ไฝทำพิษ ๑ พ.ย.๕๘

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม

ไฝทำพิษ

" เล่าเซี่ยงชุน "

เมื่อครั้งที่ เปาบุ้นจิ้น เดินทางตรวจราชการไปถึงเมืองกิมฮวยหู ขณะที่ขี่ม้าผ่านเข้าไปในเมือง ก็เห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินมาตามถนน ฝ่ายชายนั้นปากแตกหน้าตาฟกช้ำมีโลหิตไหลเดินนำหน้า ฝ่ายหญิงอุ้มทารกเดินร้องไห้ตามมาข้างหลัง เปาบุ้นจิ้นบังเกิดความสงสัยจึงหยุดม้า แล้วเรียกชายหญิงทั้งสองเข้ามาสอบถามเรื่องราวดู

ฝ่ายหญิงก็เล่าว่า ตนชื่อ นางติ้นฮวยกุ้ย มีสามีชื่อ พัวกุ้ย มีบุตรชายคนหนึ่งอายุพอได้แปดเดือน ทั้งสองลงเรือจ้างจะมาเยี่ยมบิดาตนที่เมืองนี้ พอเรือเข้าจอดที่ท่าแล้ว คนโดยสารต่างก็ขึ้นฝั่งเพื่อเดินทางต่อไป ชายที่มาด้วยนี้ก็เข้ามาฉุดมือ แล้วว่าตนเป็นภรรยาของเขา พัวกุ้ยผู้สามีเหลียวหน้ามาดูเห็นดังนั้นก็โกรธ ว่าเหตุใดจึงมาฉุดภรรยาของตน ชายผู้นี้ก็เถียงว่าตนเป็นภรรยาของเขา เหตุใดจึงมาขวางกั้น พัวกุ้ยก็เกิดโทโสจึงชกต่อยชายผู้นี้ จนหน้าแตกเลือดไหล เจ้าหน้าที่นัคราภิบาลจึงจับตัวคนทั้งสอง ไปส่งให้ผู้รักษาเมืองกิมฮวยหู ให้ชำระคดี

ท่านผู้รักษาเมืองถามพัวกุ้ยว่า เหตุใดจึงได้ตีกันจนเลือดตกยางออกถึงเช่นนี้ พัวกุ้ยก็ว่าชายผู้นี้บังอาจมาฉุดคร่านางติ้นฮวยกุ้ย ซึ่งเป็นภรรยา จึงมีความโกรธและได้ทำร้ายร่างกายจริง

ผู้รักษาเมืองก็ถามชายอีกคนหนึ่ง ผู้ซึ่งมีชื่อ อั๋งงัง ว่า จริงดังคำให้การของพัวกุ้ยหรือไม่ อั๋งงังก็ให้การว่า นางติ้นฮวยกุ้ยเป็นภรรยาของตน ได้นอกใจตามพัวกุ้ยไป เมื่อมาพบเห็นเข้าจึงได้จับตัวไว้ แต่พัวกุ้ยก็บังอาจทุบตีเขาจนได้รับบาดเจ็บ ขอให้พิจารณาตัดสินด้วย

ผู้รักษาเมืองก็ถามอั๋งงังว่า ถ้าว่านางติ้นฮวยกุ้ยเป็นภรรยาของเจ้านั้น มีสิ่งใดเป็นสำคัญที่จะอ้างได้บ้าง อั๋งงังก็ว่านางติ้นฮวยกุ้ยมีใฝดำอยู่ใต้นมเบื้องซ้าย เป็นที่อ้างองค์พยานในกาย

ผู้รักษาเมืองจึงให้หญิงคนใช้ มาแก้เสื้อชันสูตรดู ก็เห็นว่านางติ้นฮวยกุ้ยมีใฝดำที่ริมฐานถันจริงดังคำที่อั๋งงังอ้าง จึงตัดสินให้ลงโทษตีพัวกุ้ยห้าสิบที แล้วบังคับให้นางติ้นฮวยกุ้ยไปกับอั๋งงัง นางเป็นคนไม่รู้เดียงสาโดยเป็นชาวบ้านนอก ก็ไม่กล้าโต้แย้งทุ่มเถียงกับผู้รักษาเมือง มีแต่ความกลัวอย่างเดียว จึงจำใจต้องอุ้มบุตรเดินตามอั๋งงังมา จนพบกับท่านเปาบุ้นจิ้น
นี้

เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้นจึงว่า

".....เป็นขุนนางตัดสินความของราษฎร ไม่พิจารณาไต่สวนให้ถี่ถ้วนละเอียด ทำแต่หยาบ ๆ ลวก ๆ เอาแต่พอที่จะลงเนื้อเห็นว่า สมอ้างตามกฎหมาย แต่ยังไม่พอแก่ความยุติธรรมนั้น หากระทำให้เต็มรอบไม่ ราษฎรจึงต้องรับความเดือดร้อนเช่นนี้....."

ว่าดังนั้นแล้วจึงสั่งให้นักการคุมตัว ทั้งโจทก์ทั้งจำเลยเข้าไปยังในเมืองแล้วเปาบุ้นจิ้นจึงพูดกับผู้รักษาเมืองว่า คดีเรื่องนี้เป็นเรื่องพิจารณาตัดสินได้ง่าย ๆ ไม่ยากอะไรเลย ท่านพิจารณาไม่ละเอียด จึงไม่ได้ความจริง ไม่เป็นยุติธรรม คดีเรื่องนี้ข้าพเจ้าจะพิจารณาไต่สวนใหม่ ให้ท่านเห็นว่าจะเป็นยุติธรรมหรือไม่เป็นยุติธรรม ท่านจงคอยดู ว่าแล้วก็ให้โจทก์จำเลยแยกกันไปนั่งคนละแห่งห่างกัน

เปาบุ้นจิ้นก็ถามนางติ้นฮวยกุ้ยว่า ชายทั้งสองนี้ผู้ใดเป็นสามีของเจ้าแน่ นางติ้นฮวยกุ้ยก็ว่า ชายผู้ที่ท่านเจ้าเมืองตัดสินว่าเป็นสามีของข้าพเจ้านั้น หาใช่สามีของข้าพเจ้าไม่ เปาบุ้นจิ้นก็ถามต่อไปว่า เมื่อเจ้าได้เป็นภรรยาของพัวกุ้ยนั้น อายุของเจ้าได้มากน้อยเท่าใด นางติ้นฮวยกุ้ยก็ให้การว่า

“……เมื่อได้เป็นภรรยาพัวกุ้ยนั้น อายุข้าพเจ้าได้ยี่สิบสามปี อายุสามีข้าพเจ้าได้ยี่สิบห้าปี อยู่ด้วยกันสองปีจึงมีบุตร บัดนี้บุตรมีอายุได้แปดเดือน …….”

เปาบุ้นจิ้นก็ถามต่อไปว่า เจ้ายังมีบิดามารดาอยู่หรือไม่ นางติ้นฮวยกุ้ย ก็ว่า

“……ยังอยู่แต่บิดาอายุได้สี่สิบเก้าปี แต่มารดานั้นได้ถึงแก่กรรมไปเสียแล้ว เมื่ออายุสี่สิบห้าปี……”

เปาบุ้นจิ้นก็ซักต่อไปอีกว่า บิดามารดาชื่ออย่างไร ตัวเจ้ามีพี่น้องอีกหรือไม่ มีกี่คน ด้วยกันเป็นชายหรือหญิง นางติ้นฮวยกุ้ยก็ว่า ข้าพเจ้ามีพี่น้องเป็นหญิงด้วยกันสามคน บิดาชื่อ ติ้นไท่ มารดาชื่อ เตียสี

เปาบุ้นจิ้นก็ให้นางติ้นฮวยกุ้ยแยกไปนั่งที่อื่น แล้วเรียกตัวพวยกุ้ยมาสอบสวน พัวกุ้ยก็ให้การสมดังคำให้การของนางติ้นฮวยกุ้ยทุกประการ เปาบุ้นจิ้นจึงเรียกตัวอั๋งงังมาถามว่า

"....เจ้าว่านางติ้นฮวยกุ้ยเป็นภรรยาของเจ้านั้น เจ้ารู้จักบิดามารดา ของนางติ้นฮวยกุ้ยว่า แซ่ใด ชื่อใด มีพี่น้องกี่คน อายุได้กี่ปี จึงได้แต่งงานอยู่กินด้วยกัน กี่เดือนกี่ปีจึงมีบุตร....."

อั๋งงังก็ให้การเลอะเทอะ ไม่ถูกต้องกับคำให้การของนางติ้นฮวยกุ้ยและพัวกุ้ย ในที่สุดก็ต้องยอมรับสารภาพว่า ตนเห็นใฝดำที่นมของนางติ้นฮวยกุ้ย เมื่อนางเลิกเสื้อให้บุตรกินนมในเรือจ้าง จึงได้สมอ้างเอาด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาว่าเป็นภรรยาของตน

เปาบุ้นจิ้นจึงตัดสินลงโทษเฆี่ยนอั๋งงังเสียสี่สิบที แล้วให้ส่งตัวไปเป็นพลทหารหัวเมืองไกล ส่วนนางติ้นฮวยกุ้ยนั้น ให้กลับคืนไปแก่สามีตามเดิม

ท่านว่าเรื่องนี้แสดงให้เห็นปัญญาของคนพาล ที่คิดหมิ่น ๆ สั้น ๆ เห็นแต่ใฝใต้นมของเขาเท่านั้น ก็หมายมั่นมุ่งมาดจะเอาชัยชนะ และประกอบกับตุลาการกักขละทารุณ หมกมุ่นไปด้วยโมหาคติ มิได้วินิจฉัยสอดส่องให้ถ่องแท้ จึงตัดสินชี้ขาด ให้จริงแท้กลับแพ้เท็จ หากว่าท่านเปาบุ้นจิ้นเป็นผู้มีวิจารณาญาณ ไต่ถามจนสิ้นสุดกระแสความ จึงได้เห็นเท็จจริงโดยยุติธรรม

ซึ่งท่านผู้อ่านก็คงจะเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง หาไม่แล้วนางเอกของเรื่องนี้ ก็จะต้องตกเป็นภรรยาของผู้ร้าย ที่ไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายเท้า ด้วยความชอกช้ำระกำใจไปจนตาย

และเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าไม่จำเป็นแล้ว อย่าได้เปิดเผยของสงวนในที่สาธารณะ เป็นอันขาดทีเดียวเชียว

ก็ไม่ทราบว่า สาวสมัยใหม่ยุคสายเดี่ยวทั้งหลาย จะยอมเชื่อหรือไม่.

##########

นิตยสารทหารปืนใหญ่
ตุลาคม ๒๕๔๕
1.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่