การพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รักเป็นความทุกข์ ซึ่งการพลัดพรากก็คือการจากกันไป ถ้าพลัดพรากจากคนที่ไม่รักก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าพลัดพรากจากคนที่เรารัก เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ เพื่อน ลูก สามี (หรือภรรยา) หรือคนที่เรานับถือหรือชื่นชอบนั้นได้พลัดพรากจากเราไป ไม่ว่าจะแบบยังมีชีวิตอยู่หรือตายจากกันก็ตาม ก็ย่อมที่จะทำให้เราเกิดความเศร้าโศกหรือเสียใจอย่างยิ่งขึ้นมาทันที ส่วนสิ่งอันเป็นที่รักนั้นก็ได้แก่วัตถุสิ่งของ เช่น เงิน บ้าน รถยนต์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น และเกียรติยศชื่อเสียง อันได้แก่ชื่อเสียง ความเด่น ดัง อำนาจ ซึ่งสรุปก็คือ การพลัดพรากจากความสุขที่เคยมีนั่นเอง
ตามธรรมชาติของบุคคลและสิ่งภายนอกทั้งหลายนั้น เมื่อมีพบก็ต้องมีจาก เมื่อมีได้ก็ต้องมีเสีย คือเมื่อพบหรือได้มา ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องจากหรือเสียไป ไม่มีการพบที่ไม่จาก ไม่มีการได้ที่ไม่เสีย และเมื่อเราต้องพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งที่เรารักหรือชอบใจไป ก็เป็นที่แน่นอนว่าจิตใจของเราย่อมเกิดความเสียใจ ที่เรียกว่าความทุกข์ขึ้นมาทันที
ความทุกข์จากการพลัดพรากนี้มันเป็นความทุกข์ที่มีสาเหตุมาจาก ความยึดถือ (อุปาทาน) ในบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รัก คือเราไปยึดถือว่ามีตัวตนบุคคลที่เรารักอยู่จริงๆ หรือยึดถือว่ามีสิ่งของที่เรารักอยู่จริงๆ และเมื่อสิ่งที่เรายึดถือไว้นั้นได้พลัดพรากจากเราไป จึงทำให้เราเกิดความเสียใจขึ้นมาทันที
แต่ถ้าเราไม่มีความยึดถือ (คือไม่มีอุปาทาน) ในบุคคลหรือสิ่งทั้งหลายที่มาเกี่ยวข้องกับเราเสียแล้ว แม้บุคคลหรือสิ่งทั้งหลายนั้นจะพลัดพรากจากเราไป จิตใจของเราก็จะไม่มีความเสียใจใดๆ ซึ่งหลักอริยมรรค (คือสรุปย่อลงเป็นปัญญา ศีล สมาธิ) ของอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้านี่เอง ที่จะช่วยให้จิตใจของเราหลุดพ้นจากความทุกข์เพราะการพลัดพรากนี้ได้
ส่วนคนที่ไม่เข้าใจหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องก็จะเข้าใจผิดไปว่า เมื่อเราเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องมาพบกับการพลัดพรากเป็นของธรรมดา ไม่สามารถหนีพ้นได้ อีกทั้งยังเข้าใจผิดต่อไปอีกว่า หลักอริยมรรคของอริยสัจ ๔ นั้นเป็นวิธีการปฏิบัติเพื่อที่จะได้ไม่เกิดร่างกายและจิตใจขึ้นมาอีก เมื่อไม่เกิดขึ้นมาก็จะไม่มีการพลัดพราก เมื่อไม่มีการพลัดพราก็จะไม่มีความทุกข์ ดังนั้นคนที่ไม่เข้าใจ (หรือเข้าใจผิดหรือมีมิจฉาทิฏฐิ) นี้ จึงต้องทนทุกข์เพราะเรื่องการพลัดพรากนี้กันต่อไปทั้งชีวิตจนตายด้วยความโง่เขลาของเขาเอง
พลัดพรากอย่างไรไม่เป็นความทุกข์
ตามธรรมชาติของบุคคลและสิ่งภายนอกทั้งหลายนั้น เมื่อมีพบก็ต้องมีจาก เมื่อมีได้ก็ต้องมีเสีย คือเมื่อพบหรือได้มา ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องจากหรือเสียไป ไม่มีการพบที่ไม่จาก ไม่มีการได้ที่ไม่เสีย และเมื่อเราต้องพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งที่เรารักหรือชอบใจไป ก็เป็นที่แน่นอนว่าจิตใจของเราย่อมเกิดความเสียใจ ที่เรียกว่าความทุกข์ขึ้นมาทันที
ความทุกข์จากการพลัดพรากนี้มันเป็นความทุกข์ที่มีสาเหตุมาจาก ความยึดถือ (อุปาทาน) ในบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รัก คือเราไปยึดถือว่ามีตัวตนบุคคลที่เรารักอยู่จริงๆ หรือยึดถือว่ามีสิ่งของที่เรารักอยู่จริงๆ และเมื่อสิ่งที่เรายึดถือไว้นั้นได้พลัดพรากจากเราไป จึงทำให้เราเกิดความเสียใจขึ้นมาทันที
แต่ถ้าเราไม่มีความยึดถือ (คือไม่มีอุปาทาน) ในบุคคลหรือสิ่งทั้งหลายที่มาเกี่ยวข้องกับเราเสียแล้ว แม้บุคคลหรือสิ่งทั้งหลายนั้นจะพลัดพรากจากเราไป จิตใจของเราก็จะไม่มีความเสียใจใดๆ ซึ่งหลักอริยมรรค (คือสรุปย่อลงเป็นปัญญา ศีล สมาธิ) ของอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้านี่เอง ที่จะช่วยให้จิตใจของเราหลุดพ้นจากความทุกข์เพราะการพลัดพรากนี้ได้
ส่วนคนที่ไม่เข้าใจหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องก็จะเข้าใจผิดไปว่า เมื่อเราเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องมาพบกับการพลัดพรากเป็นของธรรมดา ไม่สามารถหนีพ้นได้ อีกทั้งยังเข้าใจผิดต่อไปอีกว่า หลักอริยมรรคของอริยสัจ ๔ นั้นเป็นวิธีการปฏิบัติเพื่อที่จะได้ไม่เกิดร่างกายและจิตใจขึ้นมาอีก เมื่อไม่เกิดขึ้นมาก็จะไม่มีการพลัดพราก เมื่อไม่มีการพลัดพราก็จะไม่มีความทุกข์ ดังนั้นคนที่ไม่เข้าใจ (หรือเข้าใจผิดหรือมีมิจฉาทิฏฐิ) นี้ จึงต้องทนทุกข์เพราะเรื่องการพลัดพรากนี้กันต่อไปทั้งชีวิตจนตายด้วยความโง่เขลาของเขาเอง