แม่ทัพเป็นจำเลย ๒๙ ก.ย.๕๘

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๑๑ แม่ทัพเป็นจำเลย

" เล่าเซี่ยงชุน "

ในรัชสมัยราชวงศ์ซ้องนั้น พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ได้สืบราชสมบัติถัดจาก พระเจ้าซ้องไทโจ๊วฮ่องเต้ มาได้สี่ชั่วกษัตริย์ ขณะนั้นมี เต็กเซง เป็นแม่ทัพใหญ่ฝ่ายบู๊ และ เปาบุ้นจิ้น เป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายบุ๋น ตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองเปียนเหลียง

อยู่มาได้รับหนังสือกราบทูลจากเจ้าเมืองเซียมไซ ว่าเกิดฝนแล้งราษฎรทำนาไม่ได้ผล ผู้คนอดอยากล้มตายลงเป็นอันมาก พระเจ้าซ้องยินจงทอดพระเนตรทราบความแล้ว จึงตรัสกับขุนนางทั้งปวงว่า จะต้องให้เปาบุ้นจิ้นคุมเอาเงินทอง และเสบียงอาหาร ไปจ่ายแจกให้ราษฎรที่เมืองเซียมไซ แล้วก็รับสั่งเลื่อนยศเปาบุ้นจิ้น ให้เป็นที่ เปาเล่งถู ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นำเสบียงอาหารไปแจกจ่ายแก่ราษฎร และให้ตรวจราชการต่างพระเนตรพระกรรณ เปาบุ้นจิ้น ก็เดินทางไปตรวจราชการตามหัวเมืองต่าง ๆ ตามรับสั่ง ติดต่อกันไปเป็นเวลานาน

ต่อมาทางเมืองไซหยงซึ่งขึ้นอยู่กับเมืองเปียนเหลียง ไม่ได้ส่งเครื่องบรรณาการมาคำนับหลายปี พังหอง ขุนนางผู้ใหญ่ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน แต่เป็นฝ่ายกังฉิน ก็กราบทูลให้ พระเจ้าซ้องยินจง มีรับสั่งให้เต็กเซงยกกองทัพไปปราบปราม เมืองไซหยงให้อ่อนน้อมดังเดิม

เต็กเซงซึ่งอยู่รักษาเมืองซำก๋วน ก็ยกทหารห้าหมื่นกับทหารเสือคู่ใจอีกห้านาย ไปตามรับสั่ง แต่เดินทัพไปประมาณสามสิบวัน พบทางแยกสองแพร่ง ทัพหน้าไม่รู้หนทางก็พาเดินไปตีเอาเมืองเซียนเชียนก๊ก ซึ่งได้ส่งเครื่องบรรณาการทุกปีมิเคยขาด เจ้าเมืองจึงจัดกองทัพออกต่อสู้ แม่ทัพคือ นางโปยโปกงจู๊ บุตรสาวเจ้าเมือง มีฝีมือเข้มแข็งมาก สามารถเอาชนะเต็กเซง และจับตัวเต็กเซงกับทหารเอกทั้งห้านายเป็นเชลยได้

เจ้าเมืองเซียนเชียนก๊กจะประหารเสีย ก็เกรงว่าจะต้องเป็นศัตรู ทำศึกใหญ่กับพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ให้ได้ยากแก่ทหาร จึงเกลี้ยกล่อมเต็กเซงให้อยู่รับราชการ และยกนางโปยโปกงจู๊ให้อยู่กินเป็นภรรยาด้วย เต็กเซงจึงจำใจยอมสวามิภักดิ์ต่อเจ้าเมืองเซียนเชียนก๊ก

เมื่อพังหองได้ทราบข่าว จึงกราบทูลพระเจ้าซ้องยินจง ให้ลงอาญาแก่เต็กเซงถึงขั้นประหารชีวิตเสียทั้งโคตร แต่พระเจ้าซ้องยินจงเกรงใจ นางเต็กไทเฮา พระมารดาเลี้ยง ซึ่งเป็นน้องของบิดาเต็กเซง จึงมีรับสั่งให้คุมตัว นางเมงสี มารดาของเต็กเซง ซึ่งเป็นที่เอียวไทกุ๋น มา จำขังไว้ในวัง และมีรับสั่งแจ้งให้เต็กเซงไปตีเมืองไซหยงแก้ตัว จึงจะพ้นโทษประหาร

ต่อมานางโปยโปกงจู๊ได้ตั้งครรภ์ เต็กเซงก็วางอุบายหนีออกจากเมืองเซียนเชียงก๊ก พาทหารเอกห้านายและกองทัพของตน ยกไปตีเมืองไซหยงตามรับสั่งของพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้

เต็กเซงได้รบกับ เฮกหลี ทหารเอก ซึ่งเป็นบุตรเขยของเจ้าเมืองไซหยง เต็กเซงฆ่าเฮกหลีตาย แต่ก็ถูกกองทหารเมืองไซหยงล้อมไว้ ไม่สามารถตีหักออกมาได้ นางโปยโปกงจู๊ซึ่งคลอดบุตรเป็นชายฝาแฝดแล้ว ได้ทราบข่าวจึงยกกองทัพจากเมืองเซียนเชียงก๊กมาช่วยรบ จนได้ชัยชนะ เจ้าเมืองไซหยงยอมอ่อนน้อม มอบธงวิเศษประจำเมืองให้เต็กเซง และขอส่งบรรณาการถวายพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ดังเดิม

เต็กเซงจึงยกกองทัพกลับเมืองเปียนเหลียง แต่นางโปยโปกงจู๊นั้นกลับไปเลี้ยงดูบุตรที่เมืองเซียนเชียงก๊ก ไม่ได้ตามเต็กเซงมาที่เมืองเปียนเหลียงด้วย

เมื่อเต็กเซงได้เข้าเฝ้า พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ก็ตรัสถามว่า ได้ใช้ให้ไปเมืองไซหยง เหตุใดจึงไพล่ไปเมืองเซียนเชียงก๊ก จนมีภรรยา และยอมสวามิภักดิ์อยู่กับเจ้าเมืองเซียนเชียงก๊ก เต็กเซงก็กราบทูลเล่าเรื่องราวให้ทรงทราบทุกประการ ฮ่องเต้ก็รับสั่งว่าโทษเจ้าก็มี ความชอบในแผ่นดินก็มาก คุณกับโทษพอจะลบล้างกันได้

เต็กเซงจึงกราบทูลว่า

"…ซึ่งโทษข้าพเจ้าผิดนั้นแล้วแต่จะโปรด จะขอรับพระราชทานแต่มารดาให้พ้นโทษ”

พระเจ้าซ้องยินจงจึงรับสั่ง โปรดมารดาเต็กเซงให้พ้นโทษ พังหองก็กราบทูลว่า อันเต็กเซงโทษผิดมากหลายข้อ ไม่ไปตามรับสั่งนั้นข้อหนึ่ง ยอมสวามิภักดิ์กับเจ้าเมืองเซียนเชียงก๊กข้อหนึ่ง จะต้องทำโทษเสียอย่าให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป พระเจ้าซ้องยินจงกลับตรัสว่าที่ได้ใช้ให้เต็กเซงไปก็เพราะพังหองเป็นผู้เสนอ พังหองจึงจนปัญญามิรู้ที่จะทูลประการใดต่อไป

เมื่อเสด็จขึ้นแล้ว เต็กเซงจึงกล่าวแก่พังหองว่า

"......ซึ่งข้าพเจ้าไปศึกสงครามมีชัยชนะ ก็เพราะท่านกราบทูลให้จึงได้ไป พระเดชพระคุณของท่านมีกับข้าพเจ้าเป็นอันมาก ครั้นข้าพเจ้ากลับมา พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้โปรดให้ กับมารดาพ้นโทษแล้ว เหตุใดท่านจึงมาพูดดังนี้ ข้าพเจ้ากับท่านก็ไม่มีข้อขัดเคืองสิ่งใดกันเลย หา ควรที่ท่านจะมาเป็นเช่นนี้ไม่....."

พังหองก็ออกตัวว่า

"....เราไม่มีข้อสาเหตุขัดเคืองสิ่งใดกับท่านดอก มิใช่จะแกล้งยกข้อผิดแก่ท่านเมื่อไร ซึ่งทูลทั้งนี้ก็ตามความจริง ด้วยเราเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้เข้ากับผู้ใด....."

ว่าแล้วพังหองก็กลับไปบ้าน

หลังจากนั้นเต็กเซงก็นำนางเม่งสีมารดา เข้าไปคำนับนางเต็กไทเฮาในวัง เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง นางเต็กไทเฮาก็ยินดีรับพี่สะใภ้ให้อยู่ในวังนำเชงเก๋งด้วย

ในวันรุ่งขึ้นเมื่อพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เสด็จออกขุนนาง โลฮวยอ๋อง ก็กราบทูลว่า นางเต็กไทเฮาจะขอรับพระราชทาน ให้เต็กเซงเลื่อนขึ้นเป็นอ๋อง ด้วยได้มีความชอบเป็นอันมาก ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสปรึกษากับขุนนางทั้งปวง ว่าจะเห็นประการใด

ขุนนางผู้เฒ่าฝ่ายโหรชื่อ ชุยสิน ก็ว่าเต็กเซงมีความชอบมากกว่าความผิด ซึ่งจะโปรดให้เลื่อนเป็นอ๋องนั้นควรแล้ว ขุนนางผู้เฒ่าอื่น ๆ อีกมาก ก็กราบทูลว่าสมควรแล้ว เมื่อฮ่องเต้หันมาตรัสถามพังหอง จึงไม่สามารถจะคัดง้างแต่ผู้เดียวได้ จำต้องเห็นคล้อยตามไปด้วย พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้จึงทรงแต่งตั้งให้เต็กเซง เป็นที่ เพงไซอ๋อง

ต่อมาพังหองก็นำ เอียเทา ขุนนางอีกผู้หนึ่งเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ในเวลาเสด็จออกขุนนาง เอียเทาก็กราบทูลว่า เต็กเซงมีความชอบมาก ได้โปรดให้เป็นที่เพงไซอ๋อง และพระราชทานบ้านเรือนสมควรแก่ยศศักดิ์แล้ว แต่ยังไม่มีภรรยาจึงขอถวาย นางฮองเกียว บุตรสาวอายุสิบเก้าปี รูปร่างหมดจดงดงาม มีสติปัญญา ให้เป็นภรรยาเพงไซอ๋อง

ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

".....เพงไซอ๋องนั้นได้นางโปยโปกงจู๊ เป็นภรรยาแล้ว ซึ่งจะให้เขาทิ้งภรรยาเก่า มีภรรยาใหม่นั้นไม่ชอบ....."

เอียเทาก็กราบทูลว่าภรรยาเพงไซอ๋องอยู่ถึงเมืองไกล เมื่อไรจะได้มาอยู่กินกับ เพงไซอ๋อง ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

"....นางโปยโปกงจู๊เขามีความชอบต่อแผ่นดิน เราคิดอยู่ว่า ถ้าว่างราชการเป็นฤดูแล้ง จะแต่งคนให้ไปรับมาไว้ ให้อยู่กินกับเพงไซอ๋องในเมืองเปียนเหลียงนี้....."

พังหองก็กราบทูลว่า เต็กเซงเป็นที่เพงไซอ๋องมียศศักดิ์ใหญ่ สมควรจะมีภรรยาหลายคนได้ ถ้าให้นางโปยโปกงจู๊เป็นภรรยาเอก ให้บุตรสาวเอียเทาเป็นภรรยารองก็สมควร ฮ่องเต้ก็ตรัสถามเอียเทาว่าจะขัดข้องหรือไม่ เอียเทาก็กราบทูลว่า แล้วแต่จะโปรด

เมื่อถึงวันฤกษ์ดีเอียเทาก็จัดการแต่งงานขึ้นที่บ้านเพงไซอ๋อง แล้วส่งตัวเจ้าสาวพร้อมด้วยคนรับใช้หญิงสี่คนมาอยู่ด้วย ในงานนี้ขุนนางข้าราชการมาช่วยงาน และเลี้ยงดูกันเป็นอันมาก พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้โปรดพระราชทาน ผ้าผ่อน เงินทอง สิ่งของต่าง ๆ ตามสมควร

แต่เมื่อเปาบุ้นจิ้นซึ่งออกไปตรวจราชการ และแจกเสบียงอาหารให้แก่ราษฎรตามหัวเมืองซึ่งขัดสนเสร็จแล้ว กลับมาถึงเมืองเปียนเหลียง ชุยสินกับ บุนงวนภัก ขุนนางผู้ใหญ่ ก็พากันมาหาถึงที่พักแล้วเล่าว่า

".....มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าชำระความเรื่องหนึ่งยากนักหนา ไม่รู้ว่าจะทำยังไรให้ได้ความจริง แต่ตรึกตรองอยู่หลายวันยังไม่เห็นช่องเลย ท่านมาถึงก็ดีแล้ว ด้วยท่านเคยชำระความใหญ่ ๆ มามาก แต่ข้าพเจ้าทั้งสองนี้จนปัญญาเสียแล้ว...."

เปาบุ้นจิ้นก็ถามถึงมูลคดี ทั้งสองก็บอกว่า คดีนี้เอียเทากล่าวหาฟ้องเพงไซอ๋องว่าได้ฆ่านางฮองเกียวภรรยา ซึ่งเป็นบุตรสาวของตน ที่ได้ยกให้แต่งงานด้วยยังไม่ถึงสิบวัน ถึงแก่ความตาย โดยไม่มีข้อผิดสิ่งใดเลย

เปาบุ้นจิ้นก็ว่า

"....ความนิดหน่อยเท่านี้ ท่านมาบอกว่าสิ้นปัญญาเสียแล้ว ถ้าข้าพเจ้าชำระก็คงได้ความจริง ท่านก็ย่อมรู้อยู่แล้ว....."

จึงต้องคอยดูกันต่อไปว่า ท่านเปาบุ้นจิ้นจะตัดสินคดีนี้ด้วยวิธีใด จึงจะได้ความจริงว่า เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่.

##########

นิตยสารโล่เงิน
ธันวาคม ๒๕๔๖
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่