คนดีแผ่นดินซ้อง
ตอนที่ ๕ พบญาติ
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ฝ่าย ลีกีเอ๋ง ซึ่ง พังหอง ใช้ให้มาฆ่า เต็กเชง นั้น เดิมเป็นบ่าวของ เต็กก๊วง บิดาของเต็กเชง เมื่อจัดโต๊ะเลี้ยงและเชิญให้เต็กเชงนั่งกินแล้ว เห็นไม่มีผู้คนก็ถอนใจใหญ่ถามว่าท่านจำข้าพเจ้าไม่ได้หรือ เวลาค่ำวันนี้ภัยจะมาถึงตัว เต็กเชงนั้นจากบิดาไปตั้งอายุเพียงเจ็ดขวบ จึงว่า ตนจำไม่ได้ซึ่งท่านว่าภัยจะมาถึงตัวนั้นด้วยเหตุใด ลีกีเอ๋งก็คุกเข่าลงคำนับ แล้วบอกว่า
“……..เดิมข้าพเจ้าเป็นบ่าวของบิดาท่าน วันนี้พังหองซึ่งเป็นพ่อตาของชิงชิว จะเอาไฟเผาท่านเสีย ข้าพเจ้าจึงได้รับอาสามาแต่ผู้เดียว ปรารถนาจะมาแจ้งความให้ท่านทราบ….”
เต็กเชงก็ว่า
“…….ถ้าท่านไม่คิดอุบายรับอาสามาแจ้งเหตุแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็คงตายในไฟเป็นแน่ บุญคุณของท่านครั้งนี้หาที่เปรียบไม่ ข้าพเจ้าจะไปฆ่าพังหองเสีย ท่านจะเห็นประการใด..”
ลีกีเอ๋งจึงว่า
“……..ท่านจะไปฆ่าพังหองในเวลานี้ไม่ได้ ผู้คนก็มากแล้วเป็นเวลากลางคืน ประตูบ้านก็ใส่กุญแจ กำแพงก็สูงนักจะหนีไปข้างไหนได้…….”
เต็กเชงจึงว่าถ้ากระนั้นจะทำประการใดดี ลีกีเอ๋งก็บอกว่า
“……ที่ริมกำแพงมีต้นไม่อยู่ต้นหนึ่ง ท่านจงปีนต้นไม้ขึ้นไปแล้วข้ามกำแพงไปบ้านซึ่งติดกันข้างโน้นเถิด บ้านนั้นมิใช่พวกพังหอง ทางอื่นก็ไปไม่ได้…….”
พูดดังนั้นแล้วก็พาเต็กเชงไปถึงต้นไม้ ส่งให้เต็กเชงขึ้นต้นไม้ข้ามกำแพงไปยังต้นไม้อีกต้นหนึ่งที่อยู่ชิดกันของบ้านนั้น ก็พอดีเจ้าของบ้านกำลังออกมาจุดธูปเทียนบูชาพระจันทร์ แล้วอธิษฐานว่า
“…..ขอให้เทพยดาและพระจันทร์พระอาทิตย์ จงช่วยให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขเถิด ด้วยบัดนี้ในเมืองหลวงก็มีขุนนางกังฉินอยู่หลายคน แล้วก็มีข้าศึกมารบกวนอยู่ หามีผู้ใดจะปราบปรามไม่ ขอเทพยดาจงช่วยบำรุงรักษาด้วย…….”
เต็กเชงได้ยินดังนั้น ก็โดดลงจากต้นไม้เข้าไปคุกเข่าคำนับ แล้วเล่าความตามที่พบ เจงซันอ๋อง ให้กระบี่อาญาสิทธิ์ไปฆ่าชิงชิว แต่ไม่สำเร็จกลับหลงเข้ามาในบ้านพังหอง จนเกือบจะถูกพังหองฆ่า ให้ฟังทุกประการ เจ้าของบ้านก็ถามชื่อแซ่ เต็กเชงก็บอกให้และว่า
“…….ปู่ข้าพเจ้าชื่อหงวนเป็นขุนนางนายทหาร บิดาข้าพเจ้าซื่อก๊วงเป็นขุนนางฝ่ายบู๊…….”
เจ้าของบ้านชื่อ ฮันขี ก็บอกว่า
“…….บิดาเจ้ากับเราได้สาบานเป็นพี่น้องกัน ตั้งแต่บิดาเจ้าไปอยู่เมืองซัวไซแล้วก็หาได้พบปะกันไม่ จนบิดาเจ้าลาออกนอกราชการกลับไปอยู่บ้านเดิม จะเป็นตายประการใดเราก็หาทราบไม่ จนมีบุตรเติบใหญ่ได้มาพบปะกัน แต่นี้สืบไปเจ้าเรียกเราว่าอาเถิดหาใช่คนอื่นไม่…..”
แล้วฮันขีก็เอาเต็กเชงซ่อนไว้ในบ้าน
ส่วนลีกีเอ๋งนั้น เมื่อส่งเต็กเชงไปแล้วก็แจ้งความกับพังหองว่า เต็กเชงเสพสุราเมาหารู้สึกตัวไม่ จึงขอกระบี่จะรีบไปฆ่าเสียโดยเร็ว พังหองก็ยินดีไปหยิบเอากระบี่อย่างดีมาส่งให้ ลีกีเอ๋งรับกระบี่มาแล้ว ก็รีบไปรวบรวมทรัพย์สิ่งของ ๆ ตนจะหนีออกจากบ้าน จึงแอบไปเอาโคมที่สำรับจุดนำพังหอง แล้วเดินไปทางประตูหน้าบ้าน อ้างว่าพังหองใช้ให้ไปบ้านชิงชิว นายประตูก็เปิดให้ผ่านไปโดยดี
ครั้นรุ่งเช้าพังหองคอยฟังข่าวจากลีกีเอ๋ง ก็ไม่เห็นมาแจ้งเรื่อง ใช้ให้คนไปตามก็ไม่พบ คนใช้กลับมาบอกว่า ทั้งเต็กเชงและลีกีเอ๋งได้หนีไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว พังหองจึงรู้ว่าลีกีเอ๋งได้ช่วยให้เต็กเชงหนีไปแล้ว กลัวความผิดจึงหนีไปบ้าง แล้วสั่งให้ทหารสี่สิบคนแยกย้ายกันไปตามตัวเต็กเชงกับลีกีเอ๋งให้ได้ จะให้รางวัล ทหารทั้งหมดก็แยกกันไปทางละสองคน
แล้ว พังหองก็เดินตรวจดูรอบบ้าน เห็นต้นไม้ริมกำแพงบ้านติดกับบ้านของฮันขี มีรอยเหนี่ยวเข้าหากัน ก็รู้ว่าเต็กเชงหนีเข้าไปในบ้านฮันขี จึงให้ทหารสามพันล้อมบ้านฮันขีไว้ ชิงชิว ได้ข่าวก็ส่งทหารมาช่วยอีกสามร้อย
เต็กเชงเห็นทหารของพังหองมาล้อมบ้านฮันขี ก็ว่า
“……พังหองชิงชิวให้ทหารมาล้อมบ้านท่านไว้ทั้งนี้ ข้าพเจ้าจะขอออกสู้รบแต่ผู้เดียว จะฆ่าพังหองชิงชิวเสียให้จงได้……..”
ฮันขีก็ท้วงว่า
“……..เจ้าจะไปฆ่าพังหองชิงชิวเสียนั้น มิใช่จะฆ่าได้ง่าย ๆ เขาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ พระเจ้าแผ่นดินชุบเลี้ยงเขา เจ้าจะทำดังนั้นไม่ได้อาจะเอาเจ้าซ่อนไว้ ฟังดูพังหองจะว่าประการใด”
ที่บ้านของฮันขีนี้พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้เจ้าพนักงานปลูกเป็นเก๋งสูงสำหรับให้ฮันขีดูหนังสือ มีป้ายชื่อว่างีจิวเหลา และห้ามมิให้ผู้ใดขึ้นไปบนเก๋งจะมีโทษ ฮันขีจึงให้เต็กเชงขึ้นไปอยู่บนเก๋งนั้น แล้วให้คนใช้เปิดประตูให้พังหองเข้ามา เชิญให้นั่งในที่อันสมควร และถามว่าท่านเอาทหารมาล้อมบ้านไว้ด้วยเหตุประการใด พังหองก็บอกว่า
“…….ท่านอย่าถือโทษข้าพเจ้าเลย เวลาคืนนี้มีผู้ร้ายคนหนึ่งชื่อเต็กเชง หนีข้าพเจ้ามาอยู่ในบ้านท่าน ท่านเห็นบ้างหรือไม่……..”
ฮันขีก็บอกว่าไม่เห็น แต่ก็อนุญาตให้ทหารของพังหอง เข้าตรวจค้นในบ้านจนทั่ว ก็ไม่พบ ฮันขีจึงแกล้งบอกว่าเต็กเชงเห็นจะขึ้นไปอยู่บนเก๋งงีจิวเหลาดอกกระมัง จงขึ้นไปค้นดูเถิด พังหองก็มิได้ตอบโต้แต่ประการใด และคำนับลาออกไปจากบ้านฮันขี แต่ให้ทหารเฝ้าอยู่นอกบ้าน
ฝ่ายลีกีเอ๋งเมื่อออกจากเมืองหลวงแล้ว เดินไปตามทางพบโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก็เข้าไปซื้ออาหารกิน พอดีทหารของพังหองสองคน ชื่อ พังฮี กับ พังเฮง ตามมาทันจึงเข้าไปจะจับตัว ลีกีเอ๋งไม่ยอมให้จับ เกิดสู้รบกันขึ้น ทหารทั้งสองนายสู้ลีกีเอ๋งไม่ได้ ก็ขอยอมแพ้และจัดโต๊ะมากินเลี้ยงเสพสุราสนทนากัน ทั้งสองถามว่าลีกีเอ๋งจะไปทางไหน ลีกีเอ๋งก็ว่า
“……..เราจะไปเมืองไซซัว ซึ่งท่านทั้งสองจะกลับไปอยู่กับพังหองต่อไปก็ไม่มีความสุข ด้วยพังหองเป็นคนกังฉิน เที่ยวข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน นานไปก็คงต้องราชภัยเป็นอันแน่ ท่านทั้งสองจงไปอยู่ด้วยเราเถิด ต่อไปภายหน้าถ้าเห็นผู้ใดอยู่ในสัจธรรม จึงเข้าฝากตัวด้วยผู้นั้น……”
ทั้งสองนายก็เห็นชอบด้วย แต่ผลัดว่าจะกลับไปเอาเงินทองมาเป็นเสบียงเดินทาง ลีกีเอ๋งก็บอกว่าตนเองมีเงินทองติดมาพอเลี้ยงดูกันได้ ไปด้วยกันเลยจะดีกว่า ทั้งสองก็ยอมตาม ลีกีเอ๋งจึงจ่ายเงินให้เจ้าของโรงเตี๊ยม แล้วก็เดินทางต่อไปยังเมืองไซซัว พอถึงเขาเทียนไกซัวก็เจอกองโจรที่ เตียตง กับ หลีหงี เป็นใหญ่อยู่ก่อน แต่ทั้งสองนายตามเต็กเชงไปในเมืองหลวง และติดตะรางอยู่ที่บ้าน เปาบุ้นจิ้น จึงไม่มีหัวหน้าควบคุม
ครั้นออกมาปล้นลีกีเอ๋งกับพวกอีกสองคน ก็สู้ไม่ได้ จึงยอมแพ้และยกให้ลีกีเอ๋งเป็นไต้อ๋อง ลีกีเอ๋งปรึกษากับพวกแล้วเห็นว่า ต่างก็ไม่มีที่จะไปจึงยอมรับเป็นผู้ปกครองกลุ่มโจร อยู่ที่เขาเทียนไกซัวจนกว่าจะมีหนทางต่อไป
ฝ่าย นางเต็กไทเฮา มารดาของ โลฮวยอ๋อง อยู่ที่วังนำเชงเก๋ง วันหนึ่ง โลฮวยอ๋องพาภรรยาไปเยี่ยมมารดาเห็นไม่สบายเหมือนแต่ก่อน จึงถามว่ามีเหตุการณ์สิ่งใดหรือ นางเต็กไทเฮาก็ว่าเมื่อคืนนี้ฝันไม่ดีจึงไม่มีความสบายใจ โลฮวยอ๋องก็ให้คนใช้ไปเชิญเปาบุ้นจิ้นกับฮันขี มาเล่าความฝันของมารดา และให้ช่วยทำนายฝันให้
เปาบุ้นจิ้นก็ว่า อันว่าความฝันนั้นจะดีร้ายประการใดตนหาทราบไม่ จงถามฮันขีดูเถิด ฮันขีก็บอกว่าฝันนี้ดีนักจะได้พบญาติในวันเพ็ญนี้ โลฮวยอ๋องก็นำไปเล่าให้มารดาฟัง นางก็บอกว่า
“…….แต่มารดามาอยู่ที่นี่ก็ช้านานแล้ว หาได้ยินข่าวว่าลูกหลานที่ไหนจะมาไม่ เจ้าอย่าเพ่อให้ฮันขีกลับไปบ้านก่อน ให้คอยอยู่จนวันขึ้นสิบห้าค่ำ พระจันทร์เต็มดวงก่อน……”
ฮันขีจึงต้องค้างอยู่ในวังนำเชงเก๋งนั้น พอดีคนใช้ของโลฮวยอ๋อง มาแจ้งว่ามีสัตว์ร้ายมาอยู่ในสระน้ำ คอยจะขบกัดคน โลฮวยอ๋องก็ปรึกษาฮันขีว่าจะทำประการใดดี ฮันขีก็แจ้งว่า
“.ข้าพเจ้าเห็นมีชายคนหนึ่ง มีกำลังและฝีมือเข้มแข็งนัก อาจกำจัดสัตว์ร้ายนี้ได้..”
และเล่าว่าชายผู้นั้นหนีพังหองมาอยู่ที่บ้าน ตนจึงเอาไปซ่อนไว้บนเก๋งงีจิวเหลา พังหองก็ให้ทหารล้อมบ้านไว้ คอยจับตัวจนบัดนี้ โลฮวยอ๋องจึงให้ทหารถืออาญาสิทธิ์ ไปไล่ทหารของพังหองให้กลับไปเสีย แล้วนำตัวเต็กเชงมาคำนับโลฮวยอ๋อง เต็กเชงก็อาสาปราบปรามสัตว์ร้ายนั้นได้เรียบร้อย โลฮวยอ๋องจึงพาเต็กเชงไปคำนับนางเต็กไทเฮาข้างใน
นางเต็กไทเฮาถามชื่อเต็กเชงแล้วก็คิดถึงเต็กก๊วงพี่ชาย ซึ่งไม่ทราบข่าวคราวมาเป็นเวลาช้านาน จึงถามถึงชื่อแซ่บิดาและปู่ เต็กเชงก็บอกให้ทราบตามจริง นางเต็กไทเฮาก็ถามว่า ในเมืองหลวงนี้น้าอาเจ้ามีบ้างหรือไม่ เต็กเชงก็ตอบว่า
“……..บิดาข้าพเจ้าบอกว่า มีอาอยู่คนหนึ่งชื่อนางเต็กเชยกิม มีรับสั่งพระเจ้าซ้องจีนจงฮ่องเต้มาเก็บไป แล้วมีผู้มาบอกกับบิดาข้าพเจ้าว่า อานั้นตายเสียแล้ว ความจะเท็จจริงประการใดข้าพเจ้าหาทราบไม่………”
นางเต็กไทเฮาจึงถามว่า เจ้าเป็นบุตรเต็กก๊วงมีของสำคัญสิ่งไรติดตัวมาบ้างหรือไม่ เต็กเชงก็บอกว่า
“……..เมื่อบิดาของข้าพเจ้าตายนั้น มารดาของข้าพเจ้าเอานกหยกผูกให้ข้าพเจ้านกหนึ่งชื่อฮวนเอีย แล้วมารดาบอกข้าพเจ้าว่า นกหยกนี้มีคู่หนึ่ง อยู่ที่นางเต็กเชยกิมผู้อาข้าพเจ้านั้นนกหนึ่ง บัดนี้นกนั้นข้าพเจ้าได้ติดตัวมาด้วย…….”
แล้วก็ส่งนกให้นางเต็กไทเฮาดู นางเต็กไทเฮารับมาแล้วก็ให้คนใช้ไปเอานกของนางมาเปรียบเทียบกันดู ก็มีรูปร่างอย่างเดียวกัน นางจำสำคัญได้ถนัดแล้วก็ร้องไห้ ว่าเจ้านี้เป็นหลานของเรา เรานี่แหละชื่อนางเต็กเชยกิม แต่อามาจากบิดาเจ้าก็ช้านานแล้ว หาได้ข่าวดีร้ายประการใดไม่ จนเจ้าเติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว เป็นบุญของเราหนักหนา
โลฮวยอ๋องได้แจ้งว่าเต็กเชงมิใช่ผู้อื่น เป็นผู้พี่ก็ดีใจ จึงให้คนใช้ไปจัดเสื้อและกางเกงของตน มาให้เต็กเชงผลัดใหม่ แล้วก็จัดโต๊ะมาเลี้ยงดูทั้งสามคนก็เสพสุรากินเลี้ยงกันกันด้วยความยินดี นางเต็กไทเฮาแหงนหน้าขึ้นดูบนอากาศเห็นพระจันทร์เต็มดวงบริบูรณ์ ก็รำลึกขึ้นได้ถึงฮันขีทำนายฝัน ก็สมดังคำทำนายทุกประการ
จึงให้โลฮวยอ๋องนำความกราบทูลฮ่องเต้ ให้เลื่อนตำแหน่งให้มียศยิ่งขึ้นไป และให้จัดที่อยู่ให้เต็กเชงพักอย่างสบาย และเอาใจใส่เป็นธุระทุกอย่าง โลฮวยอ๋องก็จัดห้องที่สำหรับดูหนังสือให้เต็กเชงพักอาศัย
เต็กเชงก็พ้นจากความยากลำบาก ได้พบญาติผู้เป็นใหญ่แล้ว จะประพฤติตนดีชั่วอย่างไร ก็คงจะต้องติดตามกันต่อไป.
##########
นิตยสารโล่เงิน
มิถุนายน ๒๕๔๖
พบญาติ ๒๓ ก.ย.๕๘
ตอนที่ ๕ พบญาติ
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ฝ่าย ลีกีเอ๋ง ซึ่ง พังหอง ใช้ให้มาฆ่า เต็กเชง นั้น เดิมเป็นบ่าวของ เต็กก๊วง บิดาของเต็กเชง เมื่อจัดโต๊ะเลี้ยงและเชิญให้เต็กเชงนั่งกินแล้ว เห็นไม่มีผู้คนก็ถอนใจใหญ่ถามว่าท่านจำข้าพเจ้าไม่ได้หรือ เวลาค่ำวันนี้ภัยจะมาถึงตัว เต็กเชงนั้นจากบิดาไปตั้งอายุเพียงเจ็ดขวบ จึงว่า ตนจำไม่ได้ซึ่งท่านว่าภัยจะมาถึงตัวนั้นด้วยเหตุใด ลีกีเอ๋งก็คุกเข่าลงคำนับ แล้วบอกว่า
“……..เดิมข้าพเจ้าเป็นบ่าวของบิดาท่าน วันนี้พังหองซึ่งเป็นพ่อตาของชิงชิว จะเอาไฟเผาท่านเสีย ข้าพเจ้าจึงได้รับอาสามาแต่ผู้เดียว ปรารถนาจะมาแจ้งความให้ท่านทราบ….”
เต็กเชงก็ว่า
“…….ถ้าท่านไม่คิดอุบายรับอาสามาแจ้งเหตุแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็คงตายในไฟเป็นแน่ บุญคุณของท่านครั้งนี้หาที่เปรียบไม่ ข้าพเจ้าจะไปฆ่าพังหองเสีย ท่านจะเห็นประการใด..”
ลีกีเอ๋งจึงว่า
“……..ท่านจะไปฆ่าพังหองในเวลานี้ไม่ได้ ผู้คนก็มากแล้วเป็นเวลากลางคืน ประตูบ้านก็ใส่กุญแจ กำแพงก็สูงนักจะหนีไปข้างไหนได้…….”
เต็กเชงจึงว่าถ้ากระนั้นจะทำประการใดดี ลีกีเอ๋งก็บอกว่า
“……ที่ริมกำแพงมีต้นไม่อยู่ต้นหนึ่ง ท่านจงปีนต้นไม้ขึ้นไปแล้วข้ามกำแพงไปบ้านซึ่งติดกันข้างโน้นเถิด บ้านนั้นมิใช่พวกพังหอง ทางอื่นก็ไปไม่ได้…….”
พูดดังนั้นแล้วก็พาเต็กเชงไปถึงต้นไม้ ส่งให้เต็กเชงขึ้นต้นไม้ข้ามกำแพงไปยังต้นไม้อีกต้นหนึ่งที่อยู่ชิดกันของบ้านนั้น ก็พอดีเจ้าของบ้านกำลังออกมาจุดธูปเทียนบูชาพระจันทร์ แล้วอธิษฐานว่า
“…..ขอให้เทพยดาและพระจันทร์พระอาทิตย์ จงช่วยให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขเถิด ด้วยบัดนี้ในเมืองหลวงก็มีขุนนางกังฉินอยู่หลายคน แล้วก็มีข้าศึกมารบกวนอยู่ หามีผู้ใดจะปราบปรามไม่ ขอเทพยดาจงช่วยบำรุงรักษาด้วย…….”
เต็กเชงได้ยินดังนั้น ก็โดดลงจากต้นไม้เข้าไปคุกเข่าคำนับ แล้วเล่าความตามที่พบ เจงซันอ๋อง ให้กระบี่อาญาสิทธิ์ไปฆ่าชิงชิว แต่ไม่สำเร็จกลับหลงเข้ามาในบ้านพังหอง จนเกือบจะถูกพังหองฆ่า ให้ฟังทุกประการ เจ้าของบ้านก็ถามชื่อแซ่ เต็กเชงก็บอกให้และว่า
“…….ปู่ข้าพเจ้าชื่อหงวนเป็นขุนนางนายทหาร บิดาข้าพเจ้าซื่อก๊วงเป็นขุนนางฝ่ายบู๊…….”
เจ้าของบ้านชื่อ ฮันขี ก็บอกว่า
“…….บิดาเจ้ากับเราได้สาบานเป็นพี่น้องกัน ตั้งแต่บิดาเจ้าไปอยู่เมืองซัวไซแล้วก็หาได้พบปะกันไม่ จนบิดาเจ้าลาออกนอกราชการกลับไปอยู่บ้านเดิม จะเป็นตายประการใดเราก็หาทราบไม่ จนมีบุตรเติบใหญ่ได้มาพบปะกัน แต่นี้สืบไปเจ้าเรียกเราว่าอาเถิดหาใช่คนอื่นไม่…..”
แล้วฮันขีก็เอาเต็กเชงซ่อนไว้ในบ้าน
ส่วนลีกีเอ๋งนั้น เมื่อส่งเต็กเชงไปแล้วก็แจ้งความกับพังหองว่า เต็กเชงเสพสุราเมาหารู้สึกตัวไม่ จึงขอกระบี่จะรีบไปฆ่าเสียโดยเร็ว พังหองก็ยินดีไปหยิบเอากระบี่อย่างดีมาส่งให้ ลีกีเอ๋งรับกระบี่มาแล้ว ก็รีบไปรวบรวมทรัพย์สิ่งของ ๆ ตนจะหนีออกจากบ้าน จึงแอบไปเอาโคมที่สำรับจุดนำพังหอง แล้วเดินไปทางประตูหน้าบ้าน อ้างว่าพังหองใช้ให้ไปบ้านชิงชิว นายประตูก็เปิดให้ผ่านไปโดยดี
ครั้นรุ่งเช้าพังหองคอยฟังข่าวจากลีกีเอ๋ง ก็ไม่เห็นมาแจ้งเรื่อง ใช้ให้คนไปตามก็ไม่พบ คนใช้กลับมาบอกว่า ทั้งเต็กเชงและลีกีเอ๋งได้หนีไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว พังหองจึงรู้ว่าลีกีเอ๋งได้ช่วยให้เต็กเชงหนีไปแล้ว กลัวความผิดจึงหนีไปบ้าง แล้วสั่งให้ทหารสี่สิบคนแยกย้ายกันไปตามตัวเต็กเชงกับลีกีเอ๋งให้ได้ จะให้รางวัล ทหารทั้งหมดก็แยกกันไปทางละสองคน
แล้ว พังหองก็เดินตรวจดูรอบบ้าน เห็นต้นไม้ริมกำแพงบ้านติดกับบ้านของฮันขี มีรอยเหนี่ยวเข้าหากัน ก็รู้ว่าเต็กเชงหนีเข้าไปในบ้านฮันขี จึงให้ทหารสามพันล้อมบ้านฮันขีไว้ ชิงชิว ได้ข่าวก็ส่งทหารมาช่วยอีกสามร้อย
เต็กเชงเห็นทหารของพังหองมาล้อมบ้านฮันขี ก็ว่า
“……พังหองชิงชิวให้ทหารมาล้อมบ้านท่านไว้ทั้งนี้ ข้าพเจ้าจะขอออกสู้รบแต่ผู้เดียว จะฆ่าพังหองชิงชิวเสียให้จงได้……..”
ฮันขีก็ท้วงว่า
“……..เจ้าจะไปฆ่าพังหองชิงชิวเสียนั้น มิใช่จะฆ่าได้ง่าย ๆ เขาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ พระเจ้าแผ่นดินชุบเลี้ยงเขา เจ้าจะทำดังนั้นไม่ได้อาจะเอาเจ้าซ่อนไว้ ฟังดูพังหองจะว่าประการใด”
ที่บ้านของฮันขีนี้พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้เจ้าพนักงานปลูกเป็นเก๋งสูงสำหรับให้ฮันขีดูหนังสือ มีป้ายชื่อว่างีจิวเหลา และห้ามมิให้ผู้ใดขึ้นไปบนเก๋งจะมีโทษ ฮันขีจึงให้เต็กเชงขึ้นไปอยู่บนเก๋งนั้น แล้วให้คนใช้เปิดประตูให้พังหองเข้ามา เชิญให้นั่งในที่อันสมควร และถามว่าท่านเอาทหารมาล้อมบ้านไว้ด้วยเหตุประการใด พังหองก็บอกว่า
“…….ท่านอย่าถือโทษข้าพเจ้าเลย เวลาคืนนี้มีผู้ร้ายคนหนึ่งชื่อเต็กเชง หนีข้าพเจ้ามาอยู่ในบ้านท่าน ท่านเห็นบ้างหรือไม่……..”
ฮันขีก็บอกว่าไม่เห็น แต่ก็อนุญาตให้ทหารของพังหอง เข้าตรวจค้นในบ้านจนทั่ว ก็ไม่พบ ฮันขีจึงแกล้งบอกว่าเต็กเชงเห็นจะขึ้นไปอยู่บนเก๋งงีจิวเหลาดอกกระมัง จงขึ้นไปค้นดูเถิด พังหองก็มิได้ตอบโต้แต่ประการใด และคำนับลาออกไปจากบ้านฮันขี แต่ให้ทหารเฝ้าอยู่นอกบ้าน
ฝ่ายลีกีเอ๋งเมื่อออกจากเมืองหลวงแล้ว เดินไปตามทางพบโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก็เข้าไปซื้ออาหารกิน พอดีทหารของพังหองสองคน ชื่อ พังฮี กับ พังเฮง ตามมาทันจึงเข้าไปจะจับตัว ลีกีเอ๋งไม่ยอมให้จับ เกิดสู้รบกันขึ้น ทหารทั้งสองนายสู้ลีกีเอ๋งไม่ได้ ก็ขอยอมแพ้และจัดโต๊ะมากินเลี้ยงเสพสุราสนทนากัน ทั้งสองถามว่าลีกีเอ๋งจะไปทางไหน ลีกีเอ๋งก็ว่า
“……..เราจะไปเมืองไซซัว ซึ่งท่านทั้งสองจะกลับไปอยู่กับพังหองต่อไปก็ไม่มีความสุข ด้วยพังหองเป็นคนกังฉิน เที่ยวข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน นานไปก็คงต้องราชภัยเป็นอันแน่ ท่านทั้งสองจงไปอยู่ด้วยเราเถิด ต่อไปภายหน้าถ้าเห็นผู้ใดอยู่ในสัจธรรม จึงเข้าฝากตัวด้วยผู้นั้น……”
ทั้งสองนายก็เห็นชอบด้วย แต่ผลัดว่าจะกลับไปเอาเงินทองมาเป็นเสบียงเดินทาง ลีกีเอ๋งก็บอกว่าตนเองมีเงินทองติดมาพอเลี้ยงดูกันได้ ไปด้วยกันเลยจะดีกว่า ทั้งสองก็ยอมตาม ลีกีเอ๋งจึงจ่ายเงินให้เจ้าของโรงเตี๊ยม แล้วก็เดินทางต่อไปยังเมืองไซซัว พอถึงเขาเทียนไกซัวก็เจอกองโจรที่ เตียตง กับ หลีหงี เป็นใหญ่อยู่ก่อน แต่ทั้งสองนายตามเต็กเชงไปในเมืองหลวง และติดตะรางอยู่ที่บ้าน เปาบุ้นจิ้น จึงไม่มีหัวหน้าควบคุม
ครั้นออกมาปล้นลีกีเอ๋งกับพวกอีกสองคน ก็สู้ไม่ได้ จึงยอมแพ้และยกให้ลีกีเอ๋งเป็นไต้อ๋อง ลีกีเอ๋งปรึกษากับพวกแล้วเห็นว่า ต่างก็ไม่มีที่จะไปจึงยอมรับเป็นผู้ปกครองกลุ่มโจร อยู่ที่เขาเทียนไกซัวจนกว่าจะมีหนทางต่อไป
ฝ่าย นางเต็กไทเฮา มารดาของ โลฮวยอ๋อง อยู่ที่วังนำเชงเก๋ง วันหนึ่ง โลฮวยอ๋องพาภรรยาไปเยี่ยมมารดาเห็นไม่สบายเหมือนแต่ก่อน จึงถามว่ามีเหตุการณ์สิ่งใดหรือ นางเต็กไทเฮาก็ว่าเมื่อคืนนี้ฝันไม่ดีจึงไม่มีความสบายใจ โลฮวยอ๋องก็ให้คนใช้ไปเชิญเปาบุ้นจิ้นกับฮันขี มาเล่าความฝันของมารดา และให้ช่วยทำนายฝันให้
เปาบุ้นจิ้นก็ว่า อันว่าความฝันนั้นจะดีร้ายประการใดตนหาทราบไม่ จงถามฮันขีดูเถิด ฮันขีก็บอกว่าฝันนี้ดีนักจะได้พบญาติในวันเพ็ญนี้ โลฮวยอ๋องก็นำไปเล่าให้มารดาฟัง นางก็บอกว่า
“…….แต่มารดามาอยู่ที่นี่ก็ช้านานแล้ว หาได้ยินข่าวว่าลูกหลานที่ไหนจะมาไม่ เจ้าอย่าเพ่อให้ฮันขีกลับไปบ้านก่อน ให้คอยอยู่จนวันขึ้นสิบห้าค่ำ พระจันทร์เต็มดวงก่อน……”
ฮันขีจึงต้องค้างอยู่ในวังนำเชงเก๋งนั้น พอดีคนใช้ของโลฮวยอ๋อง มาแจ้งว่ามีสัตว์ร้ายมาอยู่ในสระน้ำ คอยจะขบกัดคน โลฮวยอ๋องก็ปรึกษาฮันขีว่าจะทำประการใดดี ฮันขีก็แจ้งว่า
“.ข้าพเจ้าเห็นมีชายคนหนึ่ง มีกำลังและฝีมือเข้มแข็งนัก อาจกำจัดสัตว์ร้ายนี้ได้..”
และเล่าว่าชายผู้นั้นหนีพังหองมาอยู่ที่บ้าน ตนจึงเอาไปซ่อนไว้บนเก๋งงีจิวเหลา พังหองก็ให้ทหารล้อมบ้านไว้ คอยจับตัวจนบัดนี้ โลฮวยอ๋องจึงให้ทหารถืออาญาสิทธิ์ ไปไล่ทหารของพังหองให้กลับไปเสีย แล้วนำตัวเต็กเชงมาคำนับโลฮวยอ๋อง เต็กเชงก็อาสาปราบปรามสัตว์ร้ายนั้นได้เรียบร้อย โลฮวยอ๋องจึงพาเต็กเชงไปคำนับนางเต็กไทเฮาข้างใน
นางเต็กไทเฮาถามชื่อเต็กเชงแล้วก็คิดถึงเต็กก๊วงพี่ชาย ซึ่งไม่ทราบข่าวคราวมาเป็นเวลาช้านาน จึงถามถึงชื่อแซ่บิดาและปู่ เต็กเชงก็บอกให้ทราบตามจริง นางเต็กไทเฮาก็ถามว่า ในเมืองหลวงนี้น้าอาเจ้ามีบ้างหรือไม่ เต็กเชงก็ตอบว่า
“……..บิดาข้าพเจ้าบอกว่า มีอาอยู่คนหนึ่งชื่อนางเต็กเชยกิม มีรับสั่งพระเจ้าซ้องจีนจงฮ่องเต้มาเก็บไป แล้วมีผู้มาบอกกับบิดาข้าพเจ้าว่า อานั้นตายเสียแล้ว ความจะเท็จจริงประการใดข้าพเจ้าหาทราบไม่………”
นางเต็กไทเฮาจึงถามว่า เจ้าเป็นบุตรเต็กก๊วงมีของสำคัญสิ่งไรติดตัวมาบ้างหรือไม่ เต็กเชงก็บอกว่า
“……..เมื่อบิดาของข้าพเจ้าตายนั้น มารดาของข้าพเจ้าเอานกหยกผูกให้ข้าพเจ้านกหนึ่งชื่อฮวนเอีย แล้วมารดาบอกข้าพเจ้าว่า นกหยกนี้มีคู่หนึ่ง อยู่ที่นางเต็กเชยกิมผู้อาข้าพเจ้านั้นนกหนึ่ง บัดนี้นกนั้นข้าพเจ้าได้ติดตัวมาด้วย…….”
แล้วก็ส่งนกให้นางเต็กไทเฮาดู นางเต็กไทเฮารับมาแล้วก็ให้คนใช้ไปเอานกของนางมาเปรียบเทียบกันดู ก็มีรูปร่างอย่างเดียวกัน นางจำสำคัญได้ถนัดแล้วก็ร้องไห้ ว่าเจ้านี้เป็นหลานของเรา เรานี่แหละชื่อนางเต็กเชยกิม แต่อามาจากบิดาเจ้าก็ช้านานแล้ว หาได้ข่าวดีร้ายประการใดไม่ จนเจ้าเติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว เป็นบุญของเราหนักหนา
โลฮวยอ๋องได้แจ้งว่าเต็กเชงมิใช่ผู้อื่น เป็นผู้พี่ก็ดีใจ จึงให้คนใช้ไปจัดเสื้อและกางเกงของตน มาให้เต็กเชงผลัดใหม่ แล้วก็จัดโต๊ะมาเลี้ยงดูทั้งสามคนก็เสพสุรากินเลี้ยงกันกันด้วยความยินดี นางเต็กไทเฮาแหงนหน้าขึ้นดูบนอากาศเห็นพระจันทร์เต็มดวงบริบูรณ์ ก็รำลึกขึ้นได้ถึงฮันขีทำนายฝัน ก็สมดังคำทำนายทุกประการ
จึงให้โลฮวยอ๋องนำความกราบทูลฮ่องเต้ ให้เลื่อนตำแหน่งให้มียศยิ่งขึ้นไป และให้จัดที่อยู่ให้เต็กเชงพักอย่างสบาย และเอาใจใส่เป็นธุระทุกอย่าง โลฮวยอ๋องก็จัดห้องที่สำหรับดูหนังสือให้เต็กเชงพักอาศัย
เต็กเชงก็พ้นจากความยากลำบาก ได้พบญาติผู้เป็นใหญ่แล้ว จะประพฤติตนดีชั่วอย่างไร ก็คงจะต้องติดตามกันต่อไป.
##########
นิตยสารโล่เงิน
มิถุนายน ๒๕๔๖