ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ
กองโจรกลับใจ
ตอนที่ ๒ นักร้องเป็นเหตุ
"เล่าเซี่ยงชุน"
เมื่อซ้องกั๋งได้เป็นหัวหน้าใหญ่ปกครองขบวนการ โจรเขาเนียซัวเปาะแทนเตียวไก่เรียบร้อยแล้ว ยังไม่มีข่าวจากเมืองหลวง จึงใคร่จะเข้าไปสืบข่าวในเมืองตังเกีย และกำหนดเดินทางให้ตรงกับวันที่มีงานเทศกาลตรุษประจำปี
โดยให้ โงวหยง คุมพลอยู่รักษาค่าย
และให้ ซือจิน มกหอง จูตง เล่าตง แต่งตัวสวมเสื้อกางเกงให้โอ่อ่า แยกกันไปทางละสองนาย
ให้ ลูตีซิม กับ บู๊สง แต่งตัวเป็นหลวงจีน ไปอีกทางหนึ่ง ให้ ไตจงแต่งตัวเป็นข้าราชการ
และ ซ้องกั๋ง กับ ชาจิน แต่งตัวเป็นพ่อค้า เอาเงินทองห่อติดตัวไปพอใช้สอยแล้วแยกไปอีกทางหนึ่ง กำหนดให้บรรจบพบกันที่ประตูเมือง
ลีขุย ก็ขอติดตามไปด้วย ซ้องกั๋งก็ว่าตั้งใจจะแอบไปสืบข่าวมิให้ผู้ใดรู้ แต่ลีขุยเป็นคนโทโสมุทะลุ เดี๋ยวจะพาให้เกิดเรื่องขึ้น จึงให้ เอียนเชง ไปด้วยช่วยดูแลห้ามปรามตักเตือน มิให้ลีขุยทำการหยาบช้า และแยกไปอีกทางหนึ่ง รวมเป็นสิบเอ็ดคน
ออกเดินทางไปถึงตังเกียเมืองหลวง ในวันขึ้นสิบเอ็ดค่ำ งานตรุษยังไม่เริ่ม จึงพากันพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมนอกประตูเมือง
ชาจินขออาสาเข้าไปสำรวจถนนหนทางในเมือง เพราะต่างก็ไม่เคยมาเมืองหลวงด้วยกันทั้งนั้น ซ้องกั๋งให้เอียนเชงไปเป็นเพื่อนด้วย ทั้งสองก็กลับมาเล่าให้ฟังว่า ไปพบเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจการภายในพระราชวัง จึงมอมสุราแล้วถอดเอาเครื่องแต่งตัว ให้ชาจินปลอมเข้าไปตรวจตราภายในพระราชวัง จนถึงพระที่นั่งหยวยซือโต๊วซึ่งเป็นที่ทรงพระอักษร ในห้องมีฉากใหญ่เขียนแผนที่และจารึกเรื่องราวจดหมายเหตุต่าง ๆ
ปรากฎว่ามีข้อความว่า
อองเข่ง ตั้งกองโจรอยู่เมืองฮวยไซทิศตะวันตก ซันโฮ้ว ตั้งกองโจรอยู่เมืองห้อปักทิศเหนือ ฮ่องละ ตั้งกองเป็นโจรอยู่เมืองกังหนำทิศใต้ และ ซ้องกั๋ง ตั้งกองซ่องสุมเป็นโจรอยู่แขวงเมืองซัวตั๋ง ทิศตะวันออก
ชาจินจึงเอากระบี่ตัดกระดาษที่จดชื่อซ้องกั๋งเก็บเอามา แล้วกลับโรงเตี๊ยมถอดเสื้อเครื่องแบบกองไว้ให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้น และเอากระดาษนั้นกลับมาให้ซ้องกั๋ง เมื่ออ่านแล้วซ้องกั๋งก็ไม่ได้ว่าอะไร
พอถึงวันขึ้นสิบสี่ค่ำ เวลากลางคืน ซ้องกั๋งพาพรรคพวกทั้งหมด แยกกันเข้าไปในเมือง โดยให้ลีขุยอยู่เฝ้าสิ่งของที่โรงเตี๊ยม ซ้องกั๋งกับเอียนเชง ชาจินและไตจง เดินไปด้วยกันตามถนน จนถึงตึกใหญ่แห่งหนึ่งสวยงามกว่าตึกอื่น มีอักษรเขียนประกาศไว้ว่า มีหญิงขับร้องไพเราะวิเศษเหมือนนางสวรรค์
ซ้องกั๋งจึงพาพวกแวะเข้าไปนั่งในโรงน้ำชาใกล้กัน และถามว่าตึกนั้นเป็นของผู้ใดเจ้าของโรงน้ำชาบอกว่าเป็นตึกของ นางหลีซือซือ ซึ่งเป็นหญิงงามรูปร่างดี มีราคามาก และว่า
".....ชายต่ำบรรดาศักดิ์ น้อยทรัพย์ ไม่อาจขึ้นไปสนทนาด้วย ต่อขุนนางและเศรษฐีจึงได้มาหาสู่ จะพูดจาขับร้องเป็นที่ชอบใจชาย ถึง พระเจ้าซ้องฮุยจง ก็เสด็จมาทรงเล่นเนือง ๆ…”
ซ้องกั๋งก็ชอบใจ จึงให้เอียนเชงขึ้นไปสืบถามให้ได้ความว่า ราคามากน้อยเท่าใด เอียนเชงก็ขึ้นไปพบ นางหลีมาม้า ผู้เป็นมารดานางหลีซือซือ แจ้งว่าเป็นพ่อค้าอยู่ระหว่างเมืองซัวตังเมืองกังหนำเมืองห้อปัก และว่า
"....บัดนี้ท่านพ่อค้านายข้าพเจ้า มาขายของในเมืองหลวง พอมีการนักขัตฤกษ์จึงยังไม่กลับไป ข้าพเจ้าบอกว่านางหลีซือซือบุตรของท่าน รูปร่างงดงามเสียงเพราะ ขับร้องก็ดีกว่าคนทั้งปวง ท่านพ่อค้ามีความรักใคร่ อ้อนวอนข้าพเจ้าว่าถึงจะเสียทองคำสักร้อยตำลึง ก็ไม่เสียดาย ขอให้พบเห็นเป็นขวัญตาสักครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงพามา บัดนี้ท่านพ่อค้าพักอยู่โรงนอก ให้ข้าพเจ้าขึ้นมาแจ้งความเป็นทางไมตรีก่อน....."
นางหลีมาม้าก็ดีใจว่า พ่อค้าบ้านนอกคงจะนำลาภใหญ่ มาให้บุตรสาวเป็นแท้ จึงให้เอียนเชงไปตามพ่อค้าใหญ่ขึ้นมาบนตึก และตนเองเข้าไปบอกบุตรสาวให้ออกมาต้อนรับ นางหลีซือซือก็จัดแจงแต่งกาย ด้วยเครื่องนุ่งห่มอย่างดี แล้วออกมานั่งคอยอยู่ในห้องกลาง
ซ้องกั๋งก็เข้าไปแต่เพียงผู้เดียว ให้ชาจินกับไตจงรออยู่ห้องนอก
ซ้องกั๋งเห็นนางหลีซือซือมีรูปร่างงามก็ดีใจนัก จึงพูดด้วยถ้อยคำอันอ่อนหวานว่า
“...เราเป็นพ่อค้ามาทางไกลกันดารนัก ด้วยอาหารและสิ่งของที่ชื่นอารมณ์ ได้ยินเขาเล่าลือว่าเจ้าขับร้องเสียงเพราะ รูปงามกว่าหญิงทั้งปวง จึงอุตส่าห์สืบเสาะมาได้พบ ก็เป็นบุญของเราหนักหนา ซึ่งเรามาทั้งนี้มีความปรารถนา จะใคร่รู้จักเป็นไมตรีกันไปวันหน้า กว่าจะสิ้นชีวิต....."
นางหลีซือซือสนองตอบว่า
".....ข้าพเจ้าเป็นกำพร้า หาบิดามิได้ก็หวังใจจะหาที่พึ่ง ซึ่งท่านมีใจเมตตานั้น ขอบคุณเป็นอันมาก....."
แล้วให้หญิงคนใช้ยกน้ำชามาเลี้ยง นางก็รินส่งให้ซ้องกั๋ง และทั้งสองก็พูดจากันด้วยใจเสน่หา
แต่นั่งอยู่ไม่นานนัก หญิงคนใช้เข้ามาบอกว่า พระเจ้าซ้องฮุยจง ได้เสด็จมาประทับอยู่ที่หน้าตึก นางหลีซือซือจึงบอกว่า
"....ข้าพเจ้าได้สนทนาด้วยท่านวันนี้ ก็เป็นบุญแล้ว กลับมีกรรมมาแทรกแซงอีกเล่า ตัวข้าพเจ้าจะต้องจากท่านไปรับเสด็จครั้นจะไม่ไปก็ไม่ได้ ด้วยเป็นพระมหากษัตริย์....."
พูดแล้วก็ร้องไห้เช็ดน้ำตา ลุกขึ้นคำนับลา ซ้องกั๋งก็ยุดชายเสื้อนางไว้แล้วว่า
"...คำของเราที่ได้สัญญาไว้ เจ้าอย่าลืม..."
นางหลีซือซือก็ตอบว่า
"....ถ้อยคำของท่านนั้น ข้าพเจ้าแหวกใส่ไว้หว่างผม เชิญท่านกลับไปก่อน พรุ่งนี้จึงค่อยมาพบกันอีก....."
ซ้องกั๋งก็ออกจากห้อง ชวนพรรคพวกที่อยู่ข้างนอกพากันเดินเที่ยวดูงานต่อไป จนถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก็เข้าไปนั่งโต๊ะ สั่งสุรามากิน ก็ได้ยินเสียงคนในห้องข้างเคียง ร้องเพลงเป็นความว่า
"....เกิดมาเป็นชายชาติทหาร ได้ฝึกหัดเพลงอาวุธและร่ำเรียนตำราพิชัยสงครามไว้ชำนิชำนาญ ต้องคิดการให้สมกับความรู้......วิชาที่เรียนไว้ ยังไม่ได้สำแดงให้ปรากฎแก่คนทั้งปวง.....ถือกระบี่วิเศษยาวถึงสามศอกแล้ว ยังไม่ได้เกลือกกลั้วโลหิตคนคด......ถ้าตัดศรีษะพวกกังฉินเสียบประจานได้ แล้วจึงจะมีความสุข....."
ซ้องกั๋งก็เดินเข้าไปดูในห้อง เผื่อจะขอทำความรู้จัก ก็พบ มกหอง กับ ซือจิน กินสุราเมาร้องเพลงอยู่ ก็ตกใจกระซิบว่า
"....ท่านเมาสุราร้องเพลงดังนี้ ถ้าขุนนางข้าราชการได้ยิน จะเกิดความขึ้น จงรีบ กลับไปโรงเตี๊ยมโดยเร็ว....."
แล้วทั้งหมดก็พากันกลับไปที่โรงเตี๊ยมนอกเมือง
พอถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำเวลากลางคืน ซ้องกั๋ง ชาจิน เอียนเชงและไตจง ก็ชวนกันเข้าไปในเมืองอีก คราวนี้ลีขุยไม่ยอมอยู่เฝ้าโรงเตี๊ยม จะขอไปบ้าง ซ้องกั๋งก็ยอมให้ไปด้วย โดยให้สงบปากสะกดใจไว้ อย่าให้วุ่นวาย และให้เอียนเชงคอยดูแลด้วย
เมื่อมาถึงตึกของนางหลีซือซือ ซ้องกั๋งให้เอียนเชง เอาทองคำร้อยตำลึงไปให้ นางหลีซือซือก็ดีใจรีบลงมาต้อนรับ คำนับแล้วเชิญขึ้นไปบนตึก ซ้องกั๋งกับชาจินไตจงก็ตามขึ้นไป ให้ ลีขุยอยู่เฝ้าประตูหน้าตึกดูลู่ทางไว้ นางหลีซือซือจัดโต๊ะให้ซ้องกั๋งกับพวกนั่งกินสุราอาหาร และขับร้องบำเรอด้วยเพลงต่าง ๆ
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ พระเจ้าซ้องยินจงก็เสด็จมาอีก คราวนี้นางหลีซือซือให้ซ้องกั๋งกับพวก เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องข้างเคียงซึ่งเป็นฝาเฟี้ยม แล้วก็ลงไปรับเสด็จ ซ้องกั๋งแอบดูอยู่ในห้อง เห็นพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จมาประกอบด้วยยศศักดิ์เป็นสง่างาม ก็มีความซาบซึ้งกตัญญู คิดถึงคุณของพระมหากษัตริย์ จึงปรึกษากับชาจินว่า
".....ตัวเราไม่ทำราชการ ออกตั้งกองโจรทั้งนี้ จะได้เป็นกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดินนั้นหามิได้ เพราะคิดจะแก้แค้นขุนนางกังฉินให้ถึงขนาด พระองค์ไม่ทรงทราบ สำคัญพระทัยว่าพวกเราเป็นกบฏ ทรงเชื่อฟังแต่ถ้อยคำพวกกังฉินทูลยุยง เราคิดจะทำเรื่องราวลุกะโทษ สำแดงความจริงในใจถวายให้ทรงทราบ แม้ทรงพระเมตตาให้เราเข้าทำราชการ จะเอาความสัตย์และความเพียร สนองพระคุณโดยสุจริต...."
ชาจินก็ว่าครั้งนี้เราเข้ามาในเมืองหลวงด้วยการสนุก ซึ่งจะตรึกตรองความสุขุมลึกซึ้งอย่างนี้ เห็นจะไม่ตลอด ควรงดไว้ก่อน ซ้องกั๋งก็เห็นด้วย
ฝ่ายลีขุยซึ่งเฝ้าประตูหน้าตึกอยู่นั้น น้อยใจว่าตนตั้งใจจะมาดูงานก็ไม่สมปรารถนา วันก่อนถูกใช้ให้เฝ้าโรงเตี๊ยม วันนี้ก็ถูกใช้ให้เฝ้าประตูอีก จึงคิดกลัดกลุ้มอยู่ พอดี เอียไชอวย ขุนนางฝ่ายทหาร ซึ่งได้ตามเสด็จพระเจ้าซ้องฮุยจงมารักษาความปลอดภัย เห็นลีขุยยืนแอบประตูอยู่ ก็ตวาดว่า
"....อ้ายคนนี้เป็นพวกผู้ใด บังอาจมายืนอยู่ในที่ล้อมวง....."
ลีขุยกำลังหงุดหงิดอยู่แล้ว จึงไม่ได้พูดจาว่าอะไร คว้าได้เก้าอี้ก็ยกขึ้นฟาดศรีษะนายทหารนั้นล้มลง พวกพลทหารที่เข้ามาช่วยกลุ้มรุมจะจับตัวลีขุย ก็ถูกเก้าอี้ฟาดแตกกระจายไป ขณะที่กำลังฟาดกันอุดตลุดอยู่นั้น พระเจ้าซ้องฮุยจงก็รีบเสด็จกลับไปพระราชวัง
ฝ่ายซ้องกั๋งกับพวกบนตึก ก็พากันหนีออกไปนอกเมือง ลีขุยตัวคนเดียวไม่เห็นมีพวกมาช่วย ยิ่งเกิดโทสะมากขึ้นจึงเอาเชื้อเพลิงจุดไฟเผาตึกนั้นเสีย เพลิงก็ไหม้ลุกลามจากตึกของนางหลีซือซือ ติดบ้านเรือราษฎรต่อเนื่องกันไป ชาวเมืองต้องมาช่วยกันดับเพลิงเป็นอลหม่าน
ขณะนั้น กอไทอวย ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร รู้ว่าเกิดเพลิงไหม้ขึ้นในเมือง ก็พา ทหารกองตระเวนมาช่วยดับเพลิง พบเห็นลีขุยซึ่งเป็นคนแปลกหน้า กิริยาผิดประหลาด ไม่ใช่ชาวเมืองหลวง จึงสั่งให้ทหารจับตัวให้ได้
ลีขุยก็แย่งอาวุธของทหารเข้าต่อสู้ไล่ฆ่าฟันทหารถอยร่นไป แต่มีขุนนางกับราษฎรคุมกันเป็นขบวนยกหนุนเข้ามาอีกมากมายหลายกอง ลีขุยเห็นเหลือกำลังก็สู้พลางถอยพลางมาตามถนน จนพบซือจิน กับมกหอง ลูตีซิม และบู๊สง ก็ช่วยกันสู้รบเป็นสามารถ
แต่ฝ่ายเมืองหลวงมากกว่าหลายเท่าตัวจึงต่างก็แยกย้ายกันหนีไป
พอดี โงวหยง เป็นห่วงพวกที่เข้ามาเที่ยวเมืองหลวง ได้ส่งนายรองอีกห้านายคือ กวนเส็ง ฉิ นเหม็ง ลิมชอง อูเอียนเจียก ตังเผง คุมทหารเป็นกองทัพตามมา จึงรับเอาซ้องกั๋งและพรรคพวก กลับไปเข้าเนียซัวเปาะได้โดยปลอดภัย.
##########
นิตยสารโล่เงิน
มิถุนายน ๒๕๔๒
กองโจรกลับใจ (๒) ๘ ก.ย.๕๘
กองโจรกลับใจ
ตอนที่ ๒ นักร้องเป็นเหตุ
"เล่าเซี่ยงชุน"
เมื่อซ้องกั๋งได้เป็นหัวหน้าใหญ่ปกครองขบวนการ โจรเขาเนียซัวเปาะแทนเตียวไก่เรียบร้อยแล้ว ยังไม่มีข่าวจากเมืองหลวง จึงใคร่จะเข้าไปสืบข่าวในเมืองตังเกีย และกำหนดเดินทางให้ตรงกับวันที่มีงานเทศกาลตรุษประจำปี
โดยให้ โงวหยง คุมพลอยู่รักษาค่าย
และให้ ซือจิน มกหอง จูตง เล่าตง แต่งตัวสวมเสื้อกางเกงให้โอ่อ่า แยกกันไปทางละสองนาย
ให้ ลูตีซิม กับ บู๊สง แต่งตัวเป็นหลวงจีน ไปอีกทางหนึ่ง ให้ ไตจงแต่งตัวเป็นข้าราชการ
และ ซ้องกั๋ง กับ ชาจิน แต่งตัวเป็นพ่อค้า เอาเงินทองห่อติดตัวไปพอใช้สอยแล้วแยกไปอีกทางหนึ่ง กำหนดให้บรรจบพบกันที่ประตูเมือง
ลีขุย ก็ขอติดตามไปด้วย ซ้องกั๋งก็ว่าตั้งใจจะแอบไปสืบข่าวมิให้ผู้ใดรู้ แต่ลีขุยเป็นคนโทโสมุทะลุ เดี๋ยวจะพาให้เกิดเรื่องขึ้น จึงให้ เอียนเชง ไปด้วยช่วยดูแลห้ามปรามตักเตือน มิให้ลีขุยทำการหยาบช้า และแยกไปอีกทางหนึ่ง รวมเป็นสิบเอ็ดคน
ออกเดินทางไปถึงตังเกียเมืองหลวง ในวันขึ้นสิบเอ็ดค่ำ งานตรุษยังไม่เริ่ม จึงพากันพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมนอกประตูเมือง
ชาจินขออาสาเข้าไปสำรวจถนนหนทางในเมือง เพราะต่างก็ไม่เคยมาเมืองหลวงด้วยกันทั้งนั้น ซ้องกั๋งให้เอียนเชงไปเป็นเพื่อนด้วย ทั้งสองก็กลับมาเล่าให้ฟังว่า ไปพบเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจการภายในพระราชวัง จึงมอมสุราแล้วถอดเอาเครื่องแต่งตัว ให้ชาจินปลอมเข้าไปตรวจตราภายในพระราชวัง จนถึงพระที่นั่งหยวยซือโต๊วซึ่งเป็นที่ทรงพระอักษร ในห้องมีฉากใหญ่เขียนแผนที่และจารึกเรื่องราวจดหมายเหตุต่าง ๆ
ปรากฎว่ามีข้อความว่า
อองเข่ง ตั้งกองโจรอยู่เมืองฮวยไซทิศตะวันตก ซันโฮ้ว ตั้งกองโจรอยู่เมืองห้อปักทิศเหนือ ฮ่องละ ตั้งกองเป็นโจรอยู่เมืองกังหนำทิศใต้ และ ซ้องกั๋ง ตั้งกองซ่องสุมเป็นโจรอยู่แขวงเมืองซัวตั๋ง ทิศตะวันออก
ชาจินจึงเอากระบี่ตัดกระดาษที่จดชื่อซ้องกั๋งเก็บเอามา แล้วกลับโรงเตี๊ยมถอดเสื้อเครื่องแบบกองไว้ให้เจ้าหน้าที่ผู้นั้น และเอากระดาษนั้นกลับมาให้ซ้องกั๋ง เมื่ออ่านแล้วซ้องกั๋งก็ไม่ได้ว่าอะไร
พอถึงวันขึ้นสิบสี่ค่ำ เวลากลางคืน ซ้องกั๋งพาพรรคพวกทั้งหมด แยกกันเข้าไปในเมือง โดยให้ลีขุยอยู่เฝ้าสิ่งของที่โรงเตี๊ยม ซ้องกั๋งกับเอียนเชง ชาจินและไตจง เดินไปด้วยกันตามถนน จนถึงตึกใหญ่แห่งหนึ่งสวยงามกว่าตึกอื่น มีอักษรเขียนประกาศไว้ว่า มีหญิงขับร้องไพเราะวิเศษเหมือนนางสวรรค์
ซ้องกั๋งจึงพาพวกแวะเข้าไปนั่งในโรงน้ำชาใกล้กัน และถามว่าตึกนั้นเป็นของผู้ใดเจ้าของโรงน้ำชาบอกว่าเป็นตึกของ นางหลีซือซือ ซึ่งเป็นหญิงงามรูปร่างดี มีราคามาก และว่า
".....ชายต่ำบรรดาศักดิ์ น้อยทรัพย์ ไม่อาจขึ้นไปสนทนาด้วย ต่อขุนนางและเศรษฐีจึงได้มาหาสู่ จะพูดจาขับร้องเป็นที่ชอบใจชาย ถึง พระเจ้าซ้องฮุยจง ก็เสด็จมาทรงเล่นเนือง ๆ…”
ซ้องกั๋งก็ชอบใจ จึงให้เอียนเชงขึ้นไปสืบถามให้ได้ความว่า ราคามากน้อยเท่าใด เอียนเชงก็ขึ้นไปพบ นางหลีมาม้า ผู้เป็นมารดานางหลีซือซือ แจ้งว่าเป็นพ่อค้าอยู่ระหว่างเมืองซัวตังเมืองกังหนำเมืองห้อปัก และว่า
"....บัดนี้ท่านพ่อค้านายข้าพเจ้า มาขายของในเมืองหลวง พอมีการนักขัตฤกษ์จึงยังไม่กลับไป ข้าพเจ้าบอกว่านางหลีซือซือบุตรของท่าน รูปร่างงดงามเสียงเพราะ ขับร้องก็ดีกว่าคนทั้งปวง ท่านพ่อค้ามีความรักใคร่ อ้อนวอนข้าพเจ้าว่าถึงจะเสียทองคำสักร้อยตำลึง ก็ไม่เสียดาย ขอให้พบเห็นเป็นขวัญตาสักครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงพามา บัดนี้ท่านพ่อค้าพักอยู่โรงนอก ให้ข้าพเจ้าขึ้นมาแจ้งความเป็นทางไมตรีก่อน....."
นางหลีมาม้าก็ดีใจว่า พ่อค้าบ้านนอกคงจะนำลาภใหญ่ มาให้บุตรสาวเป็นแท้ จึงให้เอียนเชงไปตามพ่อค้าใหญ่ขึ้นมาบนตึก และตนเองเข้าไปบอกบุตรสาวให้ออกมาต้อนรับ นางหลีซือซือก็จัดแจงแต่งกาย ด้วยเครื่องนุ่งห่มอย่างดี แล้วออกมานั่งคอยอยู่ในห้องกลาง
ซ้องกั๋งก็เข้าไปแต่เพียงผู้เดียว ให้ชาจินกับไตจงรออยู่ห้องนอก
ซ้องกั๋งเห็นนางหลีซือซือมีรูปร่างงามก็ดีใจนัก จึงพูดด้วยถ้อยคำอันอ่อนหวานว่า
“...เราเป็นพ่อค้ามาทางไกลกันดารนัก ด้วยอาหารและสิ่งของที่ชื่นอารมณ์ ได้ยินเขาเล่าลือว่าเจ้าขับร้องเสียงเพราะ รูปงามกว่าหญิงทั้งปวง จึงอุตส่าห์สืบเสาะมาได้พบ ก็เป็นบุญของเราหนักหนา ซึ่งเรามาทั้งนี้มีความปรารถนา จะใคร่รู้จักเป็นไมตรีกันไปวันหน้า กว่าจะสิ้นชีวิต....."
นางหลีซือซือสนองตอบว่า
".....ข้าพเจ้าเป็นกำพร้า หาบิดามิได้ก็หวังใจจะหาที่พึ่ง ซึ่งท่านมีใจเมตตานั้น ขอบคุณเป็นอันมาก....."
แล้วให้หญิงคนใช้ยกน้ำชามาเลี้ยง นางก็รินส่งให้ซ้องกั๋ง และทั้งสองก็พูดจากันด้วยใจเสน่หา
แต่นั่งอยู่ไม่นานนัก หญิงคนใช้เข้ามาบอกว่า พระเจ้าซ้องฮุยจง ได้เสด็จมาประทับอยู่ที่หน้าตึก นางหลีซือซือจึงบอกว่า
"....ข้าพเจ้าได้สนทนาด้วยท่านวันนี้ ก็เป็นบุญแล้ว กลับมีกรรมมาแทรกแซงอีกเล่า ตัวข้าพเจ้าจะต้องจากท่านไปรับเสด็จครั้นจะไม่ไปก็ไม่ได้ ด้วยเป็นพระมหากษัตริย์....."
พูดแล้วก็ร้องไห้เช็ดน้ำตา ลุกขึ้นคำนับลา ซ้องกั๋งก็ยุดชายเสื้อนางไว้แล้วว่า
"...คำของเราที่ได้สัญญาไว้ เจ้าอย่าลืม..."
นางหลีซือซือก็ตอบว่า
"....ถ้อยคำของท่านนั้น ข้าพเจ้าแหวกใส่ไว้หว่างผม เชิญท่านกลับไปก่อน พรุ่งนี้จึงค่อยมาพบกันอีก....."
ซ้องกั๋งก็ออกจากห้อง ชวนพรรคพวกที่อยู่ข้างนอกพากันเดินเที่ยวดูงานต่อไป จนถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก็เข้าไปนั่งโต๊ะ สั่งสุรามากิน ก็ได้ยินเสียงคนในห้องข้างเคียง ร้องเพลงเป็นความว่า
"....เกิดมาเป็นชายชาติทหาร ได้ฝึกหัดเพลงอาวุธและร่ำเรียนตำราพิชัยสงครามไว้ชำนิชำนาญ ต้องคิดการให้สมกับความรู้......วิชาที่เรียนไว้ ยังไม่ได้สำแดงให้ปรากฎแก่คนทั้งปวง.....ถือกระบี่วิเศษยาวถึงสามศอกแล้ว ยังไม่ได้เกลือกกลั้วโลหิตคนคด......ถ้าตัดศรีษะพวกกังฉินเสียบประจานได้ แล้วจึงจะมีความสุข....."
ซ้องกั๋งก็เดินเข้าไปดูในห้อง เผื่อจะขอทำความรู้จัก ก็พบ มกหอง กับ ซือจิน กินสุราเมาร้องเพลงอยู่ ก็ตกใจกระซิบว่า
"....ท่านเมาสุราร้องเพลงดังนี้ ถ้าขุนนางข้าราชการได้ยิน จะเกิดความขึ้น จงรีบ กลับไปโรงเตี๊ยมโดยเร็ว....."
แล้วทั้งหมดก็พากันกลับไปที่โรงเตี๊ยมนอกเมือง
พอถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำเวลากลางคืน ซ้องกั๋ง ชาจิน เอียนเชงและไตจง ก็ชวนกันเข้าไปในเมืองอีก คราวนี้ลีขุยไม่ยอมอยู่เฝ้าโรงเตี๊ยม จะขอไปบ้าง ซ้องกั๋งก็ยอมให้ไปด้วย โดยให้สงบปากสะกดใจไว้ อย่าให้วุ่นวาย และให้เอียนเชงคอยดูแลด้วย
เมื่อมาถึงตึกของนางหลีซือซือ ซ้องกั๋งให้เอียนเชง เอาทองคำร้อยตำลึงไปให้ นางหลีซือซือก็ดีใจรีบลงมาต้อนรับ คำนับแล้วเชิญขึ้นไปบนตึก ซ้องกั๋งกับชาจินไตจงก็ตามขึ้นไป ให้ ลีขุยอยู่เฝ้าประตูหน้าตึกดูลู่ทางไว้ นางหลีซือซือจัดโต๊ะให้ซ้องกั๋งกับพวกนั่งกินสุราอาหาร และขับร้องบำเรอด้วยเพลงต่าง ๆ
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินอยู่ พระเจ้าซ้องยินจงก็เสด็จมาอีก คราวนี้นางหลีซือซือให้ซ้องกั๋งกับพวก เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องข้างเคียงซึ่งเป็นฝาเฟี้ยม แล้วก็ลงไปรับเสด็จ ซ้องกั๋งแอบดูอยู่ในห้อง เห็นพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จมาประกอบด้วยยศศักดิ์เป็นสง่างาม ก็มีความซาบซึ้งกตัญญู คิดถึงคุณของพระมหากษัตริย์ จึงปรึกษากับชาจินว่า
".....ตัวเราไม่ทำราชการ ออกตั้งกองโจรทั้งนี้ จะได้เป็นกบฏต่อพระเจ้าแผ่นดินนั้นหามิได้ เพราะคิดจะแก้แค้นขุนนางกังฉินให้ถึงขนาด พระองค์ไม่ทรงทราบ สำคัญพระทัยว่าพวกเราเป็นกบฏ ทรงเชื่อฟังแต่ถ้อยคำพวกกังฉินทูลยุยง เราคิดจะทำเรื่องราวลุกะโทษ สำแดงความจริงในใจถวายให้ทรงทราบ แม้ทรงพระเมตตาให้เราเข้าทำราชการ จะเอาความสัตย์และความเพียร สนองพระคุณโดยสุจริต...."
ชาจินก็ว่าครั้งนี้เราเข้ามาในเมืองหลวงด้วยการสนุก ซึ่งจะตรึกตรองความสุขุมลึกซึ้งอย่างนี้ เห็นจะไม่ตลอด ควรงดไว้ก่อน ซ้องกั๋งก็เห็นด้วย
ฝ่ายลีขุยซึ่งเฝ้าประตูหน้าตึกอยู่นั้น น้อยใจว่าตนตั้งใจจะมาดูงานก็ไม่สมปรารถนา วันก่อนถูกใช้ให้เฝ้าโรงเตี๊ยม วันนี้ก็ถูกใช้ให้เฝ้าประตูอีก จึงคิดกลัดกลุ้มอยู่ พอดี เอียไชอวย ขุนนางฝ่ายทหาร ซึ่งได้ตามเสด็จพระเจ้าซ้องฮุยจงมารักษาความปลอดภัย เห็นลีขุยยืนแอบประตูอยู่ ก็ตวาดว่า
"....อ้ายคนนี้เป็นพวกผู้ใด บังอาจมายืนอยู่ในที่ล้อมวง....."
ลีขุยกำลังหงุดหงิดอยู่แล้ว จึงไม่ได้พูดจาว่าอะไร คว้าได้เก้าอี้ก็ยกขึ้นฟาดศรีษะนายทหารนั้นล้มลง พวกพลทหารที่เข้ามาช่วยกลุ้มรุมจะจับตัวลีขุย ก็ถูกเก้าอี้ฟาดแตกกระจายไป ขณะที่กำลังฟาดกันอุดตลุดอยู่นั้น พระเจ้าซ้องฮุยจงก็รีบเสด็จกลับไปพระราชวัง
ฝ่ายซ้องกั๋งกับพวกบนตึก ก็พากันหนีออกไปนอกเมือง ลีขุยตัวคนเดียวไม่เห็นมีพวกมาช่วย ยิ่งเกิดโทสะมากขึ้นจึงเอาเชื้อเพลิงจุดไฟเผาตึกนั้นเสีย เพลิงก็ไหม้ลุกลามจากตึกของนางหลีซือซือ ติดบ้านเรือราษฎรต่อเนื่องกันไป ชาวเมืองต้องมาช่วยกันดับเพลิงเป็นอลหม่าน
ขณะนั้น กอไทอวย ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร รู้ว่าเกิดเพลิงไหม้ขึ้นในเมือง ก็พา ทหารกองตระเวนมาช่วยดับเพลิง พบเห็นลีขุยซึ่งเป็นคนแปลกหน้า กิริยาผิดประหลาด ไม่ใช่ชาวเมืองหลวง จึงสั่งให้ทหารจับตัวให้ได้
ลีขุยก็แย่งอาวุธของทหารเข้าต่อสู้ไล่ฆ่าฟันทหารถอยร่นไป แต่มีขุนนางกับราษฎรคุมกันเป็นขบวนยกหนุนเข้ามาอีกมากมายหลายกอง ลีขุยเห็นเหลือกำลังก็สู้พลางถอยพลางมาตามถนน จนพบซือจิน กับมกหอง ลูตีซิม และบู๊สง ก็ช่วยกันสู้รบเป็นสามารถ
แต่ฝ่ายเมืองหลวงมากกว่าหลายเท่าตัวจึงต่างก็แยกย้ายกันหนีไป
พอดี โงวหยง เป็นห่วงพวกที่เข้ามาเที่ยวเมืองหลวง ได้ส่งนายรองอีกห้านายคือ กวนเส็ง ฉิ นเหม็ง ลิมชอง อูเอียนเจียก ตังเผง คุมทหารเป็นกองทัพตามมา จึงรับเอาซ้องกั๋งและพรรคพวก กลับไปเข้าเนียซัวเปาะได้โดยปลอดภัย.
##########
นิตยสารโล่เงิน
มิถุนายน ๒๕๔๒