เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม
ขุนนางผู้ชั่วช้า
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ในสมัยหนึ่งนั้น เกิดฝนแล้ง อาณาประชาราษฎรทำนาไม่ได้ ผู้คนพากันล้มตาย ได้ความลำบากเพราะความอดอาหาร ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ เปาบุ้นจิ้นเป็นข้าหลวงออกไปเปิด ฉางข้าวหลวง แจกจ่ายแก่ราษฎรเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ครั้นเปาบุ้นจิ้นไปถึงเมืองตันจิ๋ว แจกข้าวในฉางให้แก่ราษฎรเสร็จแล้ว ก็กลับมายังตึกที่พัก ให้มีประกาศว่า
ตัวท่านเป็นผู้รับรับสั่งให้เป็นข้าหลวง แจกเสบียงแก่อาณาประชาราษฎร แม้ว่า ราษฎรคนใดได้รับความเดือดร้อน จากผู้มีอำนาจกดขี่ข่มเหง ผู้นั้นจะมาฟ้องร้องแล้ว ไม่ต้องมี ผู้ใดนำมา และไม่ให้ผู้ใดขัดขวางห้ามปราม ผู้ซึ่งมีความทุกข์ร้อนนั้น
อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีหญิงคนหนึ่งชื่อ นางหงอสี มีรูปร่างงดงาม มารยาทเรียบร้อย อุ้มบุตรอายุประมาณสองปี เข้ามาคำนับท่านเปาบุ้นจิ้น แล้วยื่นเรื่องราวฟ้องร้องว่า ซุนงิ้ม บุตรชายของ ซุนโตก่ำ ขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองนี้ วางยาพิษฆ่า เตียหือ สามีของตนตาย เปาบุ้นจิ้น ก็รับหนังสือมาอ่านดู มีใจความโดยละเอียดว่า
นางหงอสีตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลเน้ยถอง ห่างจากเมืองตันจิ๋วประมาณห้าลี้ เตียหือ สามีของตนซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นสิวจ๋าย ได้คบหากับซุนงิ้มเป็นมิตรสหาย และซุนงิ้มก็ไปมา หาสู่ นอนค้างอ้างแรมที่บ้านของตนอยู่เนืองนิจ แต่วันหนึ่งเมื่อสามีของตน ไม่อยู่บ้านไปเยี่ยมญาติ ที่เมืองไกล ซุนงิ้มมาพูดจาสัพยอกแทะโลมตน ซึ่งตนได้ว่ากล่าวจนได้อายไป เมื่อสามีกลับมาตน จึงได้บอกกับสามี ถึงเรื่องที่ซุนงิ้มเป็นคนทรยศต่อมิตร หาซื่อตรงไม่ สามีก็โกรธจึงได้ขาดไมตรี มิได้ไปมาหาสู่กันเหมือนแต่เดิม
เวลาได้ล่วงมาประมาณเดือนหนึ่ง เป็นเดือนสิบเอ็ด ซุนงิ้มให้คนใช้ มาเชิญ เตียหือไปกินเลี้ยงที่วัดไคหงวนยี่ เตียหือขัดไม่ได้ก็ไปกินเลี้ยงเสพสุรากับซุนงิ้ม ตามคำเชิญ เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เข้าไปนอนในห้อง ร้องว่าปวดท้อง และอาเจียนออกมาเป็นโลหิต จนเวลาดึก ประมาณสองยาม เตียหือก็ถึงแก่ความตาย
ครั้นสามีตายไปยังไม่ทันจะถึงครึ่งเดือน ซุนงิ้มก็ให้เฒ่าแก่แม่สื่อมาขอตน ไปเป็น ภรรยา ตนจึงเชื่อว่าซุนงิ้มวางยาพิษสามีของตน เพื่อจะได้ขอตนไปเป็นภรรยา ตนจึงไปฟ้องต่อท่าน ผู้รักษาเมือง เพื่อขอให้ชำระคดีที่สามีตาย ผู้รักษาเมืองกลับเป็นใจเข้าด้วยซุนงิ้ม ขู่บังคับตนว่า ถ้าไม่ยอมสมัครเป็นภรรยาซุนงิ้มแล้ว ตนก็จะต้องตายอย่างไม่มีแผ่นดินจะฝังศพด้วย
นางหงอสีได้ความเดือดร้อนนัก ไม่มีผู้ใดเป็นที่พึ่ง เพราะบิดาของซุนงิ้ม ก็เป็น ขุนนางผู้ใหญ่ จึงมาร้องเรียนขอความยุติธรรมต่อเปาบุ้นจิ้น ให้พิจารณาความเรื่องนี้ ตามพระราช กำหนดกฎหมาย โดยทางยุติธรรมด้วย
เปาบุ้นจิ้นตรวจดูเรื่องราวของนางหงอสีโดยตลอดแล้ว จึงถามว่านางมีผู้คนที่อยู่ เรือนเดียวกันกี่คน นางหงอสีก็ว่ามีแต่ย่าของตน อายุได้เจ็ดสิบสองปี กับบุตรชายอายุสองปีที่พามา ด้วยนี้ เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้นางหงอสีย้ายไปอยู่ตำบลอื่น แล้วก็เรียกตัวผู้ใหญ่บ้านและลูกบ้าน ตำบล เน้ยถอง มาไต่ถามถึงความประพฤติของซุนงิ้ม และซุนโตก่ำผู้บิดา ว่าเป็นคนเช่นไร และทำมา หากิน อย่างใด
บรรดาผู้ใหญ่บ้านและลูกบ้านก็บอกว่า
“…..ท่านมีคำถามแล้ว พวกข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็นอย่างไร ก็จะต้องบอกเล่าไป ตาม ตรง ไม่อาจสามารถจะอำพรางไว้ได้….”
แล้วก็เล่าเรื่องของสองพ่อลูก ให้เปาบุ้นจิ้นฟังอย่างละเอียด เป็นเนื้อความว่า
อันซุนโตก่ำผู้นี้ มิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม เห็นบุตรภรรยาผู้ใดถ้าพอใจแล้ว ก็ฉุดลาก เอามาตามอำเภอใจ โดยอำนาจพลการตนเอง ผู้รักษาเมืองและกรมการก็มีความเกรงกลัวอำนาจ ของซุนโตก่ำยิ่งนัก ในส่วนซุนงิ้มซึ่งเป็นบุตรนั้น ก็ถืออำนาจบิดาหาเกรงกลัวผู้ใดไม่ อีกประการ หนึ่งซุนงิ้มไปชิงเอาที่นาสำหรับวัดไคหงวนยี่ ไปเป็นอาณาประโยชน์ของตนเองเสียหลายไร่ และในวัดไคหงวนยี่นั้น เป็นที่ประชุมของซุนงิ้ม ตั้งโต๊ะเสพสุราและพาหญิงงามเมือง ไปกระทำอุจาดลามกในวัด ถ้าชอบใจบุตรภรรยาของผู้ใดแล้ว ย่อมฉุดคร่ามาข่มขืนเป็นภรรยาตามชอบใจ เจ้าวัดและลูกวัดไคหงวนยี่ ได้ความเดือดร้อนด้วยซุนงิ้นเป็นอันมาก
เปาบุ้นจิ้นฟังบรรดาผู้ใหญ่บ้านและลูกบ้าน ชี้แจงความประพฤติของสองพ่อลูกดังนั้น ก็ไม่ว่าประการใด อยู่มาวันหนึ่งก็ปลอมเป็นราษฎรไปเที่ยวที่วัดไคหงวนยี่ ได้เข้าไปทางประตูหลังวัด และขึ้นไปดูสำนักที่หลวงจีนอยู่อาศัย ได้ยินเสียงเด็กศิษย์วัดบอกกันว่า ซุนงิ้มกงจื้อมาแล้ว บรรดาหลวงจีนและศิษย์วัดมีความเกรงกลัวซุนงิ้ม ก็พากันหลีกทางให้ซุนงิ้ม เข้าไปในที่อยู่ของหลวงจีน เปาบุ้นจิ้นเห็นดังนั้น จึงเข้าไปแอบในโบสถ์ แง้มประตูดูว่าซุนงิ้มจะทำประการใด
ซุนงิ้มก็ขี่ม้าเข้ามาถึงวัดเป็นขบวน มีบ่าวไพร่ตามหลังประมาณยี่สิบคน กับพ่อครัวคนสนิท และหญิงขับร้องอีกสองคน ทั้งหมดก็เข้าไปนั่งโต๊ะที่ทางวัดจัดตั้งไว้คอยท่า หลวงจีนเจ้าวัดก็ออกมาต้อนรับตามธรรมเนียม ซุนงิ้มก็นั่งเสพสุราพูดจาอวดโตว่า ในหัวเมืองฝ่ายตะวันตกนี้ ไม่มีผู้ใดเป็นใหญ่ไปกว่าตน เปาบุ้นจิ้นก็โกรธยิ่งนัก แต่อุตส่าห์สะกดใจไว้
พอดีมีหลวงจีนลูกวัดองค์หนึ่ง เดินมาที่โบสถ์เห็นเปาบุ้นจิ้นแอบอยู่ จึงถามว่าบ้านอยู่ที่ไหน เหตุใดจึงมาเที่ยวในวัดนี้ เปาบุ้นจิ้นก็บอกว่า ตนเป็นคนใช้ของเปาบุ้นจิ้น อยู่ในเมือง เปาบุ้นจิ้นใช้ให้ตนมาตามพ่อครัวทำกับข้าว จะเลี้ยงโต๊ะขุนนาง แต่ตนไม่รู้จักชื่อแซ่พ่อครัวผู้นั้น จึงจะมาถามลูกวัด หลวงจีนองค์นั้นก็บอกว่า
“……พ่อครัวผู้นั้นแซ่เซี้ย อยู่บ้านซุนโตก่ำ เป็นผู้ทำกับข้าวฝีมือดียิ่งนัก…..”
เปาบุ้นจิ้นจึงถามต่อไปว่าพ่อครัวคนนี้ ทำการใดให้คนเล่าลือกันบ้าง หลวงจีนก็เล่าว่า
“……ซุนงิ้มบุตรของซุนโตก่ำให้ทำโต๊ะ เลี้ยงเตียหือนักเรียนสิวจ๋ายในวัดนี้ พ่อครัวผู้นั้นเป็นผู้ประกอบยาพิษใส่ในสุรา ให้เตียหือกิน ครั้นเตียหือกลับไปบ้านก็ถึงแก่ความตาย ความเรื่องนี้นอกจากท่านเปาบุ้นจิ้นแล้ว ไม่มีผู้ใดจะฝ่าฝืนชำระสะสางได้…….”
เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้น ก็ออกจากวัดรีบไปยังที่พัก และให้เจ้าหน้าที่ไปเอาตัวเซี้ยสีพ่อครัว ที่บ้านซุนโตก่ำ มาซักถามคดีวางยาพิษในวันนั้น แต่เซี้ยสีให้การปฏิเสธไม่ยอมรับ
เปาบุ้นจิ้นจึงให้เอาหลักคามาปักจะผูกตี เซี้ยสีตกใจกลัวก็รับเป็นสัตย์ และซัดทอดถึงซุนงิ้ม เปาบุ้นจิ้นจึงเอาตัวพ่อครัวไปขังไว้ และจัดโต๊ะและสุราไว้พร้อม แล้วจึงให้คนใช้ถือเทียบไปเชิญซุนงิ้มกับซุนโตก่ำมากินโต๊ะ พอคนใช้ไปแล้วก็ให้เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อม ที่จะจับกุมตัวสองพ่อลูกนั้น
แต่ซุนงิ้มมาคนเดียวบิดาไม่ได้มาด้วย เปาบุ้นจิ้นก็ต้อนรับเชิญเข้าข้างใน นั่งโต๊ะเสพสุรากัน ซุนงิ้มก็คำนับแล้วออกตัวว่า
“……..ข้าพเจ้าหาทันคิดไม่ ด้วยท่านเป็นข้าหลวงมาทางไกล ชอบแต่ข้าพเจ้าจะต้อนรับท่านจึงจะถูกต้อง มาบัดนี้ท่านกลับจัดโต๊ะต้อนรับข้าพเจ้านั้น หาควรไม่……..”
เปาบุ้นจิ้นก็หัวเราะแล้วว่า
“…….ข้าพเจ้าจะปรึกษาข้อราชการด้วยท่าน จึงได้เชิญท่านมานั่งโต๊ะเสพสุราด้วยกัน……”
ว่าแล้วก็ให้คนใช้รินสุราให้ซุนงิ้มกิน ซุนงิ้มเสพสุราพอมึน ๆ เปาบุ้นจิ้นก็ส่งเรื่องราวของนางหงอสีให้ดู ซุนงิ้มอ่านรู้ความแล้วก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ และถามว่า
“……..เรื่องนี้ผู้ใดเป็นพยานยืนยันว่าข้าพเจ้าวางยาพิษ ให้เตียหือซึ่งเป็นนักเรียนสิวจ๋ายตาย…….”
เปาบุ้นจิ้นจึงให้เจ้าพนักงานคุมตัวเซี้ยสีออกมา แล้วก็อ่านคำให้การของเซี้ยสีซึ่งรับเป็นสัตย์ และซัดทอดถึงซุนงิ้มให้ฟังทุกประการ แล้วเปาบุ้นจิ้นก็ตบโต๊ะเป็นสัญญาณขึ้น พวกเจ้าหน้าที่ซึ่งเตรียมไว้ ก็กรูกันเข้าถอดเสื้อหมวกสำหรับยศของซุนงิ้มออกจากตัว ซุนงิ้มก็รับเป็นสัตย์ แล้วอ้อนวอนว่าตนได้ผิดไปแล้ว ขอให้ยกโทษสักครั้งหนึ่งเถิด
เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก ร้องตวาดว่า
“…….มืงสองคนพ่อลูกอยู่ในเมืองนี้ กระทำให้ราษฎรและหลวงจีนซึ่งจำศีลภาวนาอยู่ในวัด ได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก ในส่วนอื่นนั้นพอจะยกให้ได้ แต่ในส่วนกฎหมายแผ่นดินแล้ว กูยกให้มืงไม่ได้……..”
ว่าดังนั้นแล้วเปาบุ้นจิ้นก็สั่งให้เจ้าพนักงาน จับตัวซุนงิ้มคว่ำลงตีห้าสิบที ซุนงิ้ม ทนความเจ็บปวดไม่ได้ก็ขาดใจตาย เปาบุ้นจิ้นจึงให้ตัดศรีษะไปเสียบประจานไว้นอกเมือง มิให้ราษฎรดูเยี่ยงต่อไป
แล้วเปาบุ้นจิ้นก็แต่งใบบอกเรื่อง ซุนโตก่ำกับซุนงิ้ม ประพฤติล่วงอาญาแผ่นดินเที่ยวกดขี่ข่มเหงราษฎร พร้อมกับเรื่องราวของนางหงอสี และถ้อยคำสำนวนให้การรับเป็นสัตย์ ของซุนงิ้มกับเซี้ยสี ให้เจ้าพนักงานนำไปถวายฮ่องเต้ ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้แจ้งในใบบอกนั้นแล้ว ก็โปรดให้ถอดซุนโตก่ำออกจากยศขุนนางลงเป็นไพร่ และโทษของเซี้ยสีซึ่งเป็นพ่อครัวของซุนงิ้ม ใช้ให้วางยาพิษนั้น ให้ส่งตัวไปเป็นพลทหารอยู่หัวเมืองอันกันดาร ส่วนความชอบของนางหงอสี ที่มีความซื่อสัตย์กตัญญูต่อสามีนั้น ให้เบิกเงินคลังของเมืองตันจิ๋ว เป็นเบี้ยเลี้ยงให้ทุกเดือน จนกว่านางหงอสีจะมีสามีเลี้ยงดูต่อไป
ความเรื่องที่ผู้มีอิทธิพล รังแกชาวบ้านนี้ คงจะเงียบหายไปอย่างแน่นอน หากไม่ได้เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม ซึ่งเจ็บร้อนแทนผู้ที่ได้รับทุกข์ และไม่เกียจคร้านเบื่อหน่ายในการที่จะหาความจริง จนได้ตัวคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย ในที่สุด.
###########
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2554
ขุนนางผู้ชั่วช้า ๕ พ.ย.๕๘
ขุนนางผู้ชั่วช้า
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ในสมัยหนึ่งนั้น เกิดฝนแล้ง อาณาประชาราษฎรทำนาไม่ได้ ผู้คนพากันล้มตาย ได้ความลำบากเพราะความอดอาหาร ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ เปาบุ้นจิ้นเป็นข้าหลวงออกไปเปิด ฉางข้าวหลวง แจกจ่ายแก่ราษฎรเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ครั้นเปาบุ้นจิ้นไปถึงเมืองตันจิ๋ว แจกข้าวในฉางให้แก่ราษฎรเสร็จแล้ว ก็กลับมายังตึกที่พัก ให้มีประกาศว่า
ตัวท่านเป็นผู้รับรับสั่งให้เป็นข้าหลวง แจกเสบียงแก่อาณาประชาราษฎร แม้ว่า ราษฎรคนใดได้รับความเดือดร้อน จากผู้มีอำนาจกดขี่ข่มเหง ผู้นั้นจะมาฟ้องร้องแล้ว ไม่ต้องมี ผู้ใดนำมา และไม่ให้ผู้ใดขัดขวางห้ามปราม ผู้ซึ่งมีความทุกข์ร้อนนั้น
อยู่มาวันหนึ่ง ก็มีหญิงคนหนึ่งชื่อ นางหงอสี มีรูปร่างงดงาม มารยาทเรียบร้อย อุ้มบุตรอายุประมาณสองปี เข้ามาคำนับท่านเปาบุ้นจิ้น แล้วยื่นเรื่องราวฟ้องร้องว่า ซุนงิ้ม บุตรชายของ ซุนโตก่ำ ขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองนี้ วางยาพิษฆ่า เตียหือ สามีของตนตาย เปาบุ้นจิ้น ก็รับหนังสือมาอ่านดู มีใจความโดยละเอียดว่า
นางหงอสีตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลเน้ยถอง ห่างจากเมืองตันจิ๋วประมาณห้าลี้ เตียหือ สามีของตนซึ่งเป็นนักศึกษาชั้นสิวจ๋าย ได้คบหากับซุนงิ้มเป็นมิตรสหาย และซุนงิ้มก็ไปมา หาสู่ นอนค้างอ้างแรมที่บ้านของตนอยู่เนืองนิจ แต่วันหนึ่งเมื่อสามีของตน ไม่อยู่บ้านไปเยี่ยมญาติ ที่เมืองไกล ซุนงิ้มมาพูดจาสัพยอกแทะโลมตน ซึ่งตนได้ว่ากล่าวจนได้อายไป เมื่อสามีกลับมาตน จึงได้บอกกับสามี ถึงเรื่องที่ซุนงิ้มเป็นคนทรยศต่อมิตร หาซื่อตรงไม่ สามีก็โกรธจึงได้ขาดไมตรี มิได้ไปมาหาสู่กันเหมือนแต่เดิม
เวลาได้ล่วงมาประมาณเดือนหนึ่ง เป็นเดือนสิบเอ็ด ซุนงิ้มให้คนใช้ มาเชิญ เตียหือไปกินเลี้ยงที่วัดไคหงวนยี่ เตียหือขัดไม่ได้ก็ไปกินเลี้ยงเสพสุรากับซุนงิ้ม ตามคำเชิญ เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เข้าไปนอนในห้อง ร้องว่าปวดท้อง และอาเจียนออกมาเป็นโลหิต จนเวลาดึก ประมาณสองยาม เตียหือก็ถึงแก่ความตาย
ครั้นสามีตายไปยังไม่ทันจะถึงครึ่งเดือน ซุนงิ้มก็ให้เฒ่าแก่แม่สื่อมาขอตน ไปเป็น ภรรยา ตนจึงเชื่อว่าซุนงิ้มวางยาพิษสามีของตน เพื่อจะได้ขอตนไปเป็นภรรยา ตนจึงไปฟ้องต่อท่าน ผู้รักษาเมือง เพื่อขอให้ชำระคดีที่สามีตาย ผู้รักษาเมืองกลับเป็นใจเข้าด้วยซุนงิ้ม ขู่บังคับตนว่า ถ้าไม่ยอมสมัครเป็นภรรยาซุนงิ้มแล้ว ตนก็จะต้องตายอย่างไม่มีแผ่นดินจะฝังศพด้วย
นางหงอสีได้ความเดือดร้อนนัก ไม่มีผู้ใดเป็นที่พึ่ง เพราะบิดาของซุนงิ้ม ก็เป็น ขุนนางผู้ใหญ่ จึงมาร้องเรียนขอความยุติธรรมต่อเปาบุ้นจิ้น ให้พิจารณาความเรื่องนี้ ตามพระราช กำหนดกฎหมาย โดยทางยุติธรรมด้วย
เปาบุ้นจิ้นตรวจดูเรื่องราวของนางหงอสีโดยตลอดแล้ว จึงถามว่านางมีผู้คนที่อยู่ เรือนเดียวกันกี่คน นางหงอสีก็ว่ามีแต่ย่าของตน อายุได้เจ็ดสิบสองปี กับบุตรชายอายุสองปีที่พามา ด้วยนี้ เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้นางหงอสีย้ายไปอยู่ตำบลอื่น แล้วก็เรียกตัวผู้ใหญ่บ้านและลูกบ้าน ตำบล เน้ยถอง มาไต่ถามถึงความประพฤติของซุนงิ้ม และซุนโตก่ำผู้บิดา ว่าเป็นคนเช่นไร และทำมา หากิน อย่างใด
บรรดาผู้ใหญ่บ้านและลูกบ้านก็บอกว่า
“…..ท่านมีคำถามแล้ว พวกข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็นอย่างไร ก็จะต้องบอกเล่าไป ตาม ตรง ไม่อาจสามารถจะอำพรางไว้ได้….”
แล้วก็เล่าเรื่องของสองพ่อลูก ให้เปาบุ้นจิ้นฟังอย่างละเอียด เป็นเนื้อความว่า
อันซุนโตก่ำผู้นี้ มิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรม เห็นบุตรภรรยาผู้ใดถ้าพอใจแล้ว ก็ฉุดลาก เอามาตามอำเภอใจ โดยอำนาจพลการตนเอง ผู้รักษาเมืองและกรมการก็มีความเกรงกลัวอำนาจ ของซุนโตก่ำยิ่งนัก ในส่วนซุนงิ้มซึ่งเป็นบุตรนั้น ก็ถืออำนาจบิดาหาเกรงกลัวผู้ใดไม่ อีกประการ หนึ่งซุนงิ้มไปชิงเอาที่นาสำหรับวัดไคหงวนยี่ ไปเป็นอาณาประโยชน์ของตนเองเสียหลายไร่ และในวัดไคหงวนยี่นั้น เป็นที่ประชุมของซุนงิ้ม ตั้งโต๊ะเสพสุราและพาหญิงงามเมือง ไปกระทำอุจาดลามกในวัด ถ้าชอบใจบุตรภรรยาของผู้ใดแล้ว ย่อมฉุดคร่ามาข่มขืนเป็นภรรยาตามชอบใจ เจ้าวัดและลูกวัดไคหงวนยี่ ได้ความเดือดร้อนด้วยซุนงิ้นเป็นอันมาก
เปาบุ้นจิ้นฟังบรรดาผู้ใหญ่บ้านและลูกบ้าน ชี้แจงความประพฤติของสองพ่อลูกดังนั้น ก็ไม่ว่าประการใด อยู่มาวันหนึ่งก็ปลอมเป็นราษฎรไปเที่ยวที่วัดไคหงวนยี่ ได้เข้าไปทางประตูหลังวัด และขึ้นไปดูสำนักที่หลวงจีนอยู่อาศัย ได้ยินเสียงเด็กศิษย์วัดบอกกันว่า ซุนงิ้มกงจื้อมาแล้ว บรรดาหลวงจีนและศิษย์วัดมีความเกรงกลัวซุนงิ้ม ก็พากันหลีกทางให้ซุนงิ้ม เข้าไปในที่อยู่ของหลวงจีน เปาบุ้นจิ้นเห็นดังนั้น จึงเข้าไปแอบในโบสถ์ แง้มประตูดูว่าซุนงิ้มจะทำประการใด
ซุนงิ้มก็ขี่ม้าเข้ามาถึงวัดเป็นขบวน มีบ่าวไพร่ตามหลังประมาณยี่สิบคน กับพ่อครัวคนสนิท และหญิงขับร้องอีกสองคน ทั้งหมดก็เข้าไปนั่งโต๊ะที่ทางวัดจัดตั้งไว้คอยท่า หลวงจีนเจ้าวัดก็ออกมาต้อนรับตามธรรมเนียม ซุนงิ้มก็นั่งเสพสุราพูดจาอวดโตว่า ในหัวเมืองฝ่ายตะวันตกนี้ ไม่มีผู้ใดเป็นใหญ่ไปกว่าตน เปาบุ้นจิ้นก็โกรธยิ่งนัก แต่อุตส่าห์สะกดใจไว้
พอดีมีหลวงจีนลูกวัดองค์หนึ่ง เดินมาที่โบสถ์เห็นเปาบุ้นจิ้นแอบอยู่ จึงถามว่าบ้านอยู่ที่ไหน เหตุใดจึงมาเที่ยวในวัดนี้ เปาบุ้นจิ้นก็บอกว่า ตนเป็นคนใช้ของเปาบุ้นจิ้น อยู่ในเมือง เปาบุ้นจิ้นใช้ให้ตนมาตามพ่อครัวทำกับข้าว จะเลี้ยงโต๊ะขุนนาง แต่ตนไม่รู้จักชื่อแซ่พ่อครัวผู้นั้น จึงจะมาถามลูกวัด หลวงจีนองค์นั้นก็บอกว่า
“……พ่อครัวผู้นั้นแซ่เซี้ย อยู่บ้านซุนโตก่ำ เป็นผู้ทำกับข้าวฝีมือดียิ่งนัก…..”
เปาบุ้นจิ้นจึงถามต่อไปว่าพ่อครัวคนนี้ ทำการใดให้คนเล่าลือกันบ้าง หลวงจีนก็เล่าว่า
“……ซุนงิ้มบุตรของซุนโตก่ำให้ทำโต๊ะ เลี้ยงเตียหือนักเรียนสิวจ๋ายในวัดนี้ พ่อครัวผู้นั้นเป็นผู้ประกอบยาพิษใส่ในสุรา ให้เตียหือกิน ครั้นเตียหือกลับไปบ้านก็ถึงแก่ความตาย ความเรื่องนี้นอกจากท่านเปาบุ้นจิ้นแล้ว ไม่มีผู้ใดจะฝ่าฝืนชำระสะสางได้…….”
เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้น ก็ออกจากวัดรีบไปยังที่พัก และให้เจ้าหน้าที่ไปเอาตัวเซี้ยสีพ่อครัว ที่บ้านซุนโตก่ำ มาซักถามคดีวางยาพิษในวันนั้น แต่เซี้ยสีให้การปฏิเสธไม่ยอมรับ
เปาบุ้นจิ้นจึงให้เอาหลักคามาปักจะผูกตี เซี้ยสีตกใจกลัวก็รับเป็นสัตย์ และซัดทอดถึงซุนงิ้ม เปาบุ้นจิ้นจึงเอาตัวพ่อครัวไปขังไว้ และจัดโต๊ะและสุราไว้พร้อม แล้วจึงให้คนใช้ถือเทียบไปเชิญซุนงิ้มกับซุนโตก่ำมากินโต๊ะ พอคนใช้ไปแล้วก็ให้เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อม ที่จะจับกุมตัวสองพ่อลูกนั้น
แต่ซุนงิ้มมาคนเดียวบิดาไม่ได้มาด้วย เปาบุ้นจิ้นก็ต้อนรับเชิญเข้าข้างใน นั่งโต๊ะเสพสุรากัน ซุนงิ้มก็คำนับแล้วออกตัวว่า
“……..ข้าพเจ้าหาทันคิดไม่ ด้วยท่านเป็นข้าหลวงมาทางไกล ชอบแต่ข้าพเจ้าจะต้อนรับท่านจึงจะถูกต้อง มาบัดนี้ท่านกลับจัดโต๊ะต้อนรับข้าพเจ้านั้น หาควรไม่……..”
เปาบุ้นจิ้นก็หัวเราะแล้วว่า
“…….ข้าพเจ้าจะปรึกษาข้อราชการด้วยท่าน จึงได้เชิญท่านมานั่งโต๊ะเสพสุราด้วยกัน……”
ว่าแล้วก็ให้คนใช้รินสุราให้ซุนงิ้มกิน ซุนงิ้มเสพสุราพอมึน ๆ เปาบุ้นจิ้นก็ส่งเรื่องราวของนางหงอสีให้ดู ซุนงิ้มอ่านรู้ความแล้วก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ และถามว่า
“……..เรื่องนี้ผู้ใดเป็นพยานยืนยันว่าข้าพเจ้าวางยาพิษ ให้เตียหือซึ่งเป็นนักเรียนสิวจ๋ายตาย…….”
เปาบุ้นจิ้นจึงให้เจ้าพนักงานคุมตัวเซี้ยสีออกมา แล้วก็อ่านคำให้การของเซี้ยสีซึ่งรับเป็นสัตย์ และซัดทอดถึงซุนงิ้มให้ฟังทุกประการ แล้วเปาบุ้นจิ้นก็ตบโต๊ะเป็นสัญญาณขึ้น พวกเจ้าหน้าที่ซึ่งเตรียมไว้ ก็กรูกันเข้าถอดเสื้อหมวกสำหรับยศของซุนงิ้มออกจากตัว ซุนงิ้มก็รับเป็นสัตย์ แล้วอ้อนวอนว่าตนได้ผิดไปแล้ว ขอให้ยกโทษสักครั้งหนึ่งเถิด
เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธยิ่งนัก ร้องตวาดว่า
“…….มืงสองคนพ่อลูกอยู่ในเมืองนี้ กระทำให้ราษฎรและหลวงจีนซึ่งจำศีลภาวนาอยู่ในวัด ได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก ในส่วนอื่นนั้นพอจะยกให้ได้ แต่ในส่วนกฎหมายแผ่นดินแล้ว กูยกให้มืงไม่ได้……..”
ว่าดังนั้นแล้วเปาบุ้นจิ้นก็สั่งให้เจ้าพนักงาน จับตัวซุนงิ้มคว่ำลงตีห้าสิบที ซุนงิ้ม ทนความเจ็บปวดไม่ได้ก็ขาดใจตาย เปาบุ้นจิ้นจึงให้ตัดศรีษะไปเสียบประจานไว้นอกเมือง มิให้ราษฎรดูเยี่ยงต่อไป
แล้วเปาบุ้นจิ้นก็แต่งใบบอกเรื่อง ซุนโตก่ำกับซุนงิ้ม ประพฤติล่วงอาญาแผ่นดินเที่ยวกดขี่ข่มเหงราษฎร พร้อมกับเรื่องราวของนางหงอสี และถ้อยคำสำนวนให้การรับเป็นสัตย์ ของซุนงิ้มกับเซี้ยสี ให้เจ้าพนักงานนำไปถวายฮ่องเต้ ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้แจ้งในใบบอกนั้นแล้ว ก็โปรดให้ถอดซุนโตก่ำออกจากยศขุนนางลงเป็นไพร่ และโทษของเซี้ยสีซึ่งเป็นพ่อครัวของซุนงิ้ม ใช้ให้วางยาพิษนั้น ให้ส่งตัวไปเป็นพลทหารอยู่หัวเมืองอันกันดาร ส่วนความชอบของนางหงอสี ที่มีความซื่อสัตย์กตัญญูต่อสามีนั้น ให้เบิกเงินคลังของเมืองตันจิ๋ว เป็นเบี้ยเลี้ยงให้ทุกเดือน จนกว่านางหงอสีจะมีสามีเลี้ยงดูต่อไป
ความเรื่องที่ผู้มีอิทธิพล รังแกชาวบ้านนี้ คงจะเงียบหายไปอย่างแน่นอน หากไม่ได้เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม ซึ่งเจ็บร้อนแทนผู้ที่ได้รับทุกข์ และไม่เกียจคร้านเบื่อหน่ายในการที่จะหาความจริง จนได้ตัวคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย ในที่สุด.
###########
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2554