คนดีแผ่นดินซ้อง
ตอนที่ ๑๖ กังฉินตามล่า
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ขณะเมื่อ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ประหารชีวิต เพงไซอ๋อง หรือ เต็กเชง นั้น ขุนนางข้าราชการทั้งปวงก็พากันกราบทูลว่า อันเพงไซอ๋องนี้มีคุณต่อแผ่นดิน ความชอบมากนัก ขอพระองค์อย่าได้ประหารชีวิต ขอรับพระราชทานโทษเสียสักครั้งหนึ่ง
พระเจ้าซ้องยินจงก็ตรัสว่า
“…….ซึ่งท่านทั้งปวงจะขอโทษเพงไซอ๋องนั้นไม่ได้ ด้วยตัวเราเป็นถึงเจ้าแผ่นดิน ไม่ควรที่เพงไซอ๋องจะพูดจา หยาบช้าถึงเพียงนี้ ครั้นจะไม่ฆ่าเสีย ขุนนางข้าราชการก็จะหมิ่นประมาทเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป……..”
ทหารรักษาพระองค์กับ พังหอง ได้รับสั่งก็ถวายบังคมลา พาตัวเพงไซอ๋องไป ครั้นมาถึงกลางทาง พอดี เจียวเทงกุ้ย ทหารเอกของเพงไซอ๋องขี่ม้ามาตามถนน แลเห็นทหารรักษาพระองค์กับพังหองมัดเพงไซอ๋องมา ก็ลงจากหลังม้าเข้าไปถามว่าท่านทำผิดสิ่งใด เพงไซอ๋อง จึงว่าตัวเราเป็นชายชาติทหารไม่กลัวความตาย
พูดได้เท่านั้นทหารก็พาตัวเลยไป เจียวเทงกุ้ยก็ขึ้นม้าเดินตามไป แล้วพูดกับพังหองว่าท่านอย่าเพิ่งฆ่าเพงไซอ๋อง ถ้าแม้นไม่ฟังเราจะฆ่าท่านเสียให้สิ้นทั้งครัวเรือน
ว่าแล้วเจียวเทงกุ้ยก็รีบขับม้าไปหา นางเต็กไทเฮา พระราชมารดาเลี้ยงของฮ่องเต้ถึงตำหนักใน แล้วร้องบอกด้วยเสียงอันดังว่า บัดนี้บ้านเมืองเกิดจลาจลแล้ว นางเต็กไทเฮาได้ยินก็ตกใจจึงออกมาถามว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น เจียวเทงกุ้ยก็บอกว่า
“………ข้าพเจ้าเห็นทหารรักษาพระองค์กับพังหอง มัดเพงไซอ๋องไปจะฆ่าเสียในเดี๋ยวนี้ ครั้นข้าพเจ้าถามก็ไม่ได้ความว่าเป็นโทษด้วยเหตุอันใด……..”
นางเต็กไทเฮาก็ตกใจ จึงเข้าไปเชิญเอาพระรูป พระเจ้าซ้องไทโจฮ่องเต้ พระบิดาของฮ่องเต้ที่ตั้งบนโต๊ะ แล้วเข้าไปเฝ้า พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ที่เสด็จออกขุนนางในพระราชวัง ฮ่องเต้ก็เสด็จออกไปพร้อมด้วยขุนนางทั้งปวง เชิญพระรูปตั้งไว้ในที่อันสมควร แล้วตรัสถามนางเต็กไทเฮาว่า พระมารดามามีธุระสิ่งใดหรือ นางเต็กไทเฮาทูลว่า
“……..อันตัวข้าพเจ้านี้เป็นคนอนาถา ปราศจากญาติเห็นแต่เพงไซอ๋องคนเดียว ก็หมายว่าจะได้สืบตระกูลต่อไป บัดนี้ก็มาถึงแก่ชีวิตไม่รู้ว่าโทษผิดด้วยข้อไร ขุนนางทั้งปวงเหตุใดจึงพากันนิ่งเฉยเสียหมด ไม่เห็นกับเพงไซอ๋องบ้างเลย มิใช่ว่าเพงไซอ๋องจะไม่มีคุณต่อแผ่นดินเมื่อไร ก็มีคุณต่อแผ่นดินมามาก………..”
ขุนนางทั้งปวงก็ให้ทูลถามฮ่องเต้ก็จะได้ความ ครั้นนางเต็กไทเฮาทูลถามว่า เพงไซอ๋องทำผิดอย่างใด จึงได้เอาไปประหารชีวิต พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ก็ตรัสเล่าความตั้งแต่ต้นจนปลาย ให้พระมารดาฟังทุกประการ นางเต็กไทเฮาก็ว่า
“……….เพงไซอ๋องอุตส่าห์เข้ามาทำราชการ ก็มีความชอบเป็นอันมาก ด้วยหวังใจว่ามีอาอยู่คนหนึ่ง พอจะเป็นที่พึ่งแก่ตัวได้ เผื่อผิดพลั้งในราชการบ้างเล็กน้อย จะได้ช่วยเพ็ดทูลแก้ไขปลดเปลื้อง อันอาของเจ้านั้นเป็นที่พึ่งไม่ได้เหมือนนางพังกุยฮุย ตั้งแต่นี้ไปอาก็ไม่ได้เห็นหน้าเจ้าต่อไปอีกแล้ว จะได้เห็นก็แต่ศรีษะอยู่คนละที่ต่างหาก แต่เดิมถ้าแม้นรู้ว่าเป็นเช่นนี้แล้ว จะเข้ามาทำราชการให้ลำบากทำไม ไปอยู่เสียที่บ้านเดิมจะมิสบายหรือ……..”
นางเต็กไทเฮาพูดพลางร้องไห้พลาง ฮ่องเต้เห็นพระมารดาทรงกันแสง ก็มีพระทัยสลดสงสารจึงตรัสว่า
“……พระมารดาอย่าเศร้าโศกแค้นเคืองข้าพเจ้าเลย จะให้คนไปเอาตัวเพงไซอ๋อง มาให้ ไม่ฆ่าฟัน……..”
ตรัสแล้วฮ่องเต้ก็ให้เจ้าพนักงานทำหนังสือรับสั่งมีใจความว่า อย่าให้พังหองกับทหารฆ่าเพงไซอ๋อง ให้เอาตัวกลับมาบ้าน แล้วให้ม้าใช้ถือหนังสือรีบไป นางเต็กไทเฮาก็ว่าป่านนี้ศรีษะเพงไซอ๋องจะมิขาดออกไปแล้วหรือ ขุนนางทั้งปวงจึงว่าม้าใช้ผู้ถือหนังสือรับสั่งคงจะไปทัน ด้วยยังไม่ถึงเวลาซึ่งจะประหารชีวิต
เมื่อพังหองได้รับหนังสือรับสั่งจากม้าใช้ฉีกผนึกออก อ่านทราบความแล้วก็เสียใจ ด้วยไม่สมความคิด จึงให้ทหารพาเพงไซอ๋องกลับมา เมื่อถึงพระราชวังแล้วนางเต๊กไทเฮาจึงแกล้งถามว่า
“……..ตัวท่านนี้หรือชื่อพังหอง มีบุตรสาวชื่อพังกุยฮุยเป็นพระสนมเอก โปรดปรานนัก ตัวท่านนี้ชราอายุก็มากแล้ว เหตุใดจึงมาคิดการเช่นนี้ เพงไซอ๋องทำสิ่งใดกับท่าน จึงผูกใจเจ็บแค้น คิดอุบายทำร้ายล้างไม่วายเลย………”
แล้วนางเต็กไทเฮาก็พูดถึงความเก่าต่อไปว่า เมื่อครั้งมีรับสั่งให้เพงไซอ๋องไปเมืองไซหยง ก็เพราะพังหองเป็นผู้แนะนำขึ้นก่อน ด้วยหมายว่าจะให้เพงไซอ๋องตายด้วยฝีมือชาวไซหยง ครั้นเพงไซอ๋องไม่ตายกลับมาได้ ก็คบคิดกับ เอียเทา ให้ นางโปยเลงกงจู๊ ปลอมมาทำร้าย ครั้นไม่สมคิดก็ให้บุตรสาวกราบทูล ยกข้อผิดว่าเอาธงปลอมมาถวาย ใจคอช่างกระไรเลยคิดล้างผลาญเพงไซอ๋องนั้นจะประสงค์สิ่งใด
พังหองก็แก้ว่า เดิมเพงไซอ๋องเป็นแต่ขุนนางนายทหาร ตนเองกราบทูลขึ้นจึงรับสั่งใช้ให้ไปเมืองไซหยง ได้เลื่อนที่เป็นเพงไซอ๋องขึ้นก็เพราะผู้ใด อันนางโปยเลงกงจู๊นั้นเป็นความคิดของเอียเทาต่างหาก เรื่องธงปลอมตนก็มิได้กราบทูลส่อเสียดขึ้นเมื่อไร ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรแล้วมีความสงสัยเอง ตนมิได้มีธุระเกี่ยวข้องด้วย เพงไซอ๋องพูดจาหยาบช้าไม่เกรงพระราชอาญา จึงรับสั่งให้ประหารชีวิตเสีย ตนเองเป็นแต่ผู้ถือรับสั่งให้กำกับไปเท่านั้น
นางเต็กไทเฮาเห็นว่าพังหองแก้ให้พ้นตัวไปดังนั้น ก็นิ่งอยู่มิได้ต่อความยาวด้วย ฮ่องเต้จึงรับสั่งกับ เปาบุ้นจิ้น ว่าซึ่งเพงไซอ๋องพูดจาหยาบคายเหลือเกินเช่นนี้ มีความผิดหรือไม่ ให้ปรึกษาโทษดู เปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลว่า
“………พระองค์เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ไม่ควรที่เพงไซอ๋องจะพูดจาหยาบคายล่วงเกิน ข้อนี้มีความผิด ซึ่งพระองค์มีรับสั่งให้เอาตัวไปประหารชีวิตนั้นก็ควร แต่เพงไซอ๋องมีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก ซึ่งจะฆ่าเสียนั้นไม่ได้ต้องยกไว้ก่อน แต่จะต้องทำโทษเสียบ้างจึงจะได้ ครั้นจะไม่ทำโทษขุนนางทั้งปวงก็จะเอาเยี่ยงอย่าง ข้าพเจ้าเห็นว่าถอดออกเสียจากที่เพงไซอ๋อง แล้วเนรเทศให้ออกไปอยู่ที่ตำบลอิวเลงเอีย นอกเมืองเปียนเหลียงสักสามปี จึงกลับเอามาเป็นที่เพงไซอ๋อง รับราชการตามเดิม………”
ฮ่องเต้ได้ฟังเปาบุ้นจิ้นกราบทูลดังนั้น ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้ลงโทษตามคำของเปาบุ้นจิ้นทุกประการ
เต็กเชงนั้นเมื่อถูกถอดออกจากที่เพงไซอ๋องแล้ว ก็ถวายบังคมลากลับมาบ้าน เล่าความให้มารดาฟังทุกประการ แล้วก็จัดแจงข้าวของจะไปตำบลอิวเลงเอีย ทหารเอกสี่คนคือ เตียคง เจียเง็ก เมงเตงก๊ก และ เจียวเทงกุ้ย จึงพากันมาหาแล้วบอกว่าพวกตนนี้เดิมเมื่อเข้ามารับราชการ ก็ยอมสามิภักดิ์นับถือเต็กเชงว่าเป็นนาย จนได้ที่ขุนนางมียศศักดิ์ บัดนี้เต็กเชงก็ไม่ได้ทำราชการแล้ว พวกตนก็จะเข้าไปถวายบังคมลาออกเสียจากราชการไปอยู่กับเต็กเชงด้วย
เต็กเชงก็ว่า
“…….ท่านทั้งปวงจะทำดังนี้ไม่ได้ ถ้าตัวท่านมีความผิดแล้วก็จะตลอดมาถึงเราด้วย เราจะขอลาท่านทั้งปวงไป จงอยู่ให้เป็นสุขสบายเถิด แม้นเรายังมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้ครบกำหนดสามปีแล้ว ก็คงได้กลับมาทำราชการด้วยกันอีก อย่าคิดวุ่นวายไปเลยจะพากันได้ความผิด………”
ทหารเอกทั้งสี่นายก็เชื่อฟังด้วยดี
นางเต็กไทเฮาก็ให้หาตัวเต็กเชงมาที่วังนำเชงเก๋ง แล้วสั่งว่าเมื่อไปอยู่ตำบล อิวเลงเอียนั้น ถ้าจะใช้สอยเงินทองแล้ว จงมาเบิกที่ในคลังไปใช้ด้วยทำบัญชีไว้ให้แล้ว และกำชับให้ระวังตัวจงมากอย่ามีความประมาท
เต็กเชงลานางเต็กไทเฮา และ นางเมงสี ผู้มารดาแล้ว ก็ไปคำนับลาเปาบุ้นจิ้นซึ่งเป็นที่นับถือ เปาบุ้นจิ้นก็ทำหนังสือแจ้งความให้ เฮงเจีย นายบ้าน อิวเลงเอีย ทราบเรื่องราวที่ เต็กเชงจะต้องมาอยู่โดยละเอียด และขอให้ดูแลตามสมควร เมื่อ เต็กเชงไปถึงเฮงเจียก็มารับ และจัดที่อยู่อาศัยให้เป็นที่เรียบร้อย
ฝ่ายพังหองนั้นยังไม่เลิกจองล้างเต็กเชง เห็นว่าเฮงเจียนั้นเป็นคนชอบอัธยาศัยกัน จึงทำหนังสือฉบับหนึ่งให้คนสนิทนำไปมอบแก่เฮงเจีย และสั่งว่าเมื่อเฮงเจียอ่านทราบความแล้วให้เอาหนังสือนั้นกลับคืนมา เฮงเจียได้รับหนังสือแล้วก็เปิดอ่าน มีใจความว่า
เต็กเชงมีข้อสาเหตุเป็นศัตรูกับเราลึกซึ้งมากนัก บัดนี้ตกมาอยู่ตำบลอิวเลงเอีย แล้ว ตัวท่านก็เป็นใหญ่อยู่ในตำบลอิวเลงเอีย จะทำการสิ่งใดก็อาจสำเร็จลงได้ เห็นกับไมตรีมีความเจ็บแค้นกับเราด้วย ช่วยคิดอ่านกำจัดเต็กเชง ถ้าสำเร็จดังปรารถนาเราจะสมนาคุณท่าน แล้วจะให้มียศใหญ่ขึ้นไป
แล้วเฮงเจียก็ทำหนังสือตอบไปว่า ได้ทราบความแล้วคงจะกำจัดเต็กเชงสนองคุณท่านให้จงได้ แต่ในใจนั้นคิดว่าเต็กเชงเป็นคนดี มีความชอบต่อแผ่นดินมาก ซึ่งพังหองมีหนังสือมาให้ตนกำจัดเสียนั้นไม่ชอบ ครั้นจะไม่ทำตามหนังสือ พังหองก็จะโกรธและคิดทำร้ายด้วยอุบายต่าง ๆ จึงตรึกตรองหาหนทางที่จะเอาตัวรอดอยู่
พอถึงสิบห้าวันพังหองก็มีหนังสือเตือนมาอีกฉบับหนึ่ง เฮงเจียก็ตอบไปว่ายังหาช่องที่จะกำจัดเต็กเชงไม่ได้ ถ้ามีช่องเมื่อใดก็จะฆ่าเสียเมื่อนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำสิ่งใด พังหองก็มีหนังสือเตือนมาอีกถึงสิบสองฉบับ สุดท้ายก็เร่งให้กำจัดเต็กเชงเสียโดยเร็ว มิเช่นนั้นพังหองก็จะฆ่าตนเสียเอง
ค่ำวันหนึ่งเฮงเจียก็จัดโต๊ะไว้พร้อมเสร็จ แล้วให้คนไปเชิญเต็กเชงกินโต๊ะพูดจากันที่บ้าน ขณะที่กำลังกินโต๊ะเสพสุราอยู่ เฮงเจียก็เล่าความที่พังหองมีหนังสือมาถึงสิบสามฉบับ ให้เต็กเชงฟังทุกประการ และว่าจะขอลาท่านไปอยู่เสียที่บ้านอื่นเมืองไกล ให้พ้นพังหอง
เต็กเชงก็ว่าท่านอย่าเพิ่งตกใจวุ่นวายไปก่อน หนังสือของพังหองนั้นเก็บไว้ทุกฉบับหรือ เฮงเจียก็ว่าไม่ได้เก็บไว้ เมื่อเขามีมาถึงอ่านดูรู้ความแล้วก็เอากลับคืนไป เต็กเชงจึงว่า
“…………พังหองฉลาดนัก กลัวจะได้หนังสือไว้เป็นสำคัญ แล้วจะคิดอ่านว่าความยกข้อผิดได้ จึงให้เอากลับไปเสีย ด้วยพังหองเห็นว่า ถึงจะฟ้องร้องว่าความขึ้นก็ไม่มีอันใดเป็นที่อ้าง ซึ่งตัวท่านมีความเมตตารักใคร่ ไม่ทำร้ายข้าพเจ้านั้นขอบคุณท่านมากนัก แต่ท่านไม่ทำตามพังหองก็จะมีภัย ท่านอย่าเพิ่งไปก่อน ข้าพเจ้าจะคิดอ่านไม่ให้พังหองทำอันตรายได้ อย่าตกใจร้อนรนไปเลย……….”
เมื่อพูดจากันแล้วก็ไม่เป็นอันจะกินโต๊ะ เต็กเชงก็ลากลับมายังที่อยู่ ค่ำคืนนั้นเดือนหงาย เต็กเชงไม่สบายใจนอนไม่หลับ ก็ออกมาเดินเล่นอยู่หน้าตึก คิดขึ้นมาถึงพังหองแล้วให้มีความแค้นเป็นที่สุด ซึ่งเป็นโทษต้องเนรเทศออกมาแล้ว ก็ยังคิดล้างผลาญไม่วายเลย แต่จะแก้แค้นก็ยากด้วยเขาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ บุตรสาวข้างในก็เป็นคนโปรดของฮ่องเต้ เต็กเชงคิดหาหนทางอยู่จนดึก ก็ให้จนใจนักมิรู้ที่จะทำประการใดเลย
ครั้นเวลารุ่งเช้าเต็กเชงก็มีหน้าตาเศร้าหมอง พูดจาก็ฟั่นเฟือนเหมือนกับคนไม่มีสติ แล้วบอกกับเฮงเจียว่า เมื่อคืนนี้ทหารเมืองไซหยงซึ่งตนฆ่าตายนั้น มาหลอกหลอนรบกวนจะเอาชีวิตตน อาหารก็กินไม่ได้ให้เจ็บปวดทั่วสารพางค์กาย เฮงเจียก็ตกใจไปตามหมอมาดูอาการ หมอพิเคราะห์แล้วก็บอกว่ารักษาไม่ได้ อีกสามวันก็จะตาย เฮงเจียก็ไม่มีทางที่จะช่วยอย่างใดได้.
##########
นิตยสารโล่เงิน
พฤษภาคม ๒๕๔๗
กังฉินตามล่า ๓ ต.ค.๕๘
ตอนที่ ๑๖ กังฉินตามล่า
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ขณะเมื่อ พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ประหารชีวิต เพงไซอ๋อง หรือ เต็กเชง นั้น ขุนนางข้าราชการทั้งปวงก็พากันกราบทูลว่า อันเพงไซอ๋องนี้มีคุณต่อแผ่นดิน ความชอบมากนัก ขอพระองค์อย่าได้ประหารชีวิต ขอรับพระราชทานโทษเสียสักครั้งหนึ่ง
พระเจ้าซ้องยินจงก็ตรัสว่า
“…….ซึ่งท่านทั้งปวงจะขอโทษเพงไซอ๋องนั้นไม่ได้ ด้วยตัวเราเป็นถึงเจ้าแผ่นดิน ไม่ควรที่เพงไซอ๋องจะพูดจา หยาบช้าถึงเพียงนี้ ครั้นจะไม่ฆ่าเสีย ขุนนางข้าราชการก็จะหมิ่นประมาทเป็นเยี่ยงอย่างต่อไป……..”
ทหารรักษาพระองค์กับ พังหอง ได้รับสั่งก็ถวายบังคมลา พาตัวเพงไซอ๋องไป ครั้นมาถึงกลางทาง พอดี เจียวเทงกุ้ย ทหารเอกของเพงไซอ๋องขี่ม้ามาตามถนน แลเห็นทหารรักษาพระองค์กับพังหองมัดเพงไซอ๋องมา ก็ลงจากหลังม้าเข้าไปถามว่าท่านทำผิดสิ่งใด เพงไซอ๋อง จึงว่าตัวเราเป็นชายชาติทหารไม่กลัวความตาย
พูดได้เท่านั้นทหารก็พาตัวเลยไป เจียวเทงกุ้ยก็ขึ้นม้าเดินตามไป แล้วพูดกับพังหองว่าท่านอย่าเพิ่งฆ่าเพงไซอ๋อง ถ้าแม้นไม่ฟังเราจะฆ่าท่านเสียให้สิ้นทั้งครัวเรือน
ว่าแล้วเจียวเทงกุ้ยก็รีบขับม้าไปหา นางเต็กไทเฮา พระราชมารดาเลี้ยงของฮ่องเต้ถึงตำหนักใน แล้วร้องบอกด้วยเสียงอันดังว่า บัดนี้บ้านเมืองเกิดจลาจลแล้ว นางเต็กไทเฮาได้ยินก็ตกใจจึงออกมาถามว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น เจียวเทงกุ้ยก็บอกว่า
“………ข้าพเจ้าเห็นทหารรักษาพระองค์กับพังหอง มัดเพงไซอ๋องไปจะฆ่าเสียในเดี๋ยวนี้ ครั้นข้าพเจ้าถามก็ไม่ได้ความว่าเป็นโทษด้วยเหตุอันใด……..”
นางเต็กไทเฮาก็ตกใจ จึงเข้าไปเชิญเอาพระรูป พระเจ้าซ้องไทโจฮ่องเต้ พระบิดาของฮ่องเต้ที่ตั้งบนโต๊ะ แล้วเข้าไปเฝ้า พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ที่เสด็จออกขุนนางในพระราชวัง ฮ่องเต้ก็เสด็จออกไปพร้อมด้วยขุนนางทั้งปวง เชิญพระรูปตั้งไว้ในที่อันสมควร แล้วตรัสถามนางเต็กไทเฮาว่า พระมารดามามีธุระสิ่งใดหรือ นางเต็กไทเฮาทูลว่า
“……..อันตัวข้าพเจ้านี้เป็นคนอนาถา ปราศจากญาติเห็นแต่เพงไซอ๋องคนเดียว ก็หมายว่าจะได้สืบตระกูลต่อไป บัดนี้ก็มาถึงแก่ชีวิตไม่รู้ว่าโทษผิดด้วยข้อไร ขุนนางทั้งปวงเหตุใดจึงพากันนิ่งเฉยเสียหมด ไม่เห็นกับเพงไซอ๋องบ้างเลย มิใช่ว่าเพงไซอ๋องจะไม่มีคุณต่อแผ่นดินเมื่อไร ก็มีคุณต่อแผ่นดินมามาก………..”
ขุนนางทั้งปวงก็ให้ทูลถามฮ่องเต้ก็จะได้ความ ครั้นนางเต็กไทเฮาทูลถามว่า เพงไซอ๋องทำผิดอย่างใด จึงได้เอาไปประหารชีวิต พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ก็ตรัสเล่าความตั้งแต่ต้นจนปลาย ให้พระมารดาฟังทุกประการ นางเต็กไทเฮาก็ว่า
“……….เพงไซอ๋องอุตส่าห์เข้ามาทำราชการ ก็มีความชอบเป็นอันมาก ด้วยหวังใจว่ามีอาอยู่คนหนึ่ง พอจะเป็นที่พึ่งแก่ตัวได้ เผื่อผิดพลั้งในราชการบ้างเล็กน้อย จะได้ช่วยเพ็ดทูลแก้ไขปลดเปลื้อง อันอาของเจ้านั้นเป็นที่พึ่งไม่ได้เหมือนนางพังกุยฮุย ตั้งแต่นี้ไปอาก็ไม่ได้เห็นหน้าเจ้าต่อไปอีกแล้ว จะได้เห็นก็แต่ศรีษะอยู่คนละที่ต่างหาก แต่เดิมถ้าแม้นรู้ว่าเป็นเช่นนี้แล้ว จะเข้ามาทำราชการให้ลำบากทำไม ไปอยู่เสียที่บ้านเดิมจะมิสบายหรือ……..”
นางเต็กไทเฮาพูดพลางร้องไห้พลาง ฮ่องเต้เห็นพระมารดาทรงกันแสง ก็มีพระทัยสลดสงสารจึงตรัสว่า
“……พระมารดาอย่าเศร้าโศกแค้นเคืองข้าพเจ้าเลย จะให้คนไปเอาตัวเพงไซอ๋อง มาให้ ไม่ฆ่าฟัน……..”
ตรัสแล้วฮ่องเต้ก็ให้เจ้าพนักงานทำหนังสือรับสั่งมีใจความว่า อย่าให้พังหองกับทหารฆ่าเพงไซอ๋อง ให้เอาตัวกลับมาบ้าน แล้วให้ม้าใช้ถือหนังสือรีบไป นางเต็กไทเฮาก็ว่าป่านนี้ศรีษะเพงไซอ๋องจะมิขาดออกไปแล้วหรือ ขุนนางทั้งปวงจึงว่าม้าใช้ผู้ถือหนังสือรับสั่งคงจะไปทัน ด้วยยังไม่ถึงเวลาซึ่งจะประหารชีวิต
เมื่อพังหองได้รับหนังสือรับสั่งจากม้าใช้ฉีกผนึกออก อ่านทราบความแล้วก็เสียใจ ด้วยไม่สมความคิด จึงให้ทหารพาเพงไซอ๋องกลับมา เมื่อถึงพระราชวังแล้วนางเต๊กไทเฮาจึงแกล้งถามว่า
“……..ตัวท่านนี้หรือชื่อพังหอง มีบุตรสาวชื่อพังกุยฮุยเป็นพระสนมเอก โปรดปรานนัก ตัวท่านนี้ชราอายุก็มากแล้ว เหตุใดจึงมาคิดการเช่นนี้ เพงไซอ๋องทำสิ่งใดกับท่าน จึงผูกใจเจ็บแค้น คิดอุบายทำร้ายล้างไม่วายเลย………”
แล้วนางเต็กไทเฮาก็พูดถึงความเก่าต่อไปว่า เมื่อครั้งมีรับสั่งให้เพงไซอ๋องไปเมืองไซหยง ก็เพราะพังหองเป็นผู้แนะนำขึ้นก่อน ด้วยหมายว่าจะให้เพงไซอ๋องตายด้วยฝีมือชาวไซหยง ครั้นเพงไซอ๋องไม่ตายกลับมาได้ ก็คบคิดกับ เอียเทา ให้ นางโปยเลงกงจู๊ ปลอมมาทำร้าย ครั้นไม่สมคิดก็ให้บุตรสาวกราบทูล ยกข้อผิดว่าเอาธงปลอมมาถวาย ใจคอช่างกระไรเลยคิดล้างผลาญเพงไซอ๋องนั้นจะประสงค์สิ่งใด
พังหองก็แก้ว่า เดิมเพงไซอ๋องเป็นแต่ขุนนางนายทหาร ตนเองกราบทูลขึ้นจึงรับสั่งใช้ให้ไปเมืองไซหยง ได้เลื่อนที่เป็นเพงไซอ๋องขึ้นก็เพราะผู้ใด อันนางโปยเลงกงจู๊นั้นเป็นความคิดของเอียเทาต่างหาก เรื่องธงปลอมตนก็มิได้กราบทูลส่อเสียดขึ้นเมื่อไร ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรแล้วมีความสงสัยเอง ตนมิได้มีธุระเกี่ยวข้องด้วย เพงไซอ๋องพูดจาหยาบช้าไม่เกรงพระราชอาญา จึงรับสั่งให้ประหารชีวิตเสีย ตนเองเป็นแต่ผู้ถือรับสั่งให้กำกับไปเท่านั้น
นางเต็กไทเฮาเห็นว่าพังหองแก้ให้พ้นตัวไปดังนั้น ก็นิ่งอยู่มิได้ต่อความยาวด้วย ฮ่องเต้จึงรับสั่งกับ เปาบุ้นจิ้น ว่าซึ่งเพงไซอ๋องพูดจาหยาบคายเหลือเกินเช่นนี้ มีความผิดหรือไม่ ให้ปรึกษาโทษดู เปาบุ้นจิ้นก็กราบทูลว่า
“………พระองค์เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ไม่ควรที่เพงไซอ๋องจะพูดจาหยาบคายล่วงเกิน ข้อนี้มีความผิด ซึ่งพระองค์มีรับสั่งให้เอาตัวไปประหารชีวิตนั้นก็ควร แต่เพงไซอ๋องมีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก ซึ่งจะฆ่าเสียนั้นไม่ได้ต้องยกไว้ก่อน แต่จะต้องทำโทษเสียบ้างจึงจะได้ ครั้นจะไม่ทำโทษขุนนางทั้งปวงก็จะเอาเยี่ยงอย่าง ข้าพเจ้าเห็นว่าถอดออกเสียจากที่เพงไซอ๋อง แล้วเนรเทศให้ออกไปอยู่ที่ตำบลอิวเลงเอีย นอกเมืองเปียนเหลียงสักสามปี จึงกลับเอามาเป็นที่เพงไซอ๋อง รับราชการตามเดิม………”
ฮ่องเต้ได้ฟังเปาบุ้นจิ้นกราบทูลดังนั้น ก็ทรงเห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้ลงโทษตามคำของเปาบุ้นจิ้นทุกประการ
เต็กเชงนั้นเมื่อถูกถอดออกจากที่เพงไซอ๋องแล้ว ก็ถวายบังคมลากลับมาบ้าน เล่าความให้มารดาฟังทุกประการ แล้วก็จัดแจงข้าวของจะไปตำบลอิวเลงเอีย ทหารเอกสี่คนคือ เตียคง เจียเง็ก เมงเตงก๊ก และ เจียวเทงกุ้ย จึงพากันมาหาแล้วบอกว่าพวกตนนี้เดิมเมื่อเข้ามารับราชการ ก็ยอมสามิภักดิ์นับถือเต็กเชงว่าเป็นนาย จนได้ที่ขุนนางมียศศักดิ์ บัดนี้เต็กเชงก็ไม่ได้ทำราชการแล้ว พวกตนก็จะเข้าไปถวายบังคมลาออกเสียจากราชการไปอยู่กับเต็กเชงด้วย
เต็กเชงก็ว่า
“…….ท่านทั้งปวงจะทำดังนี้ไม่ได้ ถ้าตัวท่านมีความผิดแล้วก็จะตลอดมาถึงเราด้วย เราจะขอลาท่านทั้งปวงไป จงอยู่ให้เป็นสุขสบายเถิด แม้นเรายังมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้ครบกำหนดสามปีแล้ว ก็คงได้กลับมาทำราชการด้วยกันอีก อย่าคิดวุ่นวายไปเลยจะพากันได้ความผิด………”
ทหารเอกทั้งสี่นายก็เชื่อฟังด้วยดี
นางเต็กไทเฮาก็ให้หาตัวเต็กเชงมาที่วังนำเชงเก๋ง แล้วสั่งว่าเมื่อไปอยู่ตำบล อิวเลงเอียนั้น ถ้าจะใช้สอยเงินทองแล้ว จงมาเบิกที่ในคลังไปใช้ด้วยทำบัญชีไว้ให้แล้ว และกำชับให้ระวังตัวจงมากอย่ามีความประมาท
เต็กเชงลานางเต็กไทเฮา และ นางเมงสี ผู้มารดาแล้ว ก็ไปคำนับลาเปาบุ้นจิ้นซึ่งเป็นที่นับถือ เปาบุ้นจิ้นก็ทำหนังสือแจ้งความให้ เฮงเจีย นายบ้าน อิวเลงเอีย ทราบเรื่องราวที่ เต็กเชงจะต้องมาอยู่โดยละเอียด และขอให้ดูแลตามสมควร เมื่อ เต็กเชงไปถึงเฮงเจียก็มารับ และจัดที่อยู่อาศัยให้เป็นที่เรียบร้อย
ฝ่ายพังหองนั้นยังไม่เลิกจองล้างเต็กเชง เห็นว่าเฮงเจียนั้นเป็นคนชอบอัธยาศัยกัน จึงทำหนังสือฉบับหนึ่งให้คนสนิทนำไปมอบแก่เฮงเจีย และสั่งว่าเมื่อเฮงเจียอ่านทราบความแล้วให้เอาหนังสือนั้นกลับคืนมา เฮงเจียได้รับหนังสือแล้วก็เปิดอ่าน มีใจความว่า
เต็กเชงมีข้อสาเหตุเป็นศัตรูกับเราลึกซึ้งมากนัก บัดนี้ตกมาอยู่ตำบลอิวเลงเอีย แล้ว ตัวท่านก็เป็นใหญ่อยู่ในตำบลอิวเลงเอีย จะทำการสิ่งใดก็อาจสำเร็จลงได้ เห็นกับไมตรีมีความเจ็บแค้นกับเราด้วย ช่วยคิดอ่านกำจัดเต็กเชง ถ้าสำเร็จดังปรารถนาเราจะสมนาคุณท่าน แล้วจะให้มียศใหญ่ขึ้นไป
แล้วเฮงเจียก็ทำหนังสือตอบไปว่า ได้ทราบความแล้วคงจะกำจัดเต็กเชงสนองคุณท่านให้จงได้ แต่ในใจนั้นคิดว่าเต็กเชงเป็นคนดี มีความชอบต่อแผ่นดินมาก ซึ่งพังหองมีหนังสือมาให้ตนกำจัดเสียนั้นไม่ชอบ ครั้นจะไม่ทำตามหนังสือ พังหองก็จะโกรธและคิดทำร้ายด้วยอุบายต่าง ๆ จึงตรึกตรองหาหนทางที่จะเอาตัวรอดอยู่
พอถึงสิบห้าวันพังหองก็มีหนังสือเตือนมาอีกฉบับหนึ่ง เฮงเจียก็ตอบไปว่ายังหาช่องที่จะกำจัดเต็กเชงไม่ได้ ถ้ามีช่องเมื่อใดก็จะฆ่าเสียเมื่อนั้น แต่ก็ไม่ได้ทำสิ่งใด พังหองก็มีหนังสือเตือนมาอีกถึงสิบสองฉบับ สุดท้ายก็เร่งให้กำจัดเต็กเชงเสียโดยเร็ว มิเช่นนั้นพังหองก็จะฆ่าตนเสียเอง
ค่ำวันหนึ่งเฮงเจียก็จัดโต๊ะไว้พร้อมเสร็จ แล้วให้คนไปเชิญเต็กเชงกินโต๊ะพูดจากันที่บ้าน ขณะที่กำลังกินโต๊ะเสพสุราอยู่ เฮงเจียก็เล่าความที่พังหองมีหนังสือมาถึงสิบสามฉบับ ให้เต็กเชงฟังทุกประการ และว่าจะขอลาท่านไปอยู่เสียที่บ้านอื่นเมืองไกล ให้พ้นพังหอง
เต็กเชงก็ว่าท่านอย่าเพิ่งตกใจวุ่นวายไปก่อน หนังสือของพังหองนั้นเก็บไว้ทุกฉบับหรือ เฮงเจียก็ว่าไม่ได้เก็บไว้ เมื่อเขามีมาถึงอ่านดูรู้ความแล้วก็เอากลับคืนไป เต็กเชงจึงว่า
“…………พังหองฉลาดนัก กลัวจะได้หนังสือไว้เป็นสำคัญ แล้วจะคิดอ่านว่าความยกข้อผิดได้ จึงให้เอากลับไปเสีย ด้วยพังหองเห็นว่า ถึงจะฟ้องร้องว่าความขึ้นก็ไม่มีอันใดเป็นที่อ้าง ซึ่งตัวท่านมีความเมตตารักใคร่ ไม่ทำร้ายข้าพเจ้านั้นขอบคุณท่านมากนัก แต่ท่านไม่ทำตามพังหองก็จะมีภัย ท่านอย่าเพิ่งไปก่อน ข้าพเจ้าจะคิดอ่านไม่ให้พังหองทำอันตรายได้ อย่าตกใจร้อนรนไปเลย……….”
เมื่อพูดจากันแล้วก็ไม่เป็นอันจะกินโต๊ะ เต็กเชงก็ลากลับมายังที่อยู่ ค่ำคืนนั้นเดือนหงาย เต็กเชงไม่สบายใจนอนไม่หลับ ก็ออกมาเดินเล่นอยู่หน้าตึก คิดขึ้นมาถึงพังหองแล้วให้มีความแค้นเป็นที่สุด ซึ่งเป็นโทษต้องเนรเทศออกมาแล้ว ก็ยังคิดล้างผลาญไม่วายเลย แต่จะแก้แค้นก็ยากด้วยเขาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ บุตรสาวข้างในก็เป็นคนโปรดของฮ่องเต้ เต็กเชงคิดหาหนทางอยู่จนดึก ก็ให้จนใจนักมิรู้ที่จะทำประการใดเลย
ครั้นเวลารุ่งเช้าเต็กเชงก็มีหน้าตาเศร้าหมอง พูดจาก็ฟั่นเฟือนเหมือนกับคนไม่มีสติ แล้วบอกกับเฮงเจียว่า เมื่อคืนนี้ทหารเมืองไซหยงซึ่งตนฆ่าตายนั้น มาหลอกหลอนรบกวนจะเอาชีวิตตน อาหารก็กินไม่ได้ให้เจ็บปวดทั่วสารพางค์กาย เฮงเจียก็ตกใจไปตามหมอมาดูอาการ หมอพิเคราะห์แล้วก็บอกว่ารักษาไม่ได้ อีกสามวันก็จะตาย เฮงเจียก็ไม่มีทางที่จะช่วยอย่างใดได้.
##########
นิตยสารโล่เงิน
พฤษภาคม ๒๕๔๗