เเค่ฟันเฟืองบิ่น เข้าไม่ได้กับกลไก'
จากนั้นเป็นต้นมา ใบมะเขือพวงที่เคยมีเต็มต้น ก็ทยอยร่วงหล่น ทีละใบสองใบ ไม่มีการดูดซึมน้ำ
ไม่มีการดูดซับไนเตรท ไม่มีการสังเคราะห์ แป้งเเละน้ำตาล
เวลาเเละมายาคติได้กัดกินชีวิตของต้นมะเขือพวง จนถึงวาระสุดท้าย สัญญาณชีพเริ่มแผ่วลง แผ่วลง ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมจิตทัศน์
จนไม่เหลือเเสงสว่างใดเลย
เเต่เเล้ว จะเรียกว่าปาฏิหาริย์ หรือเป็นเพราะเจตนารมณ์ อันเเน่วเเน่ของต้นมะเขือพวง ที่หนักเเน่น จนสั่นสะเทือนกึกก้องกัมปนาท ไปถึงเบื้องบน
ในดวงจิตที่ถูกสัญญาณมรณะมืดดำปกคลุม ได้มีเเสงสีทองฉายส่องมา อบอุ่นเเละน่าหลงใหล ต้นมะเขือพวง รู้สึกได้ชัดเจนว่าเขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของมันมาก่อน
"ไฮ เบ๊บ อันตรกิริยาใด ที่ทำให้เจ้า น้อยใจตัดพ้อตัวเองได้เช่นนี้" เสียงพูดนุ่มนวล ดังมาจากจุดกำเนิดเเสงสีทอง
".........." ต้นมะเขือพวงไม่ตอบ เพราะเขาคิดว่าผู้ที่ถามนั้น หากไม่ รู้อยู่เเล้ว จะปรากฏตัวมาถาม เพื่ออะไร ในสถานการณ์เช่นนี้
"เอาเถอะ เจ้าไม่ตอบข้า เพราะเจ้าคิดว่า ผู้ที่ถามนั้น หากไม่ รู้อยู่เเล้ว จะปรากฏตัวมาถาม เพื่ออะไร ในสถานการณ์เช่นนี้
ไม่เป็นไร เเต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจ ไอ้ลูกชายเอ๋ย ที่ข้าออกแบบสร้างเจ้ามาให้เป็นต้นมะเขือพวงนั้น ไม่ใช่เพราะข้าแกล้งเจ้า ไม่ใช่เพราะข้าสนุกที่เห็นเจ้าทรมาน ข้าสร้างความลับไว้มากมายเพื่อเป็นเเรงบันดาลใจ ให้สิ่งมีชีวิตได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต ดังนั้นข้าไม่สามารถบอก ความลับแห่งอนาคตแก่เจ้าได้ ข้าพูดได้เเต่เพียงว่า ความทุกข์ที่เกิดเเก่ใจเจ้านั้น มันไม่ได้มาจากสิ่งที่ทำให้เจ้าเป็นทุกข์ เเต่มันมาจากมุมมอง
ที่เจ้าเลือกตัดสินมันต่างหาก"
ต้นมะเขือพวงนิ่งฟังเเละตั้งใจคิด เเต่เขาก็ยังเลือกที่จะไม่พูด เพราะเขาคิดว่า ผู้ที่ถามนั้น หากไม่ รู้อยู่เเล้ว จะปรากฏตัวมาถาม เพื่ออะไร
ในสถานการณ์เช่นนี้ เเต่ด้วยความอยากรู้ที่มีมาก ครู่หนึ่งเขาจึงถามกลับไป จนได้
"ท่านจะให้ข้าทนอยู่ต่อไปทั้งๆที่รู้ว่าตัวข้าไร้ประโยชน์งั้นหรือ"
"ฮ่ะๆๆ เจ้าต้นไม้โง่ ไม่มีสิ่งใดไร้ประโยชน์หรอกลูกเอ๋ย ทุกสิ่งถูกสร้างมาให้ร้อยเชื่อมกัน ไม่มีสิ่งใดที่อยู่อย่างเดียวดายหรอก พวกเขาต้องสนับสนุนกัน พึ่งพาอาศัยกัน เสริมจุดอ่อนด้วยจุดเเข็งของกันเเละกัน อันดับหนึ่งนั้นมีค่าอะไรเล่า หากไม่มีอันดับสุดท้าย ในสังคมมนุษย์ก็มีบางพวกที่ ถูกสังคมประเมินว่าต่ำต้อย เป็นพวกกรรมาชีพ แต่ดูเถิด ถึงเเม้สังคมจะมีค่านิยมที่ดูถูกพวกเขา เเต่สังคมมนุษย์ก็ขาดพวกเขาไม่ได้ ถ้าหากเเม้เเต่พวกเขายังดูถูกในความต่ำต้อยของตัวเอง พวกเขาก็จะไม่มีวันหลุดพ้นจากคำว่าต่ำต้อยไปได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่พวกเขาเคารพในความต่ำต้อยของตัวเอง
เคารพในหน้าที่การงาน เเละทำมันอย่างเต็มที่ ในวันหนึ่งสังคมจะยกย่องพวกเขา
ตัวเจ้าเองก็เช่นกัน ซักวันมนุษย์อาจเห็นคุณค่าของเจ้า เพราะมันเป็นความต้องการ ที่พวกเขาไม่เคยรู้ว่าต้องการ สองพันปีก่อน พวกเขาเคยรู้หรือ
ว่าต้องการผลของเจ้ามาใส่น้ำพริกกะปิ หึ ไม่! พวกเขาไม่มีวันรู้หรอกว่าพวกเขาต้องการอะไร กับเรื่องที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น เหมือนกับที่พวกเขาไม่เคยรู้ว่า ต้องการอะไรจากเจ้าในวันพรุ่งนี้ พวกเขาไม่ผิด ที่ยังยึดติดกับทัศนะคติเดิมๆ เเต่เจ้าน่ะผิด ที่ไม่คิดทำอะไรซักอย่าง เพราะมันเป็นหน้าที่ของเจ้า ที่ต้องเปลี่ยนเเละให้ ให้พวกเขาได้เห็นว่าตัวเจ้ามีประโยชน์ มากกว่าที่พวกเขาคิด เเละกับชีวิตเมื่อเจ้าต้องการในสิ่งที่ไม่เคยมี
เจ้าก็ต้องเริ่มทำในสิ่งที่ ไม่เคยทำ "
"TMB" ต้นมะเขือพวง พูดด้วยน้ำเสียงเเสดงความทึ่ง
"ใช่เเล้ว เมก เดอะ ดริฟเฟรนซ์ ซะ"
จบสิ้นบทสนทนาให้ห้วงจิต ความมืดค่อยๆ จางหายไป ต้นมะเขือพวงกลับมามีชีวิตอีกครั้ง พร้อมทัศนคติใหม่ เขาเอาชนะมายาคติอันเลวร้ายลงได้
เขาคือสายพันธุ์ที่เเข็งแกร่งอย่างเเท้จริง
'ข้าจะขอรอ ข้าจะสืบทอดปณิธานให้เเก่ลูกหลาน เพื่อรอ รอวันที่มนุษย์หันมามอง อย่างลึกซึ้งในคุณค่าของพวกเรา'