Torm Adventure: บุกป่าดงดิบภูเขาไฟ ตามหากอริลล่าภูเขาในรวันดาและยูกันดา ตอนที่ 6 ณ อุทยานป่าดงดิบ Bwindi Impenetrable

Bwindi Impenetrable National Park (อุทยานแห่งชาติบวินดี้ที่ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้) แค่ชื่อก็แสดงความดิบทึบและสร้างความตื่นเต้นได้เป็นอย่างมาก ป่านี้อยู่ที่ความสูงประมาณ 1800-2400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ต่ำกว่าป่าดงดิบในรวันดา ทำให้ต้นไม้ขึ้นได้ทึบยิ่งกว่าป่าในที่สูง 2500-4500 เมตรอย่างในรวันดา ที่ Bwindi มองไปที่ไหนก็เขียวไปหมด ยามเช้าหมอกลงจัด แสงแดดพยายามสาดส่องแต่ไม่สามารถลงถึงพื้นดินได้อย่างเต็มที่ บรรยากาศสร้างความขลังให้กับการผจญภัยในวันนี้เป็นอย่างยิ่ง

เริ่มวันคล้ายคลึงกับการเดินป่าแกะรอยดูกอริลล่าที่ผ่านมา ตื่นตี 5 ครึ่งซึ่งเป็นเวลาที่เครื่องปั่นไฟของโรงแรมเริ่มทำงานพอดี มีไฟและน้ำร้อนให้อาบน้ำแต่งตัว อาหารเช้าเสิร์ฟขนมปังไข่แฮมเบคอนตามสั่ง โรงแรมจัดอาหารกลางวันใส่ถุงให้ด้วย มีแซนวิชทูน่า น้ำส้มกล่อง เค้กผลไม้ และกล้วยหอม เริ่มออกเดินทาง 6.45 ฟ้ายังไม่สว่างเท่าไหร่ อากาศเย็นชื้นจัด รถพาเราขึ้นเหนือบนทางลูกรังเลาะไปตามเขา ออกจากบริเวณทะเลสาบขึ้นไปที่อุทยาน Bwindi Impenetrable ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

สำนักงานอุทยานแห่งชาติ Bwindi Impenetrable ไม่ได้ตั้งอยู่ริมถนนที่มีสนามเขียวและการแสดงอย่างในรวันดา ที่นี่ดิบกว่ามาก จากที่จอดรถไปที่สำนักงานต้องเดินขึ้นประมาณ 700 เมตรบนทางดินที่ปกคลุมด้วยต้นไม้สูงใหญ่หลายคนโอบ ข้างบนมีศาลาเล็ก 3 หลัง เป็นที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ลงทะเบียน สำหรับนักท่องเที่ยวนั่งรอ และห้องน้ำ เจ้าหน้าที่บรรยายเกี่ยวกับการไปดูกอริลล่าและแบ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวออกกลุ่มละ 7 คน

เราได้กลุ่มครอบครัวกอริลล่าชื่อ Kanhunje มีจำนวนสมาชิก 18 ตัว ซึ่งเป็นครอบครัวกอริลล่าที่ใหญ่ที่สุดของฝั่งยูกันดา และมีความพิเศษเพราะมี silverback ถึง 3 ตัว ไกด์นายพรานนั่งรถกับเราไปที่ trailhead ซึ่งห่างไปทางใต้ 45 นาที เริ่มออกเดินขึ้นเขาบนทางลูกรังที่มีแต่หินก้อนใหญ่ การเดินไป trailhead นี้เป็นการเดินที่หนักที่สุดของการเดินไป trailhead ในทริบนี้ คือต้องขึ้นจากจุดที่จอดรถซึ่งสูง 1900 เมตร ไปที่ความสูง 2345 เมตร ใช้เวลาเดินเพียง 45 นาทีโดยไม่หยุดเลย จากอากาศที่เย็นเมื่อเช้า เมื่อแดดออกเต็มที่ ประกอบกับการเดินขึ้นที่สูง ทำให้ร้อนเหงื่อพลั่ก ที่พูดกันว่ายูกันดาขึ้นชื่อว่า หนทางไปดูกอริลล่าต้องเดินไกลว่าในรวันดามากนั้นเป็นความจริงตั้งแต่เริ่มต้น เพราะแค่เดินจากที่จอดรถไป trailhead ก็แทบหมดแรง มองลงไปด้านล่างเห็นหมู่บ้านเป็นกลุ่มเพิงหลังคามุงจากอยู่ลิบๆ ล้อมรอบไปด้วยไร่นาเขียวอยู่เต็มหุบเขา เราขึ้นมาสูงทีเดียว

เมื่อมุ่งหน้าเข้าไปในเขตป่าดงดิบของอุทยานแห่งชาติ ลักษณะของพื้นดินและต้นไม้แตกต่างจากป่าในรวันดาอย่างเห็นได้ชัด ทางดินเปียกชื้นเป็นโคลน มีน้ำไหลตามทางหลายจุด พื้นดินปกคลุมด้วยมอสและไม้เลื้อยเขียวเข้ม ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้พุ่มไม้ขึ้นอย่างหนาแน่นท่ามกลางต้นไม้สูงเป็นระยะ มีขอนไม้ต้นไม้ระเกะระกะ บางจุดต้องปีนข้ามสิ่งกีดขวาง ทางเดินเต็มไปด้วยรากไม้ ลาดลงถึงทางน้ำแล้วชันขึ้นตามแนวเขา ขึ้นบ้างลงบ้างสลับกันไป ไม่รู้เดินขึ้นสูงเท่าไหร่เพราะเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ทางเดินที่เป็นดินตอนแรกหายไป กลายเป็นทางเดินที่ปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวที่แบนราบเป็นทาง แสดงว่าเป็นแนวที่นายพรานแกะรอยใช้เดินเข้าไปไม่นานนี้ อากาศเริ่มร้อนและชื้นมาก ต่างจากป่าที่สูงอย่างรวันดาที่อากาศเย็นเกือบทั้งวัน

เวลาผ่านไป 1 ชั่วโมงเต็ม เราได้พาตัวเองเข้ามาในป่าลึกที่ไม่มีคนเดินเข้ามานานแล้ว ถือเป็นการเดินป่าที่ไกลมากเมื่อเทียบกับ 2 วันในรวันดาที่เดินประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ได้เจอกอริลล่าแล้ว แต่วันนี้เดินมาเกือบสองชั่วโมงแล้วยังไม่มีวี่แววกอริลล่า หลังจากไกด์นายพรานติดต่อกับนายพรานแกะรอยที่ล่วงหน้าไปเมื่อเช้าก็พอจะรู้ทิศที่กอริลล่าอยู่ แต่อาจต้องเดินลึกเข้าไปในป่าอีก 1 ชั่วโมงถึงจะเจอ เอาก็เอา อย่างน้อยได้ข่าวแล้วก็ยังใจชื้น

การเดินเข้าป่าอีก 45 นาทีต่อมา อย่าว่าแต่จะไม่เป็นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย แม้แต่ทางดินหรือทางโรยด้วยหญ้าหรือต้นไม้ที่ถูกเหยียบแบนก็ยังไม่มี เราต้องเดินแหวกพุ่มเถาวัลย์ต้นไม้น้อยใหญ่ที่แน่นและรกทึบ โดยมีไกด์นายพรานฟันทางเข้าไปให้ การเดินนี้ต่างจากการเดินที่อุทยานแห่งชาติภูเขาไฟในรวันดา ที่มีการฟันทางเดินเมื่อเจอกอริลล่าแล้วและต้องการให้เห็นกอริลล่าชัดเจนยิ่งขึ้น หรือกำลังตามกอริลล่าในระยะประชิดไม่ให้หลุดคลาดสายตา การเดินในอุทยานป่าดงดิบ Bwindi Impenetrable เป็นการเดินบุกป่าแบบไม่มีทางเดิน ต้องฝ่าดงดิบตามทิศที่ไกด์นายพรานได้รับข้อมูลจากพรานแกะรอยที่ล่วงหน้าเข้าไปแล้ว รู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้เหยียบย่ำเข้ามาในที่แห่งนี้ไม่มีผิดเลย สมชื่ออุทยานที่ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้จริงๆ

เกือบ 3 ชั่วโมงผ่านไป โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ในที่สุดไกด์นายพรานก็หยุดและชี้ไปทางขวา มองตามนิ้วไป นึกว่าจะให้ดูต้นไม้อะไรน่าสนใจ ก็เห็นหน้าดำๆ ปราศจากขนของกอริลล่าพร้อมดวงตาสุกใสที่เบิกกว้าง เรามาถึงที่อยู่ของเจ้ากอริลล่าครอบครัว Kanjunye แล้วในที่สุด ความเหนื่อยและเปียกจากการฝ่าต้นไม้ที่มีละอองน้ำค้างมา 3 ชั่วโมงหายไปเป็นปลิดทิ้ง

กอริลล่าตัวแรกที่เจอเป็น silverback ขนาดไม่ใหญ่มาก น่าจะหนักประมาณ 150 กิโลเท่านั้นจึงไม่น่าจะใช่จ่าฝูง ซ่อนตัวในพุ่มหนาทึบ พรานอีก 2 คนที่ล่วงหน้ามาแต่เช้าช่วยฟันต้นเถาวัลย์รอบตัวกอริลล่าให้ พอได้เห็นชัดไม่กี่วินาที เจ้ากอริลล่าก็รู้สึกไม่อุ่นใจที่เห็นหน้าเราเข้าไปใกล้ระยะ 2 เมตร เลยหันก้นแล้วเดินหนีเข้าพุ่มทึบหายไป

นายพรานวนไปรอบๆ ฟันต้นไม้อย่างชำนาญ หน้ากอริลล่าอีกตัวก็โผล่ออกมาจากพุ่มทึบ ฟันต่อไปอีกนิด โอ้ เราเจอ silverback ตัวที่ 2 ขนาดใหญ่พอควร พรานแกะรอยพยายามฟันทางให้เราได้ไปยืนด้านหน้า silverback ได้ยินเสียงพุ่มไม้กิ่งไม้เสียดสีกันรอบตัว มี blackback อีกตัวอยู่ในพุ่มด้านล่าง silverback และตัวเมียอีกตัวอยู่ด้านบน ด้านหลังพุ่มไม้เขย่า มีตัวเมียอีกตัวในพุ่ม แต่เราเห็นได้ไม่ถนัดเพราะป่ารกทึบนัก รู้แต่ว่าเรายืนอยู่ในที่ที่ล้อมด้วยกอริลล่า ที่คงเห็นเราชัดเจน แต่เราไม่เห็นเค้า

blackback ที่ยืน 4 ขามองดูเราในพุ่มทำท่าอยากจะเดินมาใกล้ แต่กลัวๆ กล้าๆ เลยเปลี่ยนใจนั่งดูเราอยู่หลังต้นไม้ silverback นั่งเด็ดใบไม้เข้าปากอยู่ครู่ใหญ่ ก็ตัดสินใจลุกเดินไปหาตัวเมียในพุ่มด้านบน พรานแกะรอยพาเราฟันป่าเพื่อปีนทางชันสูงขึ้น มองเห็นลูกกอริลล่าปีนต้นไม้หนีเราขึ้นไปในที่สูง เมื่อรู้สึกปลอดภัยแล้วจึงหยุดมองเราอย่างสนใจ

พรานแกะรอยฟันทางนำไปอีกด้าน เราตามพรานแกะรอยไปติดๆ เห็นกอริลล่า blackback ตัวใหญ่อยู่ในพุ่มด้านหน้าพราน มีดพร้าในมือเกือบฟันหน้าเจ้าลิงยักษ์ blackback ดูตกใจ และทำท่าจะพุ่งตัวเข้าสู้ พรานเห็นจึงเงื้อเคียวในมือขึ้นสูงเป็นการขู่ กอริลล่าตัวนั้นจ้องหน้าแล้วตัดสินใจถอยช้าๆ เป็นฉากที่เร้าใจมาก
หลังจากฟันทางชันขึ้นไปด้านบน เจอตัวเมียอีก 2 ตัว พรานก็ตัดลงด้านล่างตรงจุดที่จ๊ะเอ๋กับ blackback ตัวนั้น มี silverback อีกตัว ขนาดใหญ่กว่า 2 ตัวแรก น่าจะเป็นตัวจ่าฝูง อยู่กับตัวเมีย 1 ตัวและลูกอายุประมาณ 1 ขวบครึ่งอีกตัว กอริลล่าเด็กกำลังปีนต้นไม้ไปหาใบไม้กินเล่น ใช้แขนขาปีนต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว เราหยุดอยู่ตรงนี้ สังเกตการณ์พ่อแม่ลูกอยู่พักใหญ่ จนไกด์นายพรานส่งสัญญาณหมดเวลา จึงถอยทัพกลับทางเดิมที่เข้ามาทีแรก วันนี้ก็ไม่สามารถนับได้เหมือนกันว่าเจอกอริลล่าทั้งหมดกี่ตัว รู้เพียงพื้นที่รกชัฏบริเวณนี้มีครอบครัวกอริลล่าอาศัยอยู่ถึง 18 ตัว

ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายโมง ฟ้าที่ใสพอเห็นแดดส่องลงพื้นบางจุดที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่บ้าง กลับมืดครึ้มคล้ายพลบค่ำ เพียงไม่กี่นาที ฝนเม็ดใหญ่ก็ตกลงมา และเทลงมาแบบฟ้ารั่วในเวลาต่อมา ทุกคนรวมทั้งพรานควักเสื้อฝนออกมาใส่อย่างรู้งาน ฝนไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อหมวกและเสื้อกันน้ำ แต่กลายเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการเดินบนพื้นที่เต็มไปด้วยต้นไม้เปียกและพื้นดินเละ ที่บัดนี้กลายเป็นโคลนหนา ยิ่งช่วงที่สูงชันเละมีโคลนเคลือบหินที่ลื่นปรื๊ด ทำให้การเดินกลับออกมาใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงแบบเนื้อตัวมอมถึงที่สุด ขากางเกงเปลี่ยนสี รองเท้าเคลือบช็อคโกแลต ฝน rain forest นี่ตกหนักเอาจริงเอาจัง ทุกอย่างรอบตัวเปียกปอน ทางน้ำมีน้ำไหลแรงขึ้น อากาศจากร้อนกลายเป็นหนาวจับใจ อุณหภูมิลดลงฮวบจาก 25 องศาเหลือ 15 องศา ลมพัดแรง เสื้อที่เปียกเหงื่อจากการเดินทางไกลในเสื้อฝนทำให้สามารถหนาวสั่นชนิดฟันกระทบกันอย่างไม่น่าเชื่อ ป่าดงดิบนี่ขลังจริงๆ

เดินตามทางลูกรังเดิมกลับลงไปที่หมู่บ้าน มีชาวบ้านมาตั้งแผงขายของที่ระลึกทำเอง มีกระท่อมแกะสลักไม้อยู่ใกล้ๆ ช่างไม้รีบโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่แกะสลักสวยงามด้วยมือตัวเองอย่างภาคภูมิใจ เราอดไม่ได้ที่จะอุดหนุนงานไม้แกะสลักเป็นหน้ากากและตัวกอริลล่า

ทันทีที่ฝนหยุด แดดบ่ายก็สาดส่องสร้างความอบอุ่นสดใสไปทั่ว แม่กระเตงลูกเดินต่อ ชาวบ้านทำมาหากิน ไม่เปลกใจว่าทำไมคนตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ถึงบูชาพระอาทิตย์ เราถอดเสื้อฝนและหมวกมาผึ่งแดดครู่เดียวก็แห้ง จิตใจผ่องใส นึกขอบคุณวันดีๆ อีกวันหนึ่งสำหรับชีวิต
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่