ตอนที่ ๓ หอมหาภัย
คนดีแผ่นดินซ้อง
ตอนที่ ๓ หอมหาภัย
“ เล่าเซี่ยงชุน “
หอสูงที่มีชื่อว่า บ้วนฮ่วยเหลา อยู่ติดกับตึกที่เป็นโรงสุรา ของเมืองฮังคิวนี้ ฮูลุน บุตรของ ฮูคุน ขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองนี้ได้สร้างเอาไว้เป็นของตน ห้ามมิให้ผู้ใดขึ้นไปนั่ง ด้วยฮูลุน และบิดาเป็นคนโหดร้าย ถืออำนาจกดขี่ข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน ชาวบ้านเกรงกลัวกันมาก เจ้าของโรงสุราจึงห้าม เตียตง หลีหงี และ เต็กเชง ไม่ให้ขึ้นไปเสพสุราบนนั้น ทั้งสามนาย ก็โกรธมากจึงว่า
“…….ธรรมดาว่าเก๋งและตึกอยู่ริมถนนแล้ว ไม่ได้ขายสินค้าสิ่งไร ก็ต้องเป็นที่อาศัยแก่คนเดินทาง พวกเราจะขึ้นไปเลี้ยงกันให้จงได้ ถ้าฮูลุนมาจะทำประการใดก็ตามเถิด…”
ผู้ขายสุราก็ตกใจคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า
“….ท่านทั้งสามจะขึ้นไปบนเก๋งให้ได้ก็เหมือนหนึ่งหาโทษใส่ให้ข้าพเจ้า ถ้าฮูลุน รู้ความแล้วก็คงเอาข้าพเจ้าไปทำโทษถึงสาหัส ท่านจงมีความเมตตาแก่ข้าพเจ้าเถิด อย่าขึ้นไปเลย……”
เตียตงก็ว่าเรานี้หากลัวฮูลุนไม่ เต็กเชงก็ว่าพวกเราเป็นชายชาติทหาร ถ้าไม่ขึ้นไปเลี้ยงโต๊ะกันบนเก๋ง ก็จะมิเป็นคนกลัวฮูลุนหรือ เราจะขึ้นไปให้จงได้ คนขายสุรามิรู้ที่จะว่าประการใด ก็ได้แต่คำนับอ้อนวอน เตียตงจึงบอกว่า
“…….อย่าคำนับเราเลย จงจัดโต๊ะมาเถิด ฮูลุนก็มิได้อยู่บนเก๋งดอก ขอให้พวกเราขึ้นไปกินโต๊ะบนเก๋งเถิด เราจะให้เงินสิบตำลึง สักครู่หนึ่งก็จะลงมา ที่ไหนฮูลุนจะทันรู้……”
ผู้ขายสุราเห็นแก่เงินจึงยอมจัดโต๊ะขึ้นไปเลี้ยงทั้งสามนายบนเก๋งนั้น เมื่อกินเลี้ยงแล้วก็เดินชมสิ่งต่าง ๆ บนเก๋ง และสนทนากันด้วยเสียงอันดัง คนใช้ของฮูลุนเห็นดังนั้นก็นำความไปแจ้งแก่ฮูลุนที่บ้าน ฮูลุนก็โกรธมากเรียกบ่าวไพร่รีบไปที่เก๋งบ้วนฮ่วยเหลาทันที
เมื่อขึ้นไปเห็นทั้งสามนายยังนั่งอยู่ ก็ให้บ่าวไพร่ขึ้นไปไล่ ทั้งสามนายก็มิได้เกรงกลัว จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น พวกบ่าวไพร่ของฮูลุนสู้ฝีมือเตียตงกับหลีหงีไม่ได้ก็แตกกระจายไป เต็กเชงก็ว่าพวกฮูลุนถึงจะมามากกว่านี้ก็สู้ฝีมือพวกเราไม่ได้ แล้วทั้งสามก็พากันจะลงไป
ฮูลุนเห็นพวกของตนถูกตีแตกก็โกรธนัก จึงขึ้นไปบนเก๋งตวาดด้วยเสียงอันดังว่า
“…….เจ้าขึ้นมาเสพสุราบนเก๋งของเราแล้ว บังอาจตีบ่าวของเราอีกเล่า ถ้าเจ้ารู้ตัวผิดแล้ว จงมาคำนับเราเสียโดยดีเถิด……”
เต็กเชงก็มิได้โต้ตอบประการใด เอามือผลักอกฮูลุนโดยแรง ฮูลุนทานกำลังไม่ได้ ก็พลัดตกจากเก๋ง พวกบ่าวรับมิทันศรีษะฟาดกับขั้นบันไดแตก ถึงแก่ความตายในที่นั้น พวกบ่าวก็รีบเอาความไปแจ้งแก่ฮูคุนผู้บิดาฮูลุน
ฮูคุนแจ้งว่าฮูลุนตายก็โกรธนัก จึงให้บ่าวของตนประมาณร้อยเศษ ไปจับเอาตัว คนทั้งสามนั้นมาให้ได้ พวกบ่าวก็ล้อมเก๋งนั้นไว้แน่นหนา แต่พวกที่ขึ้นไปจับตัวก็ไม่สำเร็จต้องแตกหนีกลับมาอีก เจ้าของร้านเห็นเกิดความใหญ่โตขึ้น จึงขึ้นไปคุกเข่าคำนับคนทั้งสามแล้วว่า
“……. บัดนี้ท่านตีฮูลุนตาย ฮูคุนให้คนมาล้อมเก๋งไว้เป็นอันมาก ท่านจงเมตตาแก่ข้าพเจ้าอย่าได้หลบหนีไป ถ้าท่านไม่เมตตาแก่ข้าพเจ้าแล้ว ชีวิตข้าพเจ้าก็จะตายด้วยมือฮูคุน เป็นแท้……”
เต็กเชงกับพี่น้องก็รับรองว่าจะไม่หนีไปไหน และให้จัดโต๊ะมาเสพสุราเล่นตามสบายอยู่บนเก๋งนั้น จนฮูคุนไปแจ้งแก่เจ้าเมืองคุมทหารประมาณห้าสิบเศษมาถึง เจ้าเมืองให้ขุนนางชันสูตรบาดแผลฮูลุนแล้ว ก็จะเอาโทษแก่เจ้าของร้านที่ปล่อยให้คนขึ้นไปบนเก๋ง เจ้าของร้านก็ว่าได้ห้ามปรามหนักหนาแล้ว ก็ไม่ฟังลงมือทุบตีทำร้ายตนและขึ้นไปจนได้ เจ้าเมืองจึงใช้ให้ทหารไปเรียกคนทั้งสามลงมา
เต็กเชงเตียตงและหลีหงีแจ้งว่าเป็นเจ้าเมือง ก็ลงมาคำนับ เจ้าเมืองก็ถามชื่อแซ่และสาเหตุที่ขึ้นไปกินเลี้ยงบนเก๋ง แล้วทำร้ายฮูลุนเจ้าของเก๋งตาย เตียตงก็บอกชื่อแซ่และว่า
“……..ที่ขึ้นไปกินโต๊ะเสพสุราบนเก๋งสูง ด้วยเห็นว่าเก๋งทำไว้งดงามปรารถนาจะชมเล่น พอบ่าวฮูลุนแปดคนขึ้นไปบนเก๋ง แล้วขับไล่ให้พวกข้าพเจ้าลงไป พวกข้าพเจ้าหาทันจะไต่ถามไม่ พวกบ่าวฮูลุนต่างคนกลุ้มรุมตีพวกข้าพเจ้า ฮูลุนนั้นมีความโกรธเป็นกำลัง วิ่งขึ้นไปบนเก๋งเหยียบขั้นบันไดพลาด จึงพลัดตกลงมาศรีษะกระทบขั้นบันไดแตกตาย พวกข้าพเจ้าจะได้ตีฮูลุน หามิได้……..”
เจ้าเมืองฮังคิวก็ว่าเก๋งบ้วนฮ่วยเหลานี้ฮูลุนเป็นเจ้าของ พวกเจ้าขึ้นไปเสพสุราบนเก๋ง ควรที่จะอ่อนน้อมต่อเจ้าของ เหตุใดจึงสู้รบตีเจ้าของตาย แล้วยังหารับไม่ ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารจับเตียตงมัดไว้
ขณะนั้นเอง เปาบุ้นจิ้น ซึ่งเป็นผู้ถือรับสั่งพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ เที่ยวตรวจตราดูเหตุการณ์สุขและทุกข์ของราษฎร ทั่วเมืองเปียนเหลียง ได้คุมทหารเดินมาถึงหน้าโรงสุรา เห็นผู้คนอื้ออึงอยู่เป็นจำนวนมาก จึงให้คนสนิทคือ เตียหลง กับ เตียเฮา ไปสอบถามเรื่องราวจนทราบความทุกประการแล้ว ก็คิดว่าฮูลุนเป็นคนพาล ถืออำนาจของบิดาทำการข่มเหงราษฎรมาช้านานแล้ว ฮูคุนผู้บิดาก็ไม่ปราบปรามตามใจบุตร กำลังจะหาข้อผิดของฮูลุนอยู่ บัดนี้ก็ตายเสียแล้วเห็นราษฎรจะค่อยมีความสุข เราก็พลอยยินดีด้วย
เจ้าเมืองแจ้งว่าเปาบุ้นจิ้นมาก็งดชำระความไว้ รีบไปคำนับเปาบุ้นจิ้น และแจ้งความที่กำลังชำระชายสามคนซึ่งทำร้ายฮูลุนถึงตาย ให้ทราบทุกประการ เปาบุ้นจิ้นจึงถามว่าจำเลยรับเป็นสัตย์แล้วหรือยัง เจ้าเมืองก็ว่าจำเลยไม่ยอมรับ บัดนี้จะเอาคนที่ชื่อเตียตงเข้าผูกเฆี่ยนถาม เปาบุ้นจิ้นจึงว่าความเรื่องนี้เป็นความใหญ่อยู่ ตนจะชำระเอง เจ้าเมืองก็ท้วงว่าตนเป็นผู้ชำระความราษฎร ซึ่งเปาบุ้นจิ้นจะชำระเองนั้นไม่ควร
เปาบุ้นจิ้นก็หัวเราะแล้วว่า
“……..ท่านไม่รู้หรือ พระเจ้าแผ่นดินโปรดให้เราตรวจราษฎรในเมืองหลวง มีข้อความสิ่งใดเราชำระได้ทั้งสิ้น ความเรื่องนี้สำคัญอยู่เราจะชำระเอง…….”
ครั้นพูดดังนั้นแล้วก็ให้ทหารชันสูตรบาดแผลฮูลุน แล้วให้ทหารเอาตัวเต็กเชง เตียตงและหลีหงีไปที่บ้าน เจ้าเมืองก็ไม่อาจขัดได้ จึงให้ทหารรีบไปบอกฮูคุน ให้จัดการศพบุตรชายตามสมควร
ฝ่ายเปาบุ้นจิ้นมาถึงบ้านก็ขึ้นนั่งที่ชำระความ ให้ทหารเอาตัวจำเลยทั้งสามคนมาไต่สวนหาความจริง เตียตงนั้นรู้ว่าเปาบุ้นจิ้นเป็นคนมีสติปัญญา ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ความเรื่องนี้อาจชำระเอาความจริงได้ แล้วเต็กเชงก็คงไม่พ้นโทษ เราทั้งสามคนก็ได้สาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว มีทุกข์สุขสิ่งใดก็ไม่ทิ้งกัน จึงยอมรับเพียงคนเดียวว่าเป็นผู้ตีฮูลุน จนพลัดตกจากเก๋งตาย โทษทัณฑ์ประการใดแล้วแต่จะโปรด
เปาบุ้นจิ้นฟังเตียตงให้การก็แปลกใจว่า ตนเองคิดว่าฮูลุนคงจะเกิดโทโสมากเหยียบขั้นบันไดพลาดพลัดตกเก๋งเอง เหตุใดยังไม่ผูกเฆี่ยน เตียตงก็รับเป็นสัตย์ จึงว่าฮูลุนนั้นบ่าวไพร่ตามไปเป็นอันมากเหตุใดจึงตีฮูลุนได้ แล้วให้เอาตัวเตียตงลงไปจากโรงชำระ
แล้วถามหลีหงีว่าเตียตงรับเป็นสัตย์ว่าตีฮูลุนพลัดตกจากเก๋งตายจริงหรือเท็จ
หลีหงีก็ให้การว่าตนสองคนกับเตียตงเอาแพรมาขายในเมืองหลวง แล้วชวน เต็กเชงขึ้นไปกินโต๊ะบนเก๋ง ฮูลุนพาบ่าวขึ้นไปวิวาทกับพวกตนจึงได้สู้รบกัน แต่ฮูลุนนั้นตนเองเป็นคนตีตาย
เปาบุ้นจิ้นก็หัวเราะแล้วว่า เจ้ารับว่าตีฮูลุนตาย เจ้าไม่รู้หรือว่าจะต้องโทษตายตกไปตามกัน หลีหงีก็ว่าขอให้ปล่อยเตียตงกับเต็กเชงเสียเถิด โทษนั้นตนจะรับตายคนเดียวเอง
เปาบุ้นจิ้นก็ว่าเราชำระความมาช้านานแล้ว ยังหาพบเหมือนคนทั้งสองนี้ไม่ แล้วก็ให้เอาตัวหลีหงีลงไปเสียจากโรงชำระ แล้วก็เรียกเต็กเชงเข้ามาใกล้ถามว่า เป็นชาวเมืองไหน มีธุระสิ่งใดจึงเข้ามาในเมืองหลวง
เต็กเชงก็บอกชื่อและแซ่แล้วว่า
“……..ข้าพเจ้ามาเมืองหลวงนี้ ปรารถนาจะมาเยี่ยมญาติ จึงได้พบเตียตงหลีหงี ชวนข้าพเจ้าขึ้นไปเสพสุราบนเก๋งสูง ซึ่งเตียตงหลีหงีรับว่าตีฮูลุนตานนั้นเป็นการไม่จริง ข้าพเจ้าตีตายเอง ท่านจงยกโทษเตียตงหลีหงีเสียเถิด………”
เปาบุ้นจิ้นพิเคราะห์ดูรูปพรรณเต็กเชงเห็นเป็นคนมีตระกูล เหตุใดจึงมารับแทนคนทั้งสอง จึงว่า
“……..ซึ่งตีฮูลุนตายนั้น เตียตงหลีหงีเขารับเป็นสัตย์แล้ว เราเห็นเจ้าเป็นคนเอวบางร่างน้อย จะชกตีพวกฮูลุนได้หรือ เจ้านี่ชะรอยจะเสียจริตดอกกระมัง……..”
แล้วให้ทหารไล่เต็กเชงไปเสียจากบ้าน พวกบ่าวของฮูคุนที่มาคอยฟังการชำระ ก็ท้วงเปาบุ้นจิ้นว่า เต็กเชงคนนี้ตีฮูลุนนายของตนตาย และก็รับเป็นสัตย์แล้ว เหตุใดท่านปล่อยไป ถ้านายของตนทราบความที่ไหนจะยอม ต้องขัดเคืองกับท่านแน่
เปาบุ้นจิ้นได้ฟังก็โกรธว่า เจ้าจะเอาอำนาจฮูคุนมาข่มขี่เราหรือ แล้วจึงให้ทหารจับตัวบ่าวผู้นั้น มาตีเสียยี่สิบทีแล้วก็ไล่ออกจากบ้านไป
ขณะที่ผู้คุมเอาตัวเตียตงกับหลีหงีออกไปขังตะราง ก็เห็นเต็กเชงนั่งรออยู่ที่หน้าบ้านเปาบุ้นจิ้น จึงถามว่าเหตุใดจึงไม่กลับบ้าน เต็กเชงก็ว่าจะคอยฟังข่าวว่าเปาบุ้นจิ้นจะชำระประการใด
เตียตงก็ว่าท่านยังมิได้ปรึกษาโทษ สั่งแต่ให้ผู้คุมเอาตัวไปใส่ตะรางไว้ เต็กเชงก็ว่าทั้งสองไปอยู่ที่ไหนตนก็จะตามไปอยู่ด้วย เตียตงก็ว่าตนทั้งสองเป็นคนโทษ ตัวท่านพ้นโทษแล้วจงกลับไปอยู่บ้านเถิด เต็กเชงจึงว่าเราทั้งสามคนได้สาบานเป็นพี่น้อง ว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ตนจึงไม่ยอมไปอยู่บ้าน เตียตงจึงเข้าไปใกล้แล้วกระซิบว่า
“………ข้าพเจ้าเห็นเปาบุ้นจิ้นมีความเมตตาข้าพเจ้าทั้งสองอยู่ เห็นจะไม่ตายดอก ท่านจงกลับไปบ้านเถิด แล้วเรียกเอาเงินที่จิวเซงร้อยตำลึงมาให้ข้าพเจ้า จะได้ใช้สอยในตะราง……”
เต็กเชงก็คำนับลาเตียตงหลีหงีรีบไปบ้านจิวเซง แจ้งเรื่องให้ทราบทุกประการ แล้วก็เอาเงินร้อยตำลึงจากจิวเซงไปมอบให้เตียตง และกลับมาฟังข่าวอยู่ที่บ้าน ด้วยไม่รู้ว่าสองสหายจะได้รับโทษทัณฑ์ประการใด.
ฝ่ายบ่าวของฮูคุนที่ถูกเปาบุ้นจิ้นเฆี่ยน ก็กลับไปเล่าความให้นายฟังทุกประการ ฮูคุนจึงไปหา ชิงชิว ขุนนางที่เป็นพรรคพวกของตนให้ช่วยเหลือ ชิงชิวก็ไปต่อว่าเปาบุ้นจิ้นว่าตัดสินความไม่ยุติธรรม ถ้าตนจะไปกราบทูลฮ่องเต้เปาบุ้นจิ้นก็จะไม่พ้นความผิด
เปาบุ้นจิ้นก็ย้อนว่า ซึ่งฮูคุนตามใจบุตรเที่ยวข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนนั้น ตนก็จะต้องกราบทูลบ้าง ชิงชิวก็ถามว่าราษฎรเดือดร้อนด้วยข้อใด เปาบุ้นจิ้นก็ว่า
“………เก๋งบ้วนฮ่วยเหลานั้น ไม่ใช่ที่ของชาวบ้านหรือ ฮูลุนถืออำนาจของบิดาไปไล่เจ้าของเสีย แล้วทำเก๋งขึ้นไว้ มิใช่ข่มเหงราษฎรหรือ………”
ชิงชิวก็เกรงกลัวในความกล้าหาญของเปาบุ้นจิ้น จึงต้องยอมเงียบเสียง แม้จะนึกโกรธอยู่ในใจ และคิดหาช่องที่จะเอาตัวเต็กเชงมาตัดสินเสียเอง เมื่อมีโอกาสต่อไป.
##########
นิตยสารโล่เงิน
พฤษภาคม ๒๕๔๖
หอมหาภัย ๒๑ ก.ย.๕๘
คนดีแผ่นดินซ้อง
ตอนที่ ๓ หอมหาภัย
“ เล่าเซี่ยงชุน “
หอสูงที่มีชื่อว่า บ้วนฮ่วยเหลา อยู่ติดกับตึกที่เป็นโรงสุรา ของเมืองฮังคิวนี้ ฮูลุน บุตรของ ฮูคุน ขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองนี้ได้สร้างเอาไว้เป็นของตน ห้ามมิให้ผู้ใดขึ้นไปนั่ง ด้วยฮูลุน และบิดาเป็นคนโหดร้าย ถืออำนาจกดขี่ข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน ชาวบ้านเกรงกลัวกันมาก เจ้าของโรงสุราจึงห้าม เตียตง หลีหงี และ เต็กเชง ไม่ให้ขึ้นไปเสพสุราบนนั้น ทั้งสามนาย ก็โกรธมากจึงว่า
“…….ธรรมดาว่าเก๋งและตึกอยู่ริมถนนแล้ว ไม่ได้ขายสินค้าสิ่งไร ก็ต้องเป็นที่อาศัยแก่คนเดินทาง พวกเราจะขึ้นไปเลี้ยงกันให้จงได้ ถ้าฮูลุนมาจะทำประการใดก็ตามเถิด…”
ผู้ขายสุราก็ตกใจคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า
“….ท่านทั้งสามจะขึ้นไปบนเก๋งให้ได้ก็เหมือนหนึ่งหาโทษใส่ให้ข้าพเจ้า ถ้าฮูลุน รู้ความแล้วก็คงเอาข้าพเจ้าไปทำโทษถึงสาหัส ท่านจงมีความเมตตาแก่ข้าพเจ้าเถิด อย่าขึ้นไปเลย……”
เตียตงก็ว่าเรานี้หากลัวฮูลุนไม่ เต็กเชงก็ว่าพวกเราเป็นชายชาติทหาร ถ้าไม่ขึ้นไปเลี้ยงโต๊ะกันบนเก๋ง ก็จะมิเป็นคนกลัวฮูลุนหรือ เราจะขึ้นไปให้จงได้ คนขายสุรามิรู้ที่จะว่าประการใด ก็ได้แต่คำนับอ้อนวอน เตียตงจึงบอกว่า
“…….อย่าคำนับเราเลย จงจัดโต๊ะมาเถิด ฮูลุนก็มิได้อยู่บนเก๋งดอก ขอให้พวกเราขึ้นไปกินโต๊ะบนเก๋งเถิด เราจะให้เงินสิบตำลึง สักครู่หนึ่งก็จะลงมา ที่ไหนฮูลุนจะทันรู้……”
ผู้ขายสุราเห็นแก่เงินจึงยอมจัดโต๊ะขึ้นไปเลี้ยงทั้งสามนายบนเก๋งนั้น เมื่อกินเลี้ยงแล้วก็เดินชมสิ่งต่าง ๆ บนเก๋ง และสนทนากันด้วยเสียงอันดัง คนใช้ของฮูลุนเห็นดังนั้นก็นำความไปแจ้งแก่ฮูลุนที่บ้าน ฮูลุนก็โกรธมากเรียกบ่าวไพร่รีบไปที่เก๋งบ้วนฮ่วยเหลาทันที
เมื่อขึ้นไปเห็นทั้งสามนายยังนั่งอยู่ ก็ให้บ่าวไพร่ขึ้นไปไล่ ทั้งสามนายก็มิได้เกรงกลัว จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น พวกบ่าวไพร่ของฮูลุนสู้ฝีมือเตียตงกับหลีหงีไม่ได้ก็แตกกระจายไป เต็กเชงก็ว่าพวกฮูลุนถึงจะมามากกว่านี้ก็สู้ฝีมือพวกเราไม่ได้ แล้วทั้งสามก็พากันจะลงไป
ฮูลุนเห็นพวกของตนถูกตีแตกก็โกรธนัก จึงขึ้นไปบนเก๋งตวาดด้วยเสียงอันดังว่า
“…….เจ้าขึ้นมาเสพสุราบนเก๋งของเราแล้ว บังอาจตีบ่าวของเราอีกเล่า ถ้าเจ้ารู้ตัวผิดแล้ว จงมาคำนับเราเสียโดยดีเถิด……”
เต็กเชงก็มิได้โต้ตอบประการใด เอามือผลักอกฮูลุนโดยแรง ฮูลุนทานกำลังไม่ได้ ก็พลัดตกจากเก๋ง พวกบ่าวรับมิทันศรีษะฟาดกับขั้นบันไดแตก ถึงแก่ความตายในที่นั้น พวกบ่าวก็รีบเอาความไปแจ้งแก่ฮูคุนผู้บิดาฮูลุน
ฮูคุนแจ้งว่าฮูลุนตายก็โกรธนัก จึงให้บ่าวของตนประมาณร้อยเศษ ไปจับเอาตัว คนทั้งสามนั้นมาให้ได้ พวกบ่าวก็ล้อมเก๋งนั้นไว้แน่นหนา แต่พวกที่ขึ้นไปจับตัวก็ไม่สำเร็จต้องแตกหนีกลับมาอีก เจ้าของร้านเห็นเกิดความใหญ่โตขึ้น จึงขึ้นไปคุกเข่าคำนับคนทั้งสามแล้วว่า
“……. บัดนี้ท่านตีฮูลุนตาย ฮูคุนให้คนมาล้อมเก๋งไว้เป็นอันมาก ท่านจงเมตตาแก่ข้าพเจ้าอย่าได้หลบหนีไป ถ้าท่านไม่เมตตาแก่ข้าพเจ้าแล้ว ชีวิตข้าพเจ้าก็จะตายด้วยมือฮูคุน เป็นแท้……”
เต็กเชงกับพี่น้องก็รับรองว่าจะไม่หนีไปไหน และให้จัดโต๊ะมาเสพสุราเล่นตามสบายอยู่บนเก๋งนั้น จนฮูคุนไปแจ้งแก่เจ้าเมืองคุมทหารประมาณห้าสิบเศษมาถึง เจ้าเมืองให้ขุนนางชันสูตรบาดแผลฮูลุนแล้ว ก็จะเอาโทษแก่เจ้าของร้านที่ปล่อยให้คนขึ้นไปบนเก๋ง เจ้าของร้านก็ว่าได้ห้ามปรามหนักหนาแล้ว ก็ไม่ฟังลงมือทุบตีทำร้ายตนและขึ้นไปจนได้ เจ้าเมืองจึงใช้ให้ทหารไปเรียกคนทั้งสามลงมา
เต็กเชงเตียตงและหลีหงีแจ้งว่าเป็นเจ้าเมือง ก็ลงมาคำนับ เจ้าเมืองก็ถามชื่อแซ่และสาเหตุที่ขึ้นไปกินเลี้ยงบนเก๋ง แล้วทำร้ายฮูลุนเจ้าของเก๋งตาย เตียตงก็บอกชื่อแซ่และว่า
“……..ที่ขึ้นไปกินโต๊ะเสพสุราบนเก๋งสูง ด้วยเห็นว่าเก๋งทำไว้งดงามปรารถนาจะชมเล่น พอบ่าวฮูลุนแปดคนขึ้นไปบนเก๋ง แล้วขับไล่ให้พวกข้าพเจ้าลงไป พวกข้าพเจ้าหาทันจะไต่ถามไม่ พวกบ่าวฮูลุนต่างคนกลุ้มรุมตีพวกข้าพเจ้า ฮูลุนนั้นมีความโกรธเป็นกำลัง วิ่งขึ้นไปบนเก๋งเหยียบขั้นบันไดพลาด จึงพลัดตกลงมาศรีษะกระทบขั้นบันไดแตกตาย พวกข้าพเจ้าจะได้ตีฮูลุน หามิได้……..”
เจ้าเมืองฮังคิวก็ว่าเก๋งบ้วนฮ่วยเหลานี้ฮูลุนเป็นเจ้าของ พวกเจ้าขึ้นไปเสพสุราบนเก๋ง ควรที่จะอ่อนน้อมต่อเจ้าของ เหตุใดจึงสู้รบตีเจ้าของตาย แล้วยังหารับไม่ ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารจับเตียตงมัดไว้
ขณะนั้นเอง เปาบุ้นจิ้น ซึ่งเป็นผู้ถือรับสั่งพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ เที่ยวตรวจตราดูเหตุการณ์สุขและทุกข์ของราษฎร ทั่วเมืองเปียนเหลียง ได้คุมทหารเดินมาถึงหน้าโรงสุรา เห็นผู้คนอื้ออึงอยู่เป็นจำนวนมาก จึงให้คนสนิทคือ เตียหลง กับ เตียเฮา ไปสอบถามเรื่องราวจนทราบความทุกประการแล้ว ก็คิดว่าฮูลุนเป็นคนพาล ถืออำนาจของบิดาทำการข่มเหงราษฎรมาช้านานแล้ว ฮูคุนผู้บิดาก็ไม่ปราบปรามตามใจบุตร กำลังจะหาข้อผิดของฮูลุนอยู่ บัดนี้ก็ตายเสียแล้วเห็นราษฎรจะค่อยมีความสุข เราก็พลอยยินดีด้วย
เจ้าเมืองแจ้งว่าเปาบุ้นจิ้นมาก็งดชำระความไว้ รีบไปคำนับเปาบุ้นจิ้น และแจ้งความที่กำลังชำระชายสามคนซึ่งทำร้ายฮูลุนถึงตาย ให้ทราบทุกประการ เปาบุ้นจิ้นจึงถามว่าจำเลยรับเป็นสัตย์แล้วหรือยัง เจ้าเมืองก็ว่าจำเลยไม่ยอมรับ บัดนี้จะเอาคนที่ชื่อเตียตงเข้าผูกเฆี่ยนถาม เปาบุ้นจิ้นจึงว่าความเรื่องนี้เป็นความใหญ่อยู่ ตนจะชำระเอง เจ้าเมืองก็ท้วงว่าตนเป็นผู้ชำระความราษฎร ซึ่งเปาบุ้นจิ้นจะชำระเองนั้นไม่ควร
เปาบุ้นจิ้นก็หัวเราะแล้วว่า
“……..ท่านไม่รู้หรือ พระเจ้าแผ่นดินโปรดให้เราตรวจราษฎรในเมืองหลวง มีข้อความสิ่งใดเราชำระได้ทั้งสิ้น ความเรื่องนี้สำคัญอยู่เราจะชำระเอง…….”
ครั้นพูดดังนั้นแล้วก็ให้ทหารชันสูตรบาดแผลฮูลุน แล้วให้ทหารเอาตัวเต็กเชง เตียตงและหลีหงีไปที่บ้าน เจ้าเมืองก็ไม่อาจขัดได้ จึงให้ทหารรีบไปบอกฮูคุน ให้จัดการศพบุตรชายตามสมควร
ฝ่ายเปาบุ้นจิ้นมาถึงบ้านก็ขึ้นนั่งที่ชำระความ ให้ทหารเอาตัวจำเลยทั้งสามคนมาไต่สวนหาความจริง เตียตงนั้นรู้ว่าเปาบุ้นจิ้นเป็นคนมีสติปัญญา ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ความเรื่องนี้อาจชำระเอาความจริงได้ แล้วเต็กเชงก็คงไม่พ้นโทษ เราทั้งสามคนก็ได้สาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว มีทุกข์สุขสิ่งใดก็ไม่ทิ้งกัน จึงยอมรับเพียงคนเดียวว่าเป็นผู้ตีฮูลุน จนพลัดตกจากเก๋งตาย โทษทัณฑ์ประการใดแล้วแต่จะโปรด
เปาบุ้นจิ้นฟังเตียตงให้การก็แปลกใจว่า ตนเองคิดว่าฮูลุนคงจะเกิดโทโสมากเหยียบขั้นบันไดพลาดพลัดตกเก๋งเอง เหตุใดยังไม่ผูกเฆี่ยน เตียตงก็รับเป็นสัตย์ จึงว่าฮูลุนนั้นบ่าวไพร่ตามไปเป็นอันมากเหตุใดจึงตีฮูลุนได้ แล้วให้เอาตัวเตียตงลงไปจากโรงชำระ
แล้วถามหลีหงีว่าเตียตงรับเป็นสัตย์ว่าตีฮูลุนพลัดตกจากเก๋งตายจริงหรือเท็จ
หลีหงีก็ให้การว่าตนสองคนกับเตียตงเอาแพรมาขายในเมืองหลวง แล้วชวน เต็กเชงขึ้นไปกินโต๊ะบนเก๋ง ฮูลุนพาบ่าวขึ้นไปวิวาทกับพวกตนจึงได้สู้รบกัน แต่ฮูลุนนั้นตนเองเป็นคนตีตาย
เปาบุ้นจิ้นก็หัวเราะแล้วว่า เจ้ารับว่าตีฮูลุนตาย เจ้าไม่รู้หรือว่าจะต้องโทษตายตกไปตามกัน หลีหงีก็ว่าขอให้ปล่อยเตียตงกับเต็กเชงเสียเถิด โทษนั้นตนจะรับตายคนเดียวเอง
เปาบุ้นจิ้นก็ว่าเราชำระความมาช้านานแล้ว ยังหาพบเหมือนคนทั้งสองนี้ไม่ แล้วก็ให้เอาตัวหลีหงีลงไปเสียจากโรงชำระ แล้วก็เรียกเต็กเชงเข้ามาใกล้ถามว่า เป็นชาวเมืองไหน มีธุระสิ่งใดจึงเข้ามาในเมืองหลวง
เต็กเชงก็บอกชื่อและแซ่แล้วว่า
“……..ข้าพเจ้ามาเมืองหลวงนี้ ปรารถนาจะมาเยี่ยมญาติ จึงได้พบเตียตงหลีหงี ชวนข้าพเจ้าขึ้นไปเสพสุราบนเก๋งสูง ซึ่งเตียตงหลีหงีรับว่าตีฮูลุนตานนั้นเป็นการไม่จริง ข้าพเจ้าตีตายเอง ท่านจงยกโทษเตียตงหลีหงีเสียเถิด………”
เปาบุ้นจิ้นพิเคราะห์ดูรูปพรรณเต็กเชงเห็นเป็นคนมีตระกูล เหตุใดจึงมารับแทนคนทั้งสอง จึงว่า
“……..ซึ่งตีฮูลุนตายนั้น เตียตงหลีหงีเขารับเป็นสัตย์แล้ว เราเห็นเจ้าเป็นคนเอวบางร่างน้อย จะชกตีพวกฮูลุนได้หรือ เจ้านี่ชะรอยจะเสียจริตดอกกระมัง……..”
แล้วให้ทหารไล่เต็กเชงไปเสียจากบ้าน พวกบ่าวของฮูคุนที่มาคอยฟังการชำระ ก็ท้วงเปาบุ้นจิ้นว่า เต็กเชงคนนี้ตีฮูลุนนายของตนตาย และก็รับเป็นสัตย์แล้ว เหตุใดท่านปล่อยไป ถ้านายของตนทราบความที่ไหนจะยอม ต้องขัดเคืองกับท่านแน่
เปาบุ้นจิ้นได้ฟังก็โกรธว่า เจ้าจะเอาอำนาจฮูคุนมาข่มขี่เราหรือ แล้วจึงให้ทหารจับตัวบ่าวผู้นั้น มาตีเสียยี่สิบทีแล้วก็ไล่ออกจากบ้านไป
ขณะที่ผู้คุมเอาตัวเตียตงกับหลีหงีออกไปขังตะราง ก็เห็นเต็กเชงนั่งรออยู่ที่หน้าบ้านเปาบุ้นจิ้น จึงถามว่าเหตุใดจึงไม่กลับบ้าน เต็กเชงก็ว่าจะคอยฟังข่าวว่าเปาบุ้นจิ้นจะชำระประการใด
เตียตงก็ว่าท่านยังมิได้ปรึกษาโทษ สั่งแต่ให้ผู้คุมเอาตัวไปใส่ตะรางไว้ เต็กเชงก็ว่าทั้งสองไปอยู่ที่ไหนตนก็จะตามไปอยู่ด้วย เตียตงก็ว่าตนทั้งสองเป็นคนโทษ ตัวท่านพ้นโทษแล้วจงกลับไปอยู่บ้านเถิด เต็กเชงจึงว่าเราทั้งสามคนได้สาบานเป็นพี่น้อง ว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ตนจึงไม่ยอมไปอยู่บ้าน เตียตงจึงเข้าไปใกล้แล้วกระซิบว่า
“………ข้าพเจ้าเห็นเปาบุ้นจิ้นมีความเมตตาข้าพเจ้าทั้งสองอยู่ เห็นจะไม่ตายดอก ท่านจงกลับไปบ้านเถิด แล้วเรียกเอาเงินที่จิวเซงร้อยตำลึงมาให้ข้าพเจ้า จะได้ใช้สอยในตะราง……”
เต็กเชงก็คำนับลาเตียตงหลีหงีรีบไปบ้านจิวเซง แจ้งเรื่องให้ทราบทุกประการ แล้วก็เอาเงินร้อยตำลึงจากจิวเซงไปมอบให้เตียตง และกลับมาฟังข่าวอยู่ที่บ้าน ด้วยไม่รู้ว่าสองสหายจะได้รับโทษทัณฑ์ประการใด.
ฝ่ายบ่าวของฮูคุนที่ถูกเปาบุ้นจิ้นเฆี่ยน ก็กลับไปเล่าความให้นายฟังทุกประการ ฮูคุนจึงไปหา ชิงชิว ขุนนางที่เป็นพรรคพวกของตนให้ช่วยเหลือ ชิงชิวก็ไปต่อว่าเปาบุ้นจิ้นว่าตัดสินความไม่ยุติธรรม ถ้าตนจะไปกราบทูลฮ่องเต้เปาบุ้นจิ้นก็จะไม่พ้นความผิด
เปาบุ้นจิ้นก็ย้อนว่า ซึ่งฮูคุนตามใจบุตรเที่ยวข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนนั้น ตนก็จะต้องกราบทูลบ้าง ชิงชิวก็ถามว่าราษฎรเดือดร้อนด้วยข้อใด เปาบุ้นจิ้นก็ว่า
“………เก๋งบ้วนฮ่วยเหลานั้น ไม่ใช่ที่ของชาวบ้านหรือ ฮูลุนถืออำนาจของบิดาไปไล่เจ้าของเสีย แล้วทำเก๋งขึ้นไว้ มิใช่ข่มเหงราษฎรหรือ………”
ชิงชิวก็เกรงกลัวในความกล้าหาญของเปาบุ้นจิ้น จึงต้องยอมเงียบเสียง แม้จะนึกโกรธอยู่ในใจ และคิดหาช่องที่จะเอาตัวเต็กเชงมาตัดสินเสียเอง เมื่อมีโอกาสต่อไป.
##########
นิตยสารโล่เงิน
พฤษภาคม ๒๕๔๖