Torm Adventure: บุกป่าดงดิบภูเขาไฟ แกะรอยกอริลล่าภูเขา ในรวันดาและยูกันดา ตอนแรก

สวัสดีค่ะ เราเพิ่งได้โอกาสไปเที่ยวที่ที่ไม่เคยรู้เลยว่ามันเจ๋งสุดขอบโลก คือ ไปตะลุยป่าดงดิบที่ต้นไม้รกทึบบนภูเขาไฟ เพื่อไปเดินแกะรอยตามหากอริลล่าภูเขาตัวเป็นๆ ที่อยู่ตามธรรมชาติ ในประเทศรวันดาและยูกันดา ทวีปแอฟริกา ก่อนไปมีคนรู้จักที่ทำงานอยู่แถวนั้นแนะนำให้ไป ก็ตัดสินใจไปตามคำแนะนำแบบกลัวๆ กล้าๆ แต่ด้วยความที่เราเป็นนักเดินทางและชอบการผจญภัย เลยยอมเสี่ยงดู และไม่ได้เป็นการตัดสินใจที่ผิดเลยค่ะ เพราะว่าที่นั่นมันสุดยอดแห่งธรรมชาติ ป่าสวยงาม ภูเขาไฟสูงตั้งตระหง่าน และที่สำคัญคือ ได้เจอลิงกอริลล่าภูเขา ที่มีจ่าฝูง น้ำหนักตัวถึง 250 กิโล พร้อมลูกเมียพร้อมพรั่งทั้งครอบครัว และยังมีสัตว์ป่าอื่นๆ เช่น สิงโต ฮิปโป ควายป่า ช้างป่า ในป่าเขียวชอุ่ม และอุทยานแห่งชาติอื่นๆ ที่แสนอุดมสมบูรณ์ ก็เลยคิดอยากจะแบ่งปันประสบการณ์นี้บ้าง

วันนี้ขอเริ่มเรื่องฉบับย่อ คือเอาวันที่ไปเห็นกอริลล่าเป็นครั้งแรก แล้วจะค่อยๆ ย้อนกลับมาเล่าการเดินทางอย่างละเอียดทีละวัน ทริปนี้มีทั้งสิ้น 10 วันค่ะ

เมื่อพูดถึงประเทศรวันดาและยูกันดา คนส่วนใหญ่จะร้องยี้ นึกไปถึงบ้านป่าเมืองเถื่อน อีโบล่า และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เราขอให้ความรู้ใหม่ว่า ประเทศรวันดาและยูกันดา เป็นประเทศที่อยู่กลางในทวีปแอฟริกา ติดกับเคนย่า ไม่มีรายงานผู้ป่วยอีโบลา ส่วนเรื่องสงครามกลางเมืองในรวันดานั้นเกิดจากสาเหตุทางการเมือง ทำให้เกิดความรุนแรงเป็นเวลา 100 วันในปีค.ศ. 1994 ปัจจุบันบ้านเมืองสงบสุข ประชาขนสามัคคี ประเทศอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ป่าเขา ทะเลสาบ เขียวชอุ่ม สวยงามเป็นที่สุด

การเดินทางไปก็สะดวกสบาย มีสายการบินเคนย่าแอร์เวยส์ จากกรุงเทพฯ สุวรรณภูมิ บินตรงไปยังกรุงไนโรบี ประเทศเคนย่า โดยใช้เวลาบินประมาณ 8 ชั่วโมงครึ่ง ใช้เครื่องบินใหม่ดรีมไลน์เนอร์ 787 ที่นั่งกว้างขวาง บริการดีเยี่ยมตามสไตล์คนแอฟริกาที่มีหัวใจบริการเต็มเปี่ยม บินต่อจากไนโรบี เคนย่า ข้ามทะเลสาบวิกตอเรีย ผ่านวิวน้ำ ภูเขา และทะเลทราย ไปยังกรุงคิกาลี่ เมืองหลวงของรวันดา ซึ่งใช้เวลาอีกเพียง 1 ชั่วโมงเศษ

จุดหมายปลายทางแรก คือ เขต Kinigi ที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติภูเขาไฟ (Volcanoes National Park หรือ Parc National des Volcans) อันเป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดในโลกของกอริลล่าภูเขา ถือเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกในแอฟริกา เพื่อปกป้องกอริลล่าจากการถูกฆ่า อุทยานแห่งชาติภูเขาไฟอยู่ห่างจากเมืองหลวงคิกาลี่ เป็นระยะทาง 105 กิโลเมตร เราดื่มด่ำกับความงดงามของธรรมชาติเขียวชอุ่มและภูเขาไฟรอบตัว เพียง 2 ชั่วโมงก็ถึงที่พักที่ Mountain Gorilla View Lodge ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานฯ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2200-4000 เมตร อากาศเย็นและชื้นกว่าที่เมืองหลวงมาก อุณหภูมิประมาณ 6-15 องศาในฤดูแล้ง มีภูเขาไฟ Sabyinyo ตั้งตระหง่านเป็นแบ็คกราวน์


การจะไปเดินบุกป่าแกะรอยตามหากอริลล่านั้น รัฐบาลรวันดาทำเป็นขั้นตอน เริ่มจากซื้อใบอนุญาตดูกอริลล่าล่วงหน้า ในรวันดาคิดราคาคนละ 750 ดอลล่าต่อการดู 1 ครั้ง ในหนึ่งวันมีใบอนุญาตแค่ 80 ใบ เข้าไปดูได้วันละครั้งเดียวในช่วงเช้า เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการดำเนินชีวิตของกอริลล่ามากเกินไป เจ้าหน้าที่จะจัดสรรนักท่องเที่ยวในแต่ละวันเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 8 คน เพื่อไปดูครอบครัวกอริลล่าที่มีอยู่ 10-12 ครอบครัว โดยกำหนดล่วงหน้าไม่ได้ว่าใครจะไปดูครอบครัวไหน แล้วแต่การจัดสรรในเช้าวันนั้น และมีเวลาอยู่กับกอริลล่า 1 ชั่วโมง

ลักษณะของฝูงกอริลล่าภูเขาโดยทั่วไป จะอยู่กันเป็นครอบครัวที่มีสมาชิก 12-30 ตัว โดยประกอบไปด้วย silverback ตัวพ่อซึ่งเป็นจ่าฝูงและเป็นตัวผู้ที่มีอายุมากที่สุด เรียกว่า silverback หรือหลังเงิน โดยมีน้ำหนัก 200-250 กิโลกรัม silverback จะควบคุมปกป้องดูแลตัดสินใจทุกสิ่งให้กับฝูง และสามารถมีตัวเมียได้หลายตัว เมื่อกอริลล่าตัวผู้มีอายุ 12-15 ปีจะถือว่าโตเต็มที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ขนที่หลังจะเปลี่ยนจากสีดำเป็นขนสีเทาเงิน สามารถออกไปตั้งครอบครัวใหม่ได้ ในหนึ่งครอบครัวอาจมี silverback มากกว่าหนึ่งตัวก็ได้ แต่จะมีจ่าฝูงที่เป็น silverback เพียงตัวเดียว

วันนี้เราได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่ม Kushimira ซึ่งเป็นครอบครัว silverback กอริลล่าที่เพิ่งแยกตัวออกมาสร้างครอบครัวใหม่ มีสมาชิกตัวเมีย 8 ตัวและลูกๆ อีก 3 ตัวรวมเป็น 12 ตัว ไกด์นายพรานอธิบายข้อควรระวังในการบุกป่าแกะรอยตามหากอริลล่าว่า จะมีพรานแกะรอยอีกประมาณ 3-4 คนล่วงหน้าไปตั้งแต่ตี 5 ของแต่ละวัน เพื่อไปตามหากอริลล่า โดยดูจากรอยเดิมที่พบเมื่อวาน แล้วตามรอยกิ่งไม้หัก รอยเท้าที่พื้น และรอยอึไป เพื่อจะรายงานข้อมูลกอริลล่าครอบครัวนั้นๆ ในแต่ละวันให้ไกด์นายพรานของเรา

เมื่อเจอครอบครัวกอริลล่า ตามกฎ เราจะมีเวลาอยู่ดูเค้าเพียง 1 ชั่วโมง  เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนมากเกินไป โดยต้องอยู่ห่างจากกอริลล่า 7 เมตร เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากคนไปติดกอริลล่า ซึ่งมีความสะอาดกว่ามนุษย์มากและไม่มียาทันสมัยรักษา แต่ถ้ากอริลล่าตัดสินใจเดินมาใกล้เราก็ไม่เป็นไร ถ้าจะจาม ต้องปิดปากไม่ให้เชื้อโรคแพร่ไปสู่กอริลล่า ที่อาจตายทั้งครอบครัวได้ถ้าติดหวัดจากคนเพียงคนเดียว เมื่ออยู่ใกล้กอริลล่า สามารถพูดคุยถ่ายรูปได้ตามปกติ แค่อย่าตะโกนเสียงดังหรือวิ่ง

ทางเดินไป trailhead ต้องผ่านหมู่บ้านเข้าไปจนถึงตีนภูเขาไฟ ผ่านบ้านชาวบ้าน ลูกเล็กเด็กแดง คนทำไร่นา แม่หรือพี่เอาลูกเล็กไว้ที่หลังมัดผ้าไว้แล้วทำงานในไร่สวนต่อไป คนแบกน้ำ พรวนดิน เป็นชีวิตประจำวันแบบสมถะของชาวบ้าน จากนั้นทางเดินก็ชันขึ้น จากระดับประมาณ 2300 เมตรเหนือน้ำทะเล เลาะขึ้นตามทางเดินดินที่คลุมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่หนาทึบจนถึงประมาณ 2900 เมตร ผ่านไปชั่วโมงครึ่ง ในที่สุด เราก็เดินไปถึงจุดที่ครอบครัวกอริลล่า Kushimira อาศัยอยู่ เมื่อไกด์นายพรานพบกับพวกพรานแกะรอยอื่นๆ ถืออาวุธปืนยาวครบครัน ที่ได้ขึ้นมาตามรอยกอริลล่าให้เราตั้งแต่เมื่อเช้า

ภาพแรกที่มองไปแล้วเห็นกอริลล่าตัวแรกในชีวิตเป็นภาพที่ยังประทับใจมาก เหมือนอยู่ในความฝันแบบผจญภัยสุดขอบฟ้า คือระหว่างพุ่มไม้เถาวัลย์และต้นหนามที่หนาทึบ พอมองดีๆ จะเห็นลูกตาสุกใสบนใบหน้าที่ดำมืด มองมาทางเรา เราไม่เห็นเค้าแต่กอริลล่าคงได้ยินเสียงผู้บุกรุกบ้านเค้าอย่างเรามาแต่ไกล ด้วยความที่การท่องเที่ยวตามหากอริลล่ามีมาหลายสิบปีแล้ว กอริลล่าเค้าฉลาดเค้าก็รู้ว่าสัตว์พันธุ์นี้ชอบมาดูๆ พวกเค้า กดไอ้กล่องสี่เหลี่ยมนี่ แล้วเดี๋ยวไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็ไปกันหมดละ จึงไม่กลัวเรา ส่วนเราก็ตื่นเต้นใจเต้นตึกๆ ทีแรกนึกว่ามีตัวเดียวอยู่ในพุ่มทึบ พรานแกะรอยบอกว่าอยู่แถวนี้กันทั้งครอบครัวแต่ป่ารกทึบมาก ทำให้เรามองไม่เห็น พรานแกะรอยผู้ชำนาญก็เอามีดพร้าและเคียวด้ามคมกริบ ฟันต้นไม้เถาวัลย์ที่บดบังกอริลล่าออกเป็นช่วงๆ อย่างระมัดระวัง กอริลล่าตัวที่สอง สาม และสี่ก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากพุ่มไม้ที่โดนตัดออก พอไกด์นายพรานเปล่งเสียงทักทายกอริลล่าตามภาษาที่เราเรียนมา คือ ฮื๊ออึ ฮื๊ออึ แปลว่าสวัสดี กอริลล่าทุกตัวก็จะหันมาดูเรา และบางตัวจะทักกลับด้วยว่า ฮื๊ออึ ฮื๊ออึ คือสวัสดีตอบ เป็นอันรู้กันว่า มาดี ดูไป ชั้นก็กินไปนอนไป ตามสบาย หรือภาษาอังกฤษ ก็คงแปลว่า make yourself at home คือคิดว่าเป็นบ้านของตัวเองแล้วกันไม่ต้องเกรงใจ

ใน 4 ตัวแรกของครอบครัว Kushimira ที่เห็นนั้น มีตัวพ่อจ่าฝูงที่เป็น silverback 1 ตัว อายุประมาณ 20 ขวบ ขนาดตัวใหญ่และหนามาก ขนดูนุ่มหนาเป็นมันเงาวับ สีเทาเงินสวยงาม ขนาดตัวเมื่อนั่งอยู่ที่พื้นก็สูงประมาณเอวเราแล้ว พรานบอกว่าน้ำหนักประมาณ 200 กิโลกรัม พ่อจ่าฝูง silverback อยู่กับตัวเมียอีก 2 ตัว ตัวนึงมีลูกอายุ 8 เดือนอยู่บนตักแม่ พ่อ silverback หันมาดูเรานิดนึง คล้ายตรวจให้มั่นใจอีกทีว่าเป็นสัตว์พันธุ์ที่ไม่ทำอันตรายอะไรกับครอบครัวเค้า แล้วหันหลังให้แบบรำคาญเล็กน้อย ตัวเมียที่อยู่กับพ่อ silverback ไม่แสดงความสนใจหรือสะทกสะท้านที่มีเรายืนจังก้าอยู่ในระยะประมาณ 2-3 เมตร (ใกล้กว่าที่ทางการกำหนดเพราะพื้นที่ยืนมีจำกัด) เค้ายังเด็ดใบไม้แถวนั้นกินอย่างมีความสุข คงอุ่นใจที่อยู่กับพ่อ silverback ที่จะคอยปกป้อง ส่วนตัวเมียอีกตัวที่มีลูกเล็กดูตื่นตระหนกนิดหน่อย ให้ความสนใจเรามาก พอพรานแกะรอยฟันต้นไม้เถาวัลย์ที่บังอยู่แถวนั้นออก เค้าก็ถอยหนีเล็กน้อย พอมั่นใจว่าปลอดภัยก็เดินออกมาดูเราอีกด้วยความสนใจ ส่วนตัวลูกน้อยสนใจเรามากแม้จะกลัวด้วย เลยซุกอกแม่ ตามองเราไม่วาง ผ่านไปซักพักก็ปีนออกจากอกแม่ มาเดินวนรอบแม่เล็กน้อย เกาะหลังแม่บ้าง แต่ไม่กล้าห่างแม่เท่าไหร่ หน้าตาดูออกว่าเป็นเด็ก คล้ายลูกคน ขนยุ่งๆ ยังไม่เรียบมันเหมือนกอริลล่าที่โตแล้ว

พรานแกะรอยอีก 4 คนพยายามฝ่าฟันป่ารกต่อไปเพื่อหาสมาชิกตัวอื่นๆ ในครอบครัว ถัดไปอีกไม่ถึง 10 เมตร พรานก็ส่งสัญญาณมาว่าพบสมาชิกอื่นอีก เราก็บุกป่าฝ่าดงหนามตามทางที่พรานแกะรอยฟันไว้บ้างแล้ว (ถ้าไม่ฟันกรุยทางให้ เราจะไม่สามารถก้าวเข้าไปได้เลย คือมันรกทึบมากๆ และหนามแหลมเฟี้ยวด้วย) แต่เป็นการบุกป่าฝ่าดงหนามที่แสนคุ้มค่า เราได้เห็นกอริลล่าตัวเมียอีกสองตัว ทำกิจกรรมเดียวกันคือนั่งเด็ดกิ่งไม้ที่มีใบแสนอร่อยมารูดเอาแต่ใบออก กิ่งเหล่านี้ก็มีหนามบางๆ ด้วย กอริลล่าเค้ารู้ เค้าจะรูดใบเขียวๆ ลงจากกิ่งตามแนวหนาม เพื่อไม่ให้โดนหนามตำ และเข้าปากเคี้ยวกร้วมอย่างเอร็ดอร่อย จริงๆ ดูแล้วหวาดเสียวว่าหนามไม่ตำลิ้นบ้างเหรอ แต่พรานบอกว่าลิ้นเค้าหนามาก กินใบพวกนี้สบาย คือเป็นของโปรดเค้าด้วยซ้ำ

เราดูกอริลล่า 6 ตัวนี้ทั้งด้านหน้าด้านข้างด้านหลังอย่างจุใจ แต่เผลอแว้ปเดียวหนึ่งชั่วโมงก็หมดลง ไกด์นายพรานส่งสัญญาณให้รู้ว่าเวลาหมดแล้ว ถึงเวลาต้องร่ำลากอริลล่า แล้วกลับออกจากป่าสู่เมืองของคน เรากลับมาถึงโรงแรมที่พักอย่างสดชื่น แม้เนื้อตัวจะเต็มไปด้วยเศษดินและใบไม้ แต่จิตใจเปี่ยมไปด้วยความสุขและตื่นเต้น เมื่อใกล้ค่ำ อากาศยิ่งเย็นถึงขั้นหนาวมากเลยทีเดียว อุณหภูมิลดลงต่ำกว่าสิบองศา มีคนมาจุดเตาผิงให้ในห้องนอนทุกกระท่อมหิน ป่าดงดิบนี่มันหนาวเย็นยะเยือกจริงๆ นั่งผิงไฟอุ่น ดาวเต็มฟ้า มองเห็นยอดภูเขาไฟเรียงราย และหลับไปด้วยไออุ่นและควันหอมกรุ่นจากไฟฟืน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่