คนดีแผ่นดินซ้อง
ตอนที่ ๘ สำแดงเดช
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ฝ่ายเต็กเชงขณะที่คุมขบวนเกวียนเสื้อเกราะ เดินทางในเวลากลางคืน แลเห็นทหารแปลกหน้ามีกิริยาประหลาด ก็สงสัยจึงเอาลูกเกาทัณฑ์ขว้างไปถูกเล่าเข่งที่ขา เจ็บปวดเป็นสาหัส แต่เต็กเชงไม่รู้ว่าถูกหรือไม่ถูกเพราะเป็นที่มืด พอถึงชายป่าแห่งหนึ่งก็หยุดพักพล แล้วให้ เตียตงกับหลีหงีคอยตรวจตราระวังรักษาขบวน อย่าให้โจรผู้ร้ายแปลกปลอมเข้ามาได้ แล้วเต็กเชงก็ขึ้นม้าตรวจบริเวณป่าเขาไปไกลประมาณสิบลี้ ก็เห็นแสงไฟสว่างอยู่กลางป่า จึงแวะเข้าไปดูเห็นมีโรงเตี๊ยมตั้งอยู่ ก็เข้าไปซื้อสุรากิน
เจ้าของโรงเป็นผู้หญิง เอาสุรามาให้แล้ว ก็พิเคราะห์ดูเต็กเชงไม่วางตา เต็กเชงก็คิดว่าเหตุใดหญิงคนนี้จึงแลดูเราหนักหนา หามีความละอายแก่ใจบ้างเลย หญิงเจ้าของโรงเตี๊ยมจ้องดู เต็กเชง เสพสุราอยู่พักหนึ่ง แล้วนางจึงให้คนใช้มาถามชื่อแซ่ เต็กเชงก็บอกให้ตามจริง
สักครู่นางก็พามารดาออกมาจากข้างใน เต็กเชงเห็นก็จำได้ว่าเป็น นางเม่งสี มารดาของตนเอง ก็มีความยินดียิ่งนัก จึงคุกเข่าลงคำนับมารดา และเจ้าของโรงเตี๊ยมก็คือ นางเต็กกิมหลวน พี่สาวที่พลัดพรากจากกันไปตั้งแต่น้ำท่วมบ้านนั่นเอง เต็กเชงก็เล่าความตั้งแต่พลัดจากมารดาไปพบกับ เฮงเซียนเล่าโจ๊ ได้ช่วยชีวิตไว้ แล้วสั่งสอนเพลงอาวุธให้ จนไปพบ นางเต็กไทเฮา ผู้เป็นอา และได้เป็นขุนนางเมืองเปียนเหลียง จนมีรับสั่งให้คุมเสื้อเกราะไปส่งที่เมืองซำก๋วน นางเม่งสีก็เล่าความที่ตนพลัดกับเต็กเชง มาพบกับนางเต็กกิมหลวนและ เตียบุ๋นผู้บุตรเขย เต็กเชงจึงถามว่าเตียบุ๋นอยู่หรือไม่ นางเต็กกิมหลวนก็บอกว่า
“……..เตียบุ๋นนั้นเดิมเข้าทำราชการ อยู่กับเบเองเหลงเจ้าเมืองทองก๋วน ก็ไม่สู้ชอบอัชฌาสัยจึงหลีกตัวเสีย มาทำมาหากินอยู่ตำบลนี้ บัดนี้ไปเที่ยวเก็บเงินลูกหนี้ยังไม่กลับมา..”
นางเม่งสีก็ตักเตือนเต็กเชงว่า เจ้าถือรับสั่งไปราชการครั้งนี้อย่ามีความประมาท จงเร่งรีบไปให้ทันกำหนด เต็กเชงก็บอกว่ามารดาอย่าวิตกเลย ตนมีหนังสือฝากฝังถึงสามฉบับ แม้ไปไม่ทันกำหนด หนังสือนั้นก็คงจะช่วยได้ แล้วทั้งสามคนแม่ลูกก็นั่งสนทนากันเป็นที่สบาย
ฝ่ายเตียบุ๋นกำลังเดินทางจะกลับบ้าน ก็พบ เล่าเข่ง ซึ่งสนิทสนมกันเมื่อครั้งทำราชการอยู่กับเจ้าเมือง เดินไม่ใคร่ถนัดด้วยโดนลูกเกาทัณฑ์ที่ขา จึงถามว่าไปไหนมาค่ำมืดดึกดื่นป่านนี้ เล่าเข่งก็บอกว่า เต็กเชงซึ่งเป็นข้าหลวงคุมเสื้อเกราะไปส่งกองทัพนั้น พังหองเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง มีหนังสือลับมาถึงเบเองเหลงให้คิดกำจัดเสีย เบเองเหลงจึงให้ตนติดตามไปหาทางกำจัดเสียให้จงได้ ตนจึงปลอมเป็นเป็นทหารเต็กเชงไปคอยทำร้าย แต่เต็กเชงรู้ทีเอาลูกเกาทัณฑ์ขว้างมาถูกขา เจ็บปวดเป็นอันมากเดินไม่ใคร่ถนัด แต่แจ้งว่าเต็กเชงมาเสพสุราอยู่ที่บ้านเตียบุ๋น จึงอุตส่าห์เดินมาหาจะให้ช่วยเหลือ ฆ่าเต็กเชงเสียจะได้มีความชอบด้วยกัน
เตียบุ๋นก็ว่าตนไปธุระพึ่งกลับมายังหาถึงบ้านไม่ จงคอยอยู่ที่นี่จะเข้าไปดูท่วงทีก่อน ถ้าได้ช่องแล้วจะกลับมาบอก แล้วเตียบุ๋นก็รีบกลับมาที่บ้าน
คนใช้ก็บอกว่ามีญาติฝ่ายภรรยามาหา บัดนี้ยังนั่งพูดคุยกันอยู่ข้างใน เตียบุ๋นก็มีความยินดี รีบเข้าไปข้างใน เมื่อเห็นเต็กเชงต่างก็คำนับกันตามธรรมเนียม แล้วต่างก็เล่าเรื่องที่มีคนร้ายติดตามมา เตียบุ๋นจึงว่าคนผู้นั้นคือเล่าเข่ง เบเองเหลงเจ้าเมืองใช้ให้มาฆ่าเต็กเชง แต่ถูกลูกเกาทัณฑ์เดินไม่ถนัด จึงขอให้ตนช่วย บัดนี้ยังคอยท่าอยู่นอกบ้าน
เต็กเชงก็โกรธจะออกไปฆ่าเสียเดี๋ยวนี้ เตียบุ๋นก็ว่า
“……..ท่านอย่าทำใจเร็ววู่วามไป ด้วยเล่าเข่งคนนี้ เป็นคนรักใคร่ชอบอัชฌาสัยกับข้าพเจ้ามากนัก ข้าพเจ้าจะเกลี้ยกล่อมให้ท่าน ท่านจะได้เอาเป็นทหาร จะได้เป็นกำลังท่านทำราชการไปภายหน้า……..”
เตียบุ๋นก็ให้เต็กเชงเข้าไปซ่อนตัวเสียในห้องข้างใน กำชับคนใช้มิให้พูดแพร่งพรายไป แล้วตนเองก็ออกจากบ้านไปหาเล่าเข่ง บอกว่าบัดนี้ได้มอมสุราเต็กเชงจนเมาหนักแล้ว เล่าเข่งก็ว่าถ้ากระนั้นจะได้เข้าไปตัดศรีษะเสียเดี๋ยวนี้ เตียบุ๋นก็ว่า
“…….ท่านอย่าวิตกเลย เต็กเชงนั้นอยู่ในกำมือเราแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าให้คนคุมตัวไว้หลังบ้าน อันศรีษะเต็กเชงนั้นไว้เป็นพนักงานของข้าพเจ้า จะเอาไปให้เบเองเหลงเอาความชอบเอง ขอเชิญท่านเสพสุราเสียให้สบายใจก่อนเถิด……..”
แล้วเตียบุ๋นก็พาเล่าเข่งเข้าไปในบ้าน จัดโต๊ะสุรามาตั้ง แล้วนั่งกินโต๊ะเสพสุรากันเป็นที่สำราญ เล่าเข่งนั้นกำลังหิวมาก็เสพสุราจนเมาไม่รู้สึกตัว เตียบุ๋นจึงให้คนใช้มัดไว้ให้มั่นคง จนถึงเวลาเช้าเล่าเข่งสร่างเมารู้สึกตัว ก็มีความแค้นนักจึงว่าเดิมว่าจะช่วยกันจับเต็กเชง นี่เหตุใดจึงมามัดเราไว้ดังนี้ เตียบุ๋นจึงเล่าความว่า
“………เต็กเชงนั้นเป็นน้องนางเต็กกิมหลวนภรรยาเรา แล้วก็เป็นหลานนางเต็กไทเฮา ราชมารดาพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เจ้าแผ่นดิน ก็นับเนื่องว่าเป็นพระญาติพระวงศ์ แล้วก็ได้ถือรับสั่งมา ยังหามีความผิดในราชการไม่ เบเองเหลงนายท่านปราศจากปัญญา หารู้ความผิดและชอบไม่ หมายจะเอาแต่ความชอบในพังหองอย่างเดียว ตัวท่านก็ไม่ตรึกตรองให้รอบคอบ ถึงมาตรว่าท่านกำจัดเต็กเชงได้ มีความชอบในพังหองและเบเองเหลงสักเท่าใด ถ้าความทราบไปถึงพระเจ้าแผ่นดินและนางเต็กไทเฮา ความผิดก็จะมาถึงตัวท่าน ตลอดไปจนพังหองและเบเองเหลงด้วย………”
แล้วจึงลงท้ายว่า
“……..ท่านกับเราก็ชอบอัชฌาสัยกันมาช้านานเปรียบเหมือนญาติ จึงได้เตือนสติท่าน ท่านจงตรึกตรองดูเถิด……..”
เล่าเข่งได้ฟังก็เห็นชอบด้วย แต่ก็ว่า
“………ซึ่งท่านนั้นเราก็เห็นด้วย แต่เรามีความน้อยใจอยู่ ด้วยท่านกับเราก็ชอบพอรักใคร่กันมาช้านาน เห็นการสิ่งไรไม่ควรก็ชอบแต่ตักเตือนกันโดยดี นี่เหตุใดจึงได้มามัดเราไว้ให้ได้ความอัปยศดังนี้หาควรไม่……..”
เตียบุ๋นก็บอกว่า
“……….ข้อซึ่งเรามัดท่านไว้นั้น ด้วยเราเห็นว่าท่านเป็นคนใจเหี้ยมหาญดุร้ายนัก ครั้นจะตักเตือนท่านเมื่อเวลาเสพสุรา ถ้าท่านไม่เชื่อฟังข้าพเจ้า กลัวจะวิวาทกันขึ้น เต็กเชงเล่าก็มีฝีมือเข้มแข็งนัก ท่านก็ย่อมรู้อยู่ เปรียบเหมือนเสือสองตัวสู้กัน เต็กเชงก็เป็นญาติ ท่านก็เป็นสหาย จะให้เราช่วยผู้ใด ข้อซึ่งเรามัดท่านไว้ให้ได้ความอายนั้น เราขออภัยเสียเถิด…….”
เตียบุ๋นเห็นกิริยาเล่าเข่งเชื่อถือแล้ว ก็เข้าแก้มัดออกให้นั่งในที่สมควรแล้วก็เกลี้ยกล่อมว่า
“……ท่านจงไปราชการทัพกับเต็กเชงเสียในครั้งนี้เถิด จะได้มีชื่อเสียงกับเขาบ้าง ซึ่งท่านจะอยู่ทำราชการด้วยเบเองเหลง อันเป็นพวกพังหองซึ่งเป็นขุนนางกังฉินนั้น ความผิดก็จะมาเยี่ยมเยือนท่านอยู่เนือง ๆ……..”
เล่าเข่งก็ว่า
“………ซึ่งท่านชี้แจงให้ข้าพเจ้าเห็นความดังนี้ คุณของท่านหาที่สุดมิได้ แต่ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้าไปกับเต็กเชงในครั้งนี้นั้น ยังไม่ได้ก่อน ด้วยมารดาและบุตรภรรยาข้าพเจ้านั้น ยังอยู่ในอำนาจเบเองเหลง ถ้ารู้ว่าข้าพเจ้าไปกับเต็กเชงก็คงทำอันตรายมารดาบุตรภรรยาข้าพเจาเป็นมั่นคง อนึ่งเต็กเชงก็จะรีบร้อนไป ขอให้เต็กเชงไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะกลับไปเมืองทองก๋วน จัดแจงยักย้ายครอบครัวไปไว้เสียให้พ้นเมืองทองก๋วน แล้วข้าพเจ้าจึงจะตามเต็กเชงไปภายหลัง..”
เตียบุ๋นก็เห็นชอบด้วย เล่าเข่งจึงคำนับลากลับไป เต็กเชงก็ออกมาพูดกับเตียบุ๋นว่าตนได้สั่งให้ เตียตง หลีหงี ดูแลทหาร แต่ตนเองมาพบมารดากับญาติจึงได้ช้าอยู่จนสว่าง นายทหารทั้งสองก็จะวิตกเป็นอันมาก ขอให้เตียบุ๋นไปบอกให้ทราบความเสียสักหน่อย และบอกลักษณะว่า เตียตงนั้นหน้าแดง ส่วนหลีหงีนั้นหน้าดำ
เตียบุ๋นก็ออกจากบ้านเดินไปตามทาง ก็สวนกับนายทหารหน้าแดง รูปร่างคมสัน จึงถามว่าท่านชื่อเตียตงหรือ เตียตงก็สงสัยว่าเหตุใดจึงรู้จักชื่อตน เตียบุ๋นก็เล่าเรื่องเต็กเชงไปพบมารดาและพี่สาวที่บ้านของตน เตียตงก็ยินดีให้เตียบุ๋นกลับไปบ้าน ส่วนตนจะไปบอกหลีหงีเอง
เตียตงเดินตัดทางตรงไปตามหาหลีหงี ก็ไปพบชายพวกหนึ่งประมาณยี่สิบคน กำลังฉุดคร่าผู้หญิง จึงเข้าไปช่วยสู้รบแก้ไข พวกนั้นก็หนีไปสิ้นถูกเตียตงจับได้คนเดียวคือ ชิงหุน พรรคพวกของ ชิงชิว ไปฉุดเอาภรรยาของ เตียยี่ มา และจับเตียยี่ขังไว้ เตียตงก็บังคับให้ปล่อย เตียยี่เสีย แต่ กัวปา น้องของชิงหุนพาพรรคพวกมาช่วยรบเตียตง จนต้องถอยหนี
บังเอิญหลีหงีมาเจอก็เข้าช่วยเตียตง ฆ่ากัวปาตาย แล้วทั้งสองก็จะตามไปฆ่า ชิงหุนอีก เมื่อถึงบ้านชิงหุน ก็มีซินแสออกมาเกลี้ยกล่อมขอให้ยกโทษแก่ชิงหุน เตียตงกับหลีหงีจึงใจอ่อนยอมงดโทษไม่ฆ่าชิงหุน
แล้วทั้งสองนายก็ชวนกันตามไปพบเต็กเชงที่บ้านของเตียบุ๋น เล่าความที่ผ่านมาให้ฟังทุกประการ เต็กเชงก็ลามารดาพี่สาวและพี่เขย คุมเกวียนเสื้อเกราะเดินทางต่อไปได้วันหนึ่ง ก็เกิดมีลมพายุพัดกล้า และฝนตกหนัก จึงสั่งให้หยุดเกวียนไว้กลางทาง มอบให้เตียตงกับหลีหงีดูแลส่วนตนเองเดินไปหาทำเลที่พักพล ก็พบหลวงจีนอยู่ในวัดปออินยี่ เต็กเชงจะขออพยพกองทหารของตนเข้ามาพักในวัดสักสามวัน หลวงจีนก็ไม่ยอมแต่ให้เต็กเชงพักอยู่คนเดียว ตลอดคืนนั้น
ฝ่ายชิงหุนที่ไม่ถูกฆ่า ยังไม่สำนึกผิด กลับมีหนังสือไปถึง งูเกียน กับ งูกัง นายโจรที่เขาบัวพวนซัว ให้คุมพลไปแย่งชิงเอาเสื้อเกราะ เอาไปส่งให้ จันเทียนอ๋อง แม่ทัพเมืองไซหยงที่ยกมาตีเมืองซำก๋วนของ เอียจงเปา และตั้งค่ายอยู่ที่เขาไตลังซัว หน้าเมืองซุยเต๊กฮู ซึ่งเป็นเมืองด่านหน้า แต่ทหารฮวนไม่ได้ใช้เสื้อเกราะนั้น จันเทียนอ๋องจึงให้งูเกียนและงูกังรักษาไว้
เมื่อเต็กเชงลาหลวงจีนออกจากวัดปออินยีแล้ว ได้พบกับ เจียวเทงกุ้ย นายทหารเอกของเอียจงเปา รู้ว่าเสื้อเกราะถูกลักไป จึงติดตามไปแต่ผู้เดียวถึงเขาไตลังซัว ท้าให้จันเทียนอ๋อง ออกมาสู้รบกัน จันเทียนอ๋องกับ จือแฮไซ ก็ยกพลออกมารบ แต่เสียทีถูกเต็กเชงฆ่าตายทั้งสองคน เจียวเทงกุ้ยก็ตัดศรีษะแม่ทัพข้าศึกทั้งสอง เอาไปให้เอียจงเปาที่เมืองซุยเต๊กฮู
ครั้นเต็กเชงกลับไปถึงเมืองซุยเต๊กฮู เอียจงเปาก็ว่าเต็กเชงทำเสื้อเกราะหาย กับฆ่าแม่ทัพข้าศึกได้สองคน ความผิดกับความชอบหักกลบลบกัน พอดีทหารฮวนอีกสามนาย ยกพลมาจะแก้แค้นแทนจันเทียนอ๋อง ร้องท้าทายเต็กเชงอยู่หน้า เต็กเชงกับเจียวเทงกุ้ยก็ออกไปสู้รบด้วย เต็กเชงก็เอาหน้ากากที่เทพารักษ์ให้มาปิดหน้า ทหารเอกของข้าศึกก็หน้ามืดตกม้า ให้เจียวเทงกุ้ยตัดศรีษะได้ทั้งสามนาย
เอียจงเปาก็มีความยินดี ลงจากหอรบมาคอยรับเต็กเชงอยู่ที่หน้าเมือง ครั้นพากันเข้าไปในเมืองแล้ว ก็ให้เอาศรีษะของข้าศึกทั้งสามไปเสียบไว้หน้าเมือง เรียงกับสองนายที่ได้มาก่อน รวมเป็นห้าศรีษะ เอียจงเปาจึงพูดกับเต็กเชงว่า
“………ท่านกำจัดข้าศึกศัตรูได้ครั้งนี้ มีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก แต่เราทำศึกมาได้ยี่สิบปีเศษ ไม่เอาชัยชนะได้โดยง่ายเหมือนครั้งนี้เลย เรามีความละอายแก่ท่านนัก…..”
เต็กเชงก็ถ่อมตัวว่า
“……….ข้าพเจ้าเป็นคนอยู่ระหว่างโทษ ท่านเมตตามิได้ทำโทษข้าพเจ้า คุณหาที่สุดมิได้ ซึ่งข้าพเจ้าเอาชัยชนะข้าศึกได้โดยง่ายนั้น เพราะอำนาจท่านและบุญของพระเจ้าแผ่นดิน..”
แล้วเอียจงเปาก็สั่งให้จัดโต๊ะมาเลี้ยงฉลองชัยชนะเป็นที่สำราญ แต่เต็กเชงยังคิดจะไปเอาเสื้อเกราะคืน จึงขอทหารเอียจงเปาสองหมื่น ให้เตียตงกับหลีหงี คุมไปสู้รบกับงูเกียน และ งูกัง ที่เขาไตลังซัว เอาเสื้อเกราะคืนมาให้ได้
เตียตงกับหลีหงียกพลเดินทางมาถึงแม่น้ำเอียนจิวทอ ก็พบกับงูเกียนคุมพลสวนทางมา พอรู้ว่าเป็นงูเกียนเตียตงก็โกรธจะเข้าสู้รบ งูเกียนก็ร้องห้ามไว้แล้วว่า
“………ซึ่งข้าพเจ้าแย่งเอาเสื้อเกราะไปนั้น เพราะด้วยชิงหุนมีหนังสือมาให้ข้าพเจ้าทำ ข้าพเจ้าเป็นคนปราศจากปัญญาหาพิจารณาไม่ บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ตัวกลัวผิดจะถึงตัว จึงคุมเสื้อเกราะมาจะเอาไปให้เอียจงเปา ด้วยปรารถนาจะให้พ้นความผิด………”
เตียตงกับหลีหงียังสงสัยก็ซักถามเอาความจริง งูเกียนก็ว่าแยกทางกับงูกังแล้ว สมัครใจจะขอสามิภักดิ์กับเอียจงเปา และยอมสาบานให้ ทั้งสองนายทหารคนสนิทของเต็กเชงจึงยอมเชื่อ และพากันกลับมาหาเอียจงเปา เล่าเรื่องให้ฟังโดยตลอด เอียจงเปาก็มีความยินดี เอาเสื้อเกราะแจกทหาร แล้วให้เอาตัวงูเกียนไปประหารชีวิต งูเกียนก็ขออภัยโทษ
สำแดงเดช ๒๖ ก.ย.๕๘
ตอนที่ ๘ สำแดงเดช
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ฝ่ายเต็กเชงขณะที่คุมขบวนเกวียนเสื้อเกราะ เดินทางในเวลากลางคืน แลเห็นทหารแปลกหน้ามีกิริยาประหลาด ก็สงสัยจึงเอาลูกเกาทัณฑ์ขว้างไปถูกเล่าเข่งที่ขา เจ็บปวดเป็นสาหัส แต่เต็กเชงไม่รู้ว่าถูกหรือไม่ถูกเพราะเป็นที่มืด พอถึงชายป่าแห่งหนึ่งก็หยุดพักพล แล้วให้ เตียตงกับหลีหงีคอยตรวจตราระวังรักษาขบวน อย่าให้โจรผู้ร้ายแปลกปลอมเข้ามาได้ แล้วเต็กเชงก็ขึ้นม้าตรวจบริเวณป่าเขาไปไกลประมาณสิบลี้ ก็เห็นแสงไฟสว่างอยู่กลางป่า จึงแวะเข้าไปดูเห็นมีโรงเตี๊ยมตั้งอยู่ ก็เข้าไปซื้อสุรากิน
เจ้าของโรงเป็นผู้หญิง เอาสุรามาให้แล้ว ก็พิเคราะห์ดูเต็กเชงไม่วางตา เต็กเชงก็คิดว่าเหตุใดหญิงคนนี้จึงแลดูเราหนักหนา หามีความละอายแก่ใจบ้างเลย หญิงเจ้าของโรงเตี๊ยมจ้องดู เต็กเชง เสพสุราอยู่พักหนึ่ง แล้วนางจึงให้คนใช้มาถามชื่อแซ่ เต็กเชงก็บอกให้ตามจริง
สักครู่นางก็พามารดาออกมาจากข้างใน เต็กเชงเห็นก็จำได้ว่าเป็น นางเม่งสี มารดาของตนเอง ก็มีความยินดียิ่งนัก จึงคุกเข่าลงคำนับมารดา และเจ้าของโรงเตี๊ยมก็คือ นางเต็กกิมหลวน พี่สาวที่พลัดพรากจากกันไปตั้งแต่น้ำท่วมบ้านนั่นเอง เต็กเชงก็เล่าความตั้งแต่พลัดจากมารดาไปพบกับ เฮงเซียนเล่าโจ๊ ได้ช่วยชีวิตไว้ แล้วสั่งสอนเพลงอาวุธให้ จนไปพบ นางเต็กไทเฮา ผู้เป็นอา และได้เป็นขุนนางเมืองเปียนเหลียง จนมีรับสั่งให้คุมเสื้อเกราะไปส่งที่เมืองซำก๋วน นางเม่งสีก็เล่าความที่ตนพลัดกับเต็กเชง มาพบกับนางเต็กกิมหลวนและ เตียบุ๋นผู้บุตรเขย เต็กเชงจึงถามว่าเตียบุ๋นอยู่หรือไม่ นางเต็กกิมหลวนก็บอกว่า
“……..เตียบุ๋นนั้นเดิมเข้าทำราชการ อยู่กับเบเองเหลงเจ้าเมืองทองก๋วน ก็ไม่สู้ชอบอัชฌาสัยจึงหลีกตัวเสีย มาทำมาหากินอยู่ตำบลนี้ บัดนี้ไปเที่ยวเก็บเงินลูกหนี้ยังไม่กลับมา..”
นางเม่งสีก็ตักเตือนเต็กเชงว่า เจ้าถือรับสั่งไปราชการครั้งนี้อย่ามีความประมาท จงเร่งรีบไปให้ทันกำหนด เต็กเชงก็บอกว่ามารดาอย่าวิตกเลย ตนมีหนังสือฝากฝังถึงสามฉบับ แม้ไปไม่ทันกำหนด หนังสือนั้นก็คงจะช่วยได้ แล้วทั้งสามคนแม่ลูกก็นั่งสนทนากันเป็นที่สบาย
ฝ่ายเตียบุ๋นกำลังเดินทางจะกลับบ้าน ก็พบ เล่าเข่ง ซึ่งสนิทสนมกันเมื่อครั้งทำราชการอยู่กับเจ้าเมือง เดินไม่ใคร่ถนัดด้วยโดนลูกเกาทัณฑ์ที่ขา จึงถามว่าไปไหนมาค่ำมืดดึกดื่นป่านนี้ เล่าเข่งก็บอกว่า เต็กเชงซึ่งเป็นข้าหลวงคุมเสื้อเกราะไปส่งกองทัพนั้น พังหองเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง มีหนังสือลับมาถึงเบเองเหลงให้คิดกำจัดเสีย เบเองเหลงจึงให้ตนติดตามไปหาทางกำจัดเสียให้จงได้ ตนจึงปลอมเป็นเป็นทหารเต็กเชงไปคอยทำร้าย แต่เต็กเชงรู้ทีเอาลูกเกาทัณฑ์ขว้างมาถูกขา เจ็บปวดเป็นอันมากเดินไม่ใคร่ถนัด แต่แจ้งว่าเต็กเชงมาเสพสุราอยู่ที่บ้านเตียบุ๋น จึงอุตส่าห์เดินมาหาจะให้ช่วยเหลือ ฆ่าเต็กเชงเสียจะได้มีความชอบด้วยกัน
เตียบุ๋นก็ว่าตนไปธุระพึ่งกลับมายังหาถึงบ้านไม่ จงคอยอยู่ที่นี่จะเข้าไปดูท่วงทีก่อน ถ้าได้ช่องแล้วจะกลับมาบอก แล้วเตียบุ๋นก็รีบกลับมาที่บ้าน
คนใช้ก็บอกว่ามีญาติฝ่ายภรรยามาหา บัดนี้ยังนั่งพูดคุยกันอยู่ข้างใน เตียบุ๋นก็มีความยินดี รีบเข้าไปข้างใน เมื่อเห็นเต็กเชงต่างก็คำนับกันตามธรรมเนียม แล้วต่างก็เล่าเรื่องที่มีคนร้ายติดตามมา เตียบุ๋นจึงว่าคนผู้นั้นคือเล่าเข่ง เบเองเหลงเจ้าเมืองใช้ให้มาฆ่าเต็กเชง แต่ถูกลูกเกาทัณฑ์เดินไม่ถนัด จึงขอให้ตนช่วย บัดนี้ยังคอยท่าอยู่นอกบ้าน
เต็กเชงก็โกรธจะออกไปฆ่าเสียเดี๋ยวนี้ เตียบุ๋นก็ว่า
“……..ท่านอย่าทำใจเร็ววู่วามไป ด้วยเล่าเข่งคนนี้ เป็นคนรักใคร่ชอบอัชฌาสัยกับข้าพเจ้ามากนัก ข้าพเจ้าจะเกลี้ยกล่อมให้ท่าน ท่านจะได้เอาเป็นทหาร จะได้เป็นกำลังท่านทำราชการไปภายหน้า……..”
เตียบุ๋นก็ให้เต็กเชงเข้าไปซ่อนตัวเสียในห้องข้างใน กำชับคนใช้มิให้พูดแพร่งพรายไป แล้วตนเองก็ออกจากบ้านไปหาเล่าเข่ง บอกว่าบัดนี้ได้มอมสุราเต็กเชงจนเมาหนักแล้ว เล่าเข่งก็ว่าถ้ากระนั้นจะได้เข้าไปตัดศรีษะเสียเดี๋ยวนี้ เตียบุ๋นก็ว่า
“…….ท่านอย่าวิตกเลย เต็กเชงนั้นอยู่ในกำมือเราแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าให้คนคุมตัวไว้หลังบ้าน อันศรีษะเต็กเชงนั้นไว้เป็นพนักงานของข้าพเจ้า จะเอาไปให้เบเองเหลงเอาความชอบเอง ขอเชิญท่านเสพสุราเสียให้สบายใจก่อนเถิด……..”
แล้วเตียบุ๋นก็พาเล่าเข่งเข้าไปในบ้าน จัดโต๊ะสุรามาตั้ง แล้วนั่งกินโต๊ะเสพสุรากันเป็นที่สำราญ เล่าเข่งนั้นกำลังหิวมาก็เสพสุราจนเมาไม่รู้สึกตัว เตียบุ๋นจึงให้คนใช้มัดไว้ให้มั่นคง จนถึงเวลาเช้าเล่าเข่งสร่างเมารู้สึกตัว ก็มีความแค้นนักจึงว่าเดิมว่าจะช่วยกันจับเต็กเชง นี่เหตุใดจึงมามัดเราไว้ดังนี้ เตียบุ๋นจึงเล่าความว่า
“………เต็กเชงนั้นเป็นน้องนางเต็กกิมหลวนภรรยาเรา แล้วก็เป็นหลานนางเต็กไทเฮา ราชมารดาพระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้เจ้าแผ่นดิน ก็นับเนื่องว่าเป็นพระญาติพระวงศ์ แล้วก็ได้ถือรับสั่งมา ยังหามีความผิดในราชการไม่ เบเองเหลงนายท่านปราศจากปัญญา หารู้ความผิดและชอบไม่ หมายจะเอาแต่ความชอบในพังหองอย่างเดียว ตัวท่านก็ไม่ตรึกตรองให้รอบคอบ ถึงมาตรว่าท่านกำจัดเต็กเชงได้ มีความชอบในพังหองและเบเองเหลงสักเท่าใด ถ้าความทราบไปถึงพระเจ้าแผ่นดินและนางเต็กไทเฮา ความผิดก็จะมาถึงตัวท่าน ตลอดไปจนพังหองและเบเองเหลงด้วย………”
แล้วจึงลงท้ายว่า
“……..ท่านกับเราก็ชอบอัชฌาสัยกันมาช้านานเปรียบเหมือนญาติ จึงได้เตือนสติท่าน ท่านจงตรึกตรองดูเถิด……..”
เล่าเข่งได้ฟังก็เห็นชอบด้วย แต่ก็ว่า
“………ซึ่งท่านนั้นเราก็เห็นด้วย แต่เรามีความน้อยใจอยู่ ด้วยท่านกับเราก็ชอบพอรักใคร่กันมาช้านาน เห็นการสิ่งไรไม่ควรก็ชอบแต่ตักเตือนกันโดยดี นี่เหตุใดจึงได้มามัดเราไว้ให้ได้ความอัปยศดังนี้หาควรไม่……..”
เตียบุ๋นก็บอกว่า
“……….ข้อซึ่งเรามัดท่านไว้นั้น ด้วยเราเห็นว่าท่านเป็นคนใจเหี้ยมหาญดุร้ายนัก ครั้นจะตักเตือนท่านเมื่อเวลาเสพสุรา ถ้าท่านไม่เชื่อฟังข้าพเจ้า กลัวจะวิวาทกันขึ้น เต็กเชงเล่าก็มีฝีมือเข้มแข็งนัก ท่านก็ย่อมรู้อยู่ เปรียบเหมือนเสือสองตัวสู้กัน เต็กเชงก็เป็นญาติ ท่านก็เป็นสหาย จะให้เราช่วยผู้ใด ข้อซึ่งเรามัดท่านไว้ให้ได้ความอายนั้น เราขออภัยเสียเถิด…….”
เตียบุ๋นเห็นกิริยาเล่าเข่งเชื่อถือแล้ว ก็เข้าแก้มัดออกให้นั่งในที่สมควรแล้วก็เกลี้ยกล่อมว่า
“……ท่านจงไปราชการทัพกับเต็กเชงเสียในครั้งนี้เถิด จะได้มีชื่อเสียงกับเขาบ้าง ซึ่งท่านจะอยู่ทำราชการด้วยเบเองเหลง อันเป็นพวกพังหองซึ่งเป็นขุนนางกังฉินนั้น ความผิดก็จะมาเยี่ยมเยือนท่านอยู่เนือง ๆ……..”
เล่าเข่งก็ว่า
“………ซึ่งท่านชี้แจงให้ข้าพเจ้าเห็นความดังนี้ คุณของท่านหาที่สุดมิได้ แต่ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้าไปกับเต็กเชงในครั้งนี้นั้น ยังไม่ได้ก่อน ด้วยมารดาและบุตรภรรยาข้าพเจ้านั้น ยังอยู่ในอำนาจเบเองเหลง ถ้ารู้ว่าข้าพเจ้าไปกับเต็กเชงก็คงทำอันตรายมารดาบุตรภรรยาข้าพเจาเป็นมั่นคง อนึ่งเต็กเชงก็จะรีบร้อนไป ขอให้เต็กเชงไปก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะกลับไปเมืองทองก๋วน จัดแจงยักย้ายครอบครัวไปไว้เสียให้พ้นเมืองทองก๋วน แล้วข้าพเจ้าจึงจะตามเต็กเชงไปภายหลัง..”
เตียบุ๋นก็เห็นชอบด้วย เล่าเข่งจึงคำนับลากลับไป เต็กเชงก็ออกมาพูดกับเตียบุ๋นว่าตนได้สั่งให้ เตียตง หลีหงี ดูแลทหาร แต่ตนเองมาพบมารดากับญาติจึงได้ช้าอยู่จนสว่าง นายทหารทั้งสองก็จะวิตกเป็นอันมาก ขอให้เตียบุ๋นไปบอกให้ทราบความเสียสักหน่อย และบอกลักษณะว่า เตียตงนั้นหน้าแดง ส่วนหลีหงีนั้นหน้าดำ
เตียบุ๋นก็ออกจากบ้านเดินไปตามทาง ก็สวนกับนายทหารหน้าแดง รูปร่างคมสัน จึงถามว่าท่านชื่อเตียตงหรือ เตียตงก็สงสัยว่าเหตุใดจึงรู้จักชื่อตน เตียบุ๋นก็เล่าเรื่องเต็กเชงไปพบมารดาและพี่สาวที่บ้านของตน เตียตงก็ยินดีให้เตียบุ๋นกลับไปบ้าน ส่วนตนจะไปบอกหลีหงีเอง
เตียตงเดินตัดทางตรงไปตามหาหลีหงี ก็ไปพบชายพวกหนึ่งประมาณยี่สิบคน กำลังฉุดคร่าผู้หญิง จึงเข้าไปช่วยสู้รบแก้ไข พวกนั้นก็หนีไปสิ้นถูกเตียตงจับได้คนเดียวคือ ชิงหุน พรรคพวกของ ชิงชิว ไปฉุดเอาภรรยาของ เตียยี่ มา และจับเตียยี่ขังไว้ เตียตงก็บังคับให้ปล่อย เตียยี่เสีย แต่ กัวปา น้องของชิงหุนพาพรรคพวกมาช่วยรบเตียตง จนต้องถอยหนี
บังเอิญหลีหงีมาเจอก็เข้าช่วยเตียตง ฆ่ากัวปาตาย แล้วทั้งสองก็จะตามไปฆ่า ชิงหุนอีก เมื่อถึงบ้านชิงหุน ก็มีซินแสออกมาเกลี้ยกล่อมขอให้ยกโทษแก่ชิงหุน เตียตงกับหลีหงีจึงใจอ่อนยอมงดโทษไม่ฆ่าชิงหุน
แล้วทั้งสองนายก็ชวนกันตามไปพบเต็กเชงที่บ้านของเตียบุ๋น เล่าความที่ผ่านมาให้ฟังทุกประการ เต็กเชงก็ลามารดาพี่สาวและพี่เขย คุมเกวียนเสื้อเกราะเดินทางต่อไปได้วันหนึ่ง ก็เกิดมีลมพายุพัดกล้า และฝนตกหนัก จึงสั่งให้หยุดเกวียนไว้กลางทาง มอบให้เตียตงกับหลีหงีดูแลส่วนตนเองเดินไปหาทำเลที่พักพล ก็พบหลวงจีนอยู่ในวัดปออินยี่ เต็กเชงจะขออพยพกองทหารของตนเข้ามาพักในวัดสักสามวัน หลวงจีนก็ไม่ยอมแต่ให้เต็กเชงพักอยู่คนเดียว ตลอดคืนนั้น
ฝ่ายชิงหุนที่ไม่ถูกฆ่า ยังไม่สำนึกผิด กลับมีหนังสือไปถึง งูเกียน กับ งูกัง นายโจรที่เขาบัวพวนซัว ให้คุมพลไปแย่งชิงเอาเสื้อเกราะ เอาไปส่งให้ จันเทียนอ๋อง แม่ทัพเมืองไซหยงที่ยกมาตีเมืองซำก๋วนของ เอียจงเปา และตั้งค่ายอยู่ที่เขาไตลังซัว หน้าเมืองซุยเต๊กฮู ซึ่งเป็นเมืองด่านหน้า แต่ทหารฮวนไม่ได้ใช้เสื้อเกราะนั้น จันเทียนอ๋องจึงให้งูเกียนและงูกังรักษาไว้
เมื่อเต็กเชงลาหลวงจีนออกจากวัดปออินยีแล้ว ได้พบกับ เจียวเทงกุ้ย นายทหารเอกของเอียจงเปา รู้ว่าเสื้อเกราะถูกลักไป จึงติดตามไปแต่ผู้เดียวถึงเขาไตลังซัว ท้าให้จันเทียนอ๋อง ออกมาสู้รบกัน จันเทียนอ๋องกับ จือแฮไซ ก็ยกพลออกมารบ แต่เสียทีถูกเต็กเชงฆ่าตายทั้งสองคน เจียวเทงกุ้ยก็ตัดศรีษะแม่ทัพข้าศึกทั้งสอง เอาไปให้เอียจงเปาที่เมืองซุยเต๊กฮู
ครั้นเต็กเชงกลับไปถึงเมืองซุยเต๊กฮู เอียจงเปาก็ว่าเต็กเชงทำเสื้อเกราะหาย กับฆ่าแม่ทัพข้าศึกได้สองคน ความผิดกับความชอบหักกลบลบกัน พอดีทหารฮวนอีกสามนาย ยกพลมาจะแก้แค้นแทนจันเทียนอ๋อง ร้องท้าทายเต็กเชงอยู่หน้า เต็กเชงกับเจียวเทงกุ้ยก็ออกไปสู้รบด้วย เต็กเชงก็เอาหน้ากากที่เทพารักษ์ให้มาปิดหน้า ทหารเอกของข้าศึกก็หน้ามืดตกม้า ให้เจียวเทงกุ้ยตัดศรีษะได้ทั้งสามนาย
เอียจงเปาก็มีความยินดี ลงจากหอรบมาคอยรับเต็กเชงอยู่ที่หน้าเมือง ครั้นพากันเข้าไปในเมืองแล้ว ก็ให้เอาศรีษะของข้าศึกทั้งสามไปเสียบไว้หน้าเมือง เรียงกับสองนายที่ได้มาก่อน รวมเป็นห้าศรีษะ เอียจงเปาจึงพูดกับเต็กเชงว่า
“………ท่านกำจัดข้าศึกศัตรูได้ครั้งนี้ มีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก แต่เราทำศึกมาได้ยี่สิบปีเศษ ไม่เอาชัยชนะได้โดยง่ายเหมือนครั้งนี้เลย เรามีความละอายแก่ท่านนัก…..”
เต็กเชงก็ถ่อมตัวว่า
“……….ข้าพเจ้าเป็นคนอยู่ระหว่างโทษ ท่านเมตตามิได้ทำโทษข้าพเจ้า คุณหาที่สุดมิได้ ซึ่งข้าพเจ้าเอาชัยชนะข้าศึกได้โดยง่ายนั้น เพราะอำนาจท่านและบุญของพระเจ้าแผ่นดิน..”
แล้วเอียจงเปาก็สั่งให้จัดโต๊ะมาเลี้ยงฉลองชัยชนะเป็นที่สำราญ แต่เต็กเชงยังคิดจะไปเอาเสื้อเกราะคืน จึงขอทหารเอียจงเปาสองหมื่น ให้เตียตงกับหลีหงี คุมไปสู้รบกับงูเกียน และ งูกัง ที่เขาไตลังซัว เอาเสื้อเกราะคืนมาให้ได้
เตียตงกับหลีหงียกพลเดินทางมาถึงแม่น้ำเอียนจิวทอ ก็พบกับงูเกียนคุมพลสวนทางมา พอรู้ว่าเป็นงูเกียนเตียตงก็โกรธจะเข้าสู้รบ งูเกียนก็ร้องห้ามไว้แล้วว่า
“………ซึ่งข้าพเจ้าแย่งเอาเสื้อเกราะไปนั้น เพราะด้วยชิงหุนมีหนังสือมาให้ข้าพเจ้าทำ ข้าพเจ้าเป็นคนปราศจากปัญญาหาพิจารณาไม่ บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ตัวกลัวผิดจะถึงตัว จึงคุมเสื้อเกราะมาจะเอาไปให้เอียจงเปา ด้วยปรารถนาจะให้พ้นความผิด………”
เตียตงกับหลีหงียังสงสัยก็ซักถามเอาความจริง งูเกียนก็ว่าแยกทางกับงูกังแล้ว สมัครใจจะขอสามิภักดิ์กับเอียจงเปา และยอมสาบานให้ ทั้งสองนายทหารคนสนิทของเต็กเชงจึงยอมเชื่อ และพากันกลับมาหาเอียจงเปา เล่าเรื่องให้ฟังโดยตลอด เอียจงเปาก็มีความยินดี เอาเสื้อเกราะแจกทหาร แล้วให้เอาตัวงูเกียนไปประหารชีวิต งูเกียนก็ขออภัยโทษ