คนดีมีผู้คุ้มครอง ๒๐ ก.ย.๕๘

คนดีแผ่นดินซ้อง

ตอนที่ ๒ คนดีมีผู้คุ้มครอง

"เล่าเซี่ยงชุน “

ฝ่าย เต็กก๊วง พี่ชายของ นางเต็กเชยกิม ซึ่งคิดว่าน้องสาวตายแล้ว เมื่ออพยพมาอยู่ที่บ้านเดิมตำบลเซียวเอียงตี๋เมืองไซหอ และจัดการแต่งงานให้ นางเต็กกิมหลวน บุตรสาวคนโตกับ เตียบุ๋น แล้ว ก็อยู่กับ นางเม่งสี ภรรยาและ เต็กเชง บุตรชายคนเล็ก

ต่อมาอีกไม่นานก็ป่วยลง รักษาเท่าใดก็ไม่ทุเลา จึงให้คนใช้ไปตามบุตรสาวบุตรเขยมาหาแล้วบอกว่า บิดาป่วยครั้งนี้อาการหนักเห็นจะไม่รอดแล้ว เจ้าอยู่ภายหลังจงเลี้ยงดูกันให้จงดีเถิด และสั่งบุตรภรรยาว่า เราจะลาเจ้าทั้งปวงแล้ว จงอยู่ให้มีความสุขสบายเถิด แล้วก็ขาดใจตาย บุตรภรรยาก็ร้องไห้เศร้าโศกเป็นอันมาก เมื่อจัดการศพพอสมศักดิ์ขุนนางแล้ว นางเต็กกิมหลวนก็ไปอยู่กับสามีตามเดิม นางเม่งสีก็อยู่กับบุตรชายสองคนแม่ลูก

อยู่มาวันหนึ่งเกิดลมพายุพัดหนัก ฝนตกห่าใหญ่เกิดน้ำท่วมทั่วไปทั้งเมืองไซหอ และบ้านเอียวเซียงตี๋ ราษฎรจมน้ำตายเป็นอันมาก นางเม่งสีกับ        เต็กเชงบุตรชาย เห็นน้ำท่วมเรือน หาที่พักอาศัยมิได้ ก็เกาะขอนไม้ลอยไป แม่กับลูกก็พลัดกัน นางเม่งสีได้ขึ้นฝั่งไปพบกับเตียบุ๋น ผู้บุตรเขย จึงอาศัยอยู่ที่บ้านของบุตรสาวและบุตรเขย

ส่วนเต็กเชงนั้นเกาะขอนไม้ลอยไปถึงเขางอมิงซัว ซึ่งเป็นที่อยู่ของเฮงเซียนเล่าโจ๊ ผู้วิเศษรักษาศีลอยู่ เวลานั้นกำลังเดินออกมาเที่ยวเล่นชายเขา เห็นเด็กเกาะขอนไม้ถูกลมพายุซัดมาติดอยู่หน้าเขา และเด็กนั้นสลบอยู่ ก็อุ้มขึ้นมาเอายาให้กินครู่หนึ่งก็ฟื้นขึ้น เต็กเชงก็คุกเข่าลงคำนับแล้วว่า

“……ท่านช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ครั้งนี้ พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ ท่านแซ่ไรชื่อไร เขานี้ชื่อเขาอะไร ท่านเห็นมารดาข้าพเจ้าบ้างหรือไม่ ถ้ามารดาข้าพเจ้าตาย ข้าพเจ้าจะขอตายตามมารดาไป………”

เฮงเซียนเล่าโจ๊ก็บอกชื่อแซ่และนามเขากับบอกว่า

“……..มารดาเจ้านั้นหาตายไม่ มีผู้เอาไปเลี้ยงไว้อย่าวิตกเลย เจ้าจงอยู่กับเราเถิด เราจะสอนให้เรียนความรู้และวิชาต่าง ๆ ให้ชำนิชำนาญแล้ว จึงค่อยไปตามหามารดาเถิด…”

เต็กเชงก็บอกชื่อแซ่ของตน และอยู่ด้วยเฮงเซียนเล่าโจ๊ เล่าเรียนฝึกหัดเพลงอาวุธต่าง ๆ และตำรับพิชัยสงคราม อยู่ทุกวันมิขาด จนอายุได้สิบสี่ปี

ฝ่าย พระเจ้าซ้องจีนจงฮ่องเต้ ยกกองทัพไปรักษาเมืองทันจิวครั้งนั้นเป็นเวลานานหลายปี จึงตกลงเป็นไมตรีกัน และกองทัพฮวนก็ยกกลับไป ฮ่องเต้ก็ยกกองทัพกลับเมืองเปียนเหลียง เมื่อเสด็จถึงพระราชวัง ขุนนางข้าราชการก็กราบทูลว่า เมื่อฮ่องเต้ยกกองทัพไปช่วยราชการศึกเมืองทันจิวนั้น นางลีสินฮุย คลอดพระราชบุตรเป็นชาย อยู่ได้ประมาณสี่เดือนเศษ เวลากลางคืนเกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่ตำหนัก นางลีสินฮุยกับพระราชบุตรดับสูญเสียในเพลิง แล้วต่อมาโปยอ๋องก็สิ้นพระชนม์เสียด้วย

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็โทมนัสเสียพระทัยนัก จึงทรงพระดำริว่าโปยอ๋องก็ตายแล้ว ราชบุตรเราก็ไม่มี ตัวเราอายุก็ล่วงเข้าห้าสิบปีแล้ว ไม่เห็นใครเลยที่จะครองราชสมบัติรักษาแผ่นดินต่อไปได้ เห็นแต่ ชิวเอีย บุตรผู้ใหญ่ของโปยอ๋องคนหนึ่ง ควรจะรักษาแผ่นดินต่อไปได้ จึงรับสั่งให้หาชิวเอียกับ นางเต็กเชยกิม เข้ามา แล้วตั้งให้ชิวเอียเป็นที่ เกียเอียฮองไทจือ ตั้ง เตียเปีย บุตรคนรองของโปยอ๋องเป็นที่โลฮวยอ๋อง ตั้งนางเต็กเชยกิมเป็นที่เต็กไทเฮาราชมารดา แล้วทำการสมโภชต่าง ๆ กับโปรดให้ปล่อยคนโทษในคุกเสียสิ้น

ครั้นถึงปีจอเดือนสิบสอง พระเจ้าซ้องจีนจงฮ่องเต้มีพระชนม์ได้ห้าสิบปี อยู่ใน ราชสมบัติมายี่สิบห้าปี ก็ทรงพระประชวรหนัก เสด็จสวรรคตที่พระตำหนักเตียเก๋งเต๋ย ขุนนางเจ้าพนักงานก็จัดหีบไม้หอมมาใส่พระศพ มีการฉลองต่าง ๆ เสร็จแล้วเชิญพระศพไปฝังตามยศอย่างกษัตริย์ และขุนนางทั้งปวงก็ยกเกียเอียฮองไทจือ ซึ่งมีอายุประมาณเจ็ดปี ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ทรงพระนามว่า พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ทรงตั้ง นางเล่าฮองเฮา เป็นฮองไทเฮา ส่วนนางเต็กเชยกิม เป็นเต็กไทเฮาตามเดิม

ทางเมืองไซหยงซึ่งเป็นศัตรูกับเมืองเปียนเหลียงนั้น เมื่อทราบข่าวว่าพระเจ้าซ้องจีนจงสวรรคต และพระเจ้าซ้องยินจงซึ่งได้รับราชสมบัติ ก็ยังทรงพระเยาว์อยู่ จึงให้ จันเทียนอ๋องเป็นแม่ทัพยกพลสิบหมื่น ตีเมืองรายทางได้สามเมืองก็มาตั้งอยู่หน้าเมืองซุยเต๊กฮู ซึ่งเป็นด่านหน้าของเมืองซำก๋วนและเมืองซัวไซ

เอียจงเปา เจ้าเมืองยกทหารออกไปรบก็หาได้ชัยชนะแก่ข้าศึกไม่ จึงมีใบบอกเข้ามายังเมืองเปียนเหลียง เพื่อขอพระราชทานกองทัพออกไปช่วย และขอพระราชทานเสื้อเกราะสามสิบหมื่น เพราะจะเข้าเทศกาลฤดูหนาวแล้ว

พระเจ้าซ้องยินจงปรึกษากับขุนนางข้าราชการแล้ว ก็มีรับสั่งให้ ชิงชิว เป็นนายกองหัดทหารและฝึกซ้อมเพลงอาวุธเสียก่อน แล้วจึงยกทัพไปช่วยเมืองซุยเต็กฮู

เมื่อ เฮงเซียน เล่าโจ๊ ได้ทราบข่าวจึงบอกเต็กเชงว่า

“…….บัดนี้เมืองเปียนเหลียงเกิดทัพศึกสำคัญเข้มแข็งนัก ทหารในเมืองเปียน เหลียงก็น้อยตัวนัก เจ้าก็ได้เรียนวิชาความรู้และเพลงอาวุธได้ถึงเจ็ดปี รู้ชำนิชำนาญแล้ว การครั้งนี้เราพิเคราะห์เห็นว่า เจ้าควรจะไปทำราชการอาสาแผ่นดิน……”

เต็กเชงก็ว่า

“……..ซึ่งท่านได้สงเคราะห์ข้าพเจ้าให้พ้นจากความตายแล้ว ได้สั่งสอนวิชาและเพลงอาวุธต่าง ๆ ให้ข้าพเจ้านั้น พระคุณหาที่สุดมิได้ ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าไปเมืองเปียนเหลียงนั้น ข้าพเจ้าก็จะไปตามคำท่าน แต่จะขอไปเยี่ยมญาติและมารดาเสียก่อน แล้วจึงจะไปเมืองหลวงต่อภายหลัง……..”

เฮงเซียนเล่าโจ๊ก็ให้ไปเมืองหลวงก่อน คงจะได้พบญาติอันสนิท เต็กเชงก็รับว่าจะไปตามคำ อาจารย์ก็ให้อีแปะไปพอเป็นเสบียงซื้อกินตามทาง เต็กเชงก็คำนับลาอาจารย์ออกเดินทางตรงไปเมืองฮอหนำ

เต็กเชงพักอยู่ที่โรงสุราคืนหนึ่ง แล้วถามเจ้าของโรงว่า ทางไปเมืองเปียนเหลียง อีกสักกี่วันจึงจะถึง เจ้าของโรงบอกว่าอีกสี่ห้าวัน เต็กเชงก็เดินทางต่อไปจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำ หัวเอี่ยง พอถึงกลางสะพานถุงอีแปะก็ตกลงไปในน้ำ เต็กเชงเสียใจนักแลดูสายน้ำก็ไหลเชี่ยว และลึกเหลือกำลังที่จะดำลงไปงมถุงอีแปะได้ จึงลงนั่งกอดเข่าเป็นทุกข์อยู่ริมฝั่งน้ำ นึกว่าอีแปะก็ตกน้ำเสียสิ้นแล้ว แต่นี้ไปจะเอาอีแปะที่ไหนมาซื้อกิน จะไปพึ่งผู้ใดก็หารู้จักไม่ หมู่ญาติก็ไม่รู้ว่าอยู่แห่งใด ครั้งนี้เห็นจะอดตายเป็นมั่นคง

ยิ่งคิดไปก็เสียใจนัก จึงคิดว่าครั้งก่อนก็เจียนจะตายเสียด้วยน้ำ ครั้งนี้ถุงอีแปะก็พลัดตกน้ำ ตนเองเห็นจะตายด้วยน้ำเป็นมั่นคง จะอยู่ไปใยโจนน้ำตายเสียดีกว่า

เต็กเชงก็แหงนหน้าขึ้นบนอากาศ คำนับเทพยดาและไหว้บิดามารดาว่า ข้าพเจ้าจะขอลาตายแล้ว คนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมา เห็นเต็กเชงกระทำอาการดังนั้น ก็สำคัญว่าเป็นคนเสียจริต

ขณะนั้นมีผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้แล้วถามว่า เจ้ามาแต่ไหนเหตุใดมาทำอาการดังนี้ เต็กเชงก็เล่าให้ผู้เฒ่าฟังตั้งแต่ลาอาจารย์จะไปเยี่ยมญาติ จนถุงอีแปะตกน้ำจึงคิดฆ่าตัวตาย

ผู้เฒ่าจึงว่าตัวเจ้ายังหนุ่มนักซึ่งจะคิดสั้นดังนี้ไม่ควร จงไปที่วัดเซงก๊กยี่เถิด วัดนั้นจิวซัวขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง เป็นคนซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน มีความเมตตาแก่ราษฎร ได้เรี่ยรายเงินสร้างไว้ตั้งแต่ครั้งแผ่นดินเลียดก๊ก เจ้าจงไปทอดไม้เสี่ยงทายดูเถิด จะรู้ว่าร้ายดี

เต็กเชงก็เห็นชอบด้วย จึงคำนับลาผู้เฒ่าไปถึงวัด แล้วก็ทอดไม้เสี่ยงทาย เอาไปให้หลวงจีนแปลคำโคลงให้ฟัง ก็ได้ความว่า

ข้อหนึ่งว่าไม้แก่ไม่มีดอกมาช้านาน บัดนี้มีกิ่งก้านออกมานั้น คือได้แก่ท่านไม่ได้พบญาติมาช้านาน บัดนี้จะได้พบกัน

ข้อสองว่าพระจันทร์กลมแล้วกลับแหว่ง แหว่งแล้วกับกลมนั้น คือท่านจะได้พบญาติต่อกลางเดือนหน้า

เต็กเชงก็มีความยินดีจะคำนับลาหลวงจีนไป แต่หลวงจีนจะเอาเงินค่าแปลคำโคลง เต็กเชงไม่มีเงินติดตัว จึงขอผลัดไปเวลาอื่น แต่หลวงจีนไม่ยอมจะเอาเสื้อกางเกงไว้เป็นจำนำ จนทุ่มเถียงวิวาทกันขึ้น หลวงจีนสู้ไม่ได้เต็กเชงก็กดคอไว้ พอดีมีชายสองคนเข้ามาห้าม และถามว่ามีเหตุประการใด

เต็กเชงก็เล่าเรื่องราวให้ฟังทุกประการ ชายสองคนนั้นก็บอกให้เต็กเชงปล่อยหลวงจีนเสีย ตนจะใช้เงินให้หลวงจีนเอง

เมื่อเต็กเชงปล่อยหลวงจีนแล้ว ชายนั้นก็เอาเงินให้หลวงจีนห้าตำลึง เต็กเชงก็ถามชื่อแซ่ ทั้งสองก็บอกว่าคนหนึ่งเป็นชาวเมืองยูซื้อกุ้ย แซ่เตียชื่อตง อีกคนหนึ่งเป็นชาวเมืองซุนเทียนฮู แซ่หลีชื่อหงี ได้สาบานเป็นพี่น้องกัน แล้วเตียตงก็ถามชื่อแซ่ของเต็กเชงบ้าง เต็กเชงก็บอกชื่อให้ เตียตงก็ถามว่า

“………ที่เมืองไซหอมีขุนนางคนหนึ่งชื่อเต็กก๊วง เป็นคนมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ประกอบด้วยความเมตตาราษฎร ชาวเมืองพากันสรรญเสริญมิได้ขาด เต็กก๊วงนั้นวงศ์ญาติของท่านด้วยหรือไม่……..”

เต็กเชงก็บอกว่าเป็นบิดาของตนเอง เตียตง กับ หลีหงี ก็คุกเข่าลงคำนับ แล้วเชิญไปที่บ้านจะได้สนทนากันตามสบาย เต็กเชงก็ยอมไปด้วย จนถึงบ้านของ จิวเซง พรรคพวกของเตียตง หลีหงีก็เชิญเต็กเชงเข้าไปในบ้าน ให้นั่งในที่สมควรแล้วก็ไต่ถามถึงเรื่องราวของเต็กเชง ว่าจะไปเมืองหลวงด้วยกิจธุระอันใด

เต็กเชงก็เล่าความตั้งแต่ลอยตามน้ำไปอยู่กับเฮงเซียนเล่าโจ๊ได้เรียนพิชัยสงครามและหัดเพลงอาวุธต่าง ๆ บัดนี้จะไปสืบหาวงศ์ญาติที่เมืองหลวง เตียตงกับ หลีหงี ก็ขอสาบานเป็นพี่น้องกัน เต็กเชงก็ว่า

“……..ข้าพเจ้าเป็นคนอนาถาไร้ญาติ ท่านได้สงเคราะห์ข้าพเจ้ามีบุญคุณอยู่เป็นอันมาก บัดนี้จะมาสาบานเป็นพี่น้องกับข้าพเจ้า เห็นเหลือกำลังนัก…..”

ทั้งสองก็ว่าท่านเป็นถึงบุตรขุนนาง ไม่ควรที่จะพูดจาถ่อมตัวเลย เต็กเชงก็ว่าเมื่อไม่รังเกียจว่ายากจนแล้วก็ตามใจเถิด ทั้งสองก็จัดของคำนับเทพยดา ออกวาจาสาบานเป็นพี่น้องกันสืบไป เมื่อหน้าผู้ใดมีทุกข์สุขก็จะไม่ทิ้งกัน แล้วก็ให้เต็กเชงเป็นพี่ใหญ่ เตียตงเป็นที่สอง หลีหงีเป็นที่สาม แล้วก็จัดโต๊ะเลี้ยงกันตามสมควร เตียตงก็ให้เต็กเชงพักอยู่กับจิวเซงและว่าถ้าเต็กเชงจะต้องการข้าวของเงินทองเท่าใด อย่าได้ขัดขืน เต็กเชงก็พำนักอยู่ที่บ้านของจิวเซงเป็นสุขสบาย

ต่อมาเมื่อเต็กเชงจะเดินทางไปเมืองหลวงทั้งสองนายก็ยินดีไปด้วย และจะช่วยสืบหาวงศ์ญาติให้เพราะเคยไปเมืองหลวงมาแล้ว เต็กเชงก็ยินดี ทั้งสามนายก็ออกจากบ้านจิวเซง เดินไปตามถนนหลวง ถึงศาลเจ้ากวนฮองเบี้ยก็หยุดพัก เต็กเชงอยากจะรู้ว่าเตียตงกับหลีหงีจะมีกำลังมากน้อยสักเพียงใด จึงให้ทดลองยกสิงโตศิลาในศาลนั้น เตียตงยกเดินไปได้แปดก้าวก็วางลงและว่ามีกำลังแต่เพียงนี้

หลีหงีก็เข้าไปยกสิงโตขึ้นเดินเวียนได้สามรอบศาล เต็กเชงก็เข้ายกสิงโตขึ้น แล้วเดินเวียนได้หลายรอบจึงวางลงที่เก่าตามเดิม สีหน้ามิได้มีผิดปกติทั้งสองจึงว่า รูปร่างท่านบอบบางไม่รู้เลยว่าจะมีกำลังถึงเพียงนี้ แล้วทั้งสามคนก็หยิบง้าวในศาลเจ้า มารำเล่นหลายเพลง แล้วก็เดินทางต่อไป

จนถึงโรงสุราแห่งหนึ่งก็ชวนกันเข้าไปที่ตึกนั้น เจ้าของตึกก็เชิญให้นั่งในที่อันสมควร เตียตงแลไปเห็นเก๋งสูงจัดงดงาม มีกระถางต้นไม้ต่าง ๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลบไป จึงบอกกับคนขายสุราให้จัดโต๊ะบนเหลาสูงนั้นให้โต๊ะหนึ่ง ผู้ขายสุราก็ห้ามไม่ให้ขึ้นไป บอกว่าเป็นเก๋งของ ฮูลุน ผู้บุตร ฮูคุน ขุนนางผู้ใหญ่ทำไว้สำหรับประชุมเพื่อนฝูง เวลาเลี้ยงกัน เก๋งนี้มีชื่อว่า บ้วนฮ่วยเหลา

###########

นิตยสารโล่เงิน
พฤษภาคม ๒๕๔๖
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่