การกำหนดดวงนิมิตในสมาธิเป็นเช่นไร มีความสำคัญอย่างไร ตอนสอง
ในตอนที่แล้วเราได้ทราบถึงองค์ฌาน ตลอดจนประเภทของพระกรรมฐานไปแล้ว และได้เล่าถึงการเกิดขององค์ฌานปฐมมาได้สามประการก็ค้างไว้ ในตอนนี้จะได้เล่าถึงองค์ฌานที่เหลืออีกสององค์คือสุข กับเอกัคตา สำหรับการเริ่มและวิธีฝึกฝนทั้งหมดจะได้กล่าวไว้ในส่วนคำอธิบายของเอกัคตาตลอดจนการกำหนดดวงนิมิตว่าทำอย่างไรต่อไป
ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่ามีคนกล่าวว่าคนที่ฝึกสำเร็จจะรู้ได้ด้วยตนเองว่าสำเร็จหรือไม่ ผู้อื่นไม่สามารถล่วงรู้ได้ คำกล่าวนี้เป็นจริงได้อยู่สองลักษณะ หนึ่งเป็นจริง กับสองเป็นลวงเพื่อหวังผลทางอามิสที่จะได้รับเพราะผู้ที่ปฏิบัติตนจนสำเร็จฌานได้นี้จะได้รับความเคารพนับถือจากบุคคลโดยทั่วไป เราท่านเมื่อทราบการเกิดขององค์ฌานแล้วคงพอจะพิจารณาได้ว่าท่านที่สนทนาอยู่กับท่านนี้นะสำเร็จในขั้นใด ถ้าตอบไม่ได้คราวนี้ก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน
เล่ามาถึงตอนนี้แล้วจะขอกล่าวถึงคำว่าปัญญาไว้สักเล็กน้อย ปัญญาในทางพุทธศาสนานี้ไม่ใช่ปัญญาที่เรา ๆ ท่าน ๆ เข้าใจกันว่าเลขหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง หรือสองบวกสองเป็นสี่เช่นนี้ไม่ใช่ปัญญาทางพระพุทธศาสนา แต่เป็นการใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหาในทางโลก ปัญญาในพุทธศาสนาเกิดจากการฝึกสมาธิและใช้ความสามารถนี้ในการทำลายกิเลศได้เรียกว่าปัญญา สำหรับปัญญาในพระสมถกรรมฐานนี้จะทำลายกิเลศได้เช่นกันแต่เป็นการชั่วคราว ในเวลาที่อยู่ในฌานเท่านั้นดังนั้นจะเห็นได้ว่าท่านเหล่านี้มักเข้าฌานอยู่ครั้งละนาน ๆ อาจจะเป็นหลายวันหรือเป็นเดือนเลยก็มี เพราะฌานกับกิเลศไม่อาจเกิดพร้อมกันได้ มีฌานได้ต้องไม่มีกิเลศ มีกิเลศฌานก็ไม่เกิด และเราไม่ต้องใช้ความคิดของปุถุชนมาตัดกิเลศ การเข้าฌานเป็นการตัดกิเลศอยู่แล้วในตัวเองขอให้พิจารณาดูเถิด เมื่อออกจากฌานแล้วก็จะเป็นเช่นคนธรรมดาทั่วไป มีโลภ โกรธ หลง กามราคะได้เช่นปุถุชนธรรมดา แต่เกิดได้ยากกว่าเนื่องจากมีจิตรที่ข่มไว้ แต่หากเกิดขึ้นเมื่อใด ฌานที่ฝึกได้ก็จะเสื่อมไป ดังนั้นผู้ที่ฝึกฌานได้จะต้องพยายามรักษาไว้ ประดุจนางแก้วรักษาครรภ์อันจะเกิดโอรสผู้เป็นพระมหาจักรพรรดิต่อไป ฌานที่เสื่อมยากที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญไว้คือฌานที่ฝึกจากอสุภทั้งสิบวิธี แต่สำหรับฌานวิปัสสนากรรมฐานนั้นจะยกตนผู้ฝึกเข้าสู่พระอริยบุคคลซึ่งมีด้วยกันสี่คู่รวมแปดบุรุษ นับแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์เป็นที่สุด และการยกตนเป็นพระอริยบุคคลนี้จะเป็นการถาวร กล่าวคือจิตรจะตัดกิเลสสิ้นเชิง ส่วนจะตัดได้แค่ไหนเพียงไรขึ้นอยู่กับว่าสำเร็จได้ถึงขั้นไหนในแปดบุรุษนี้ มีเพียงบุรุษเดียวที่ยังกลับคืนสู่บุคคลธรรมดาได้คือพระโสดาบันเท่านั้น แต่พระอริยะท่านอื่น ๆ นั้น กล่าวได้ว่าสำเร็จธรรมขั้นสูงสุดที่มนุษย์จะฝึกได้แล้ว จะไม่กลับไปสู่จิตรของปุถุชนอีก ยกตัวอย่างเช่นสมมุติว่าเราเรียนจบปริญญาเอกแล้วในสาขาวิชานิติศาสตร์บัณฑิต แสดงว่าเราจบปริญญาตรี และปริญญาโทในสาขาวิชานั้นแล้วด้วย จะขอกลับมาเรียนปริญญาตรีในสาขาวิชานิติศาสตร์อีกก็คงจะไม่ได้ หรือมิเช่นนั้นบุคคลผู้สำเร็จพระอรหันต์จะขอเกิดอีกในชาติต่อไปก็เป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น สำหรับฌานวิปัสสนานี้นั้น อธิบายให้ง่ายก็คืออรูปฌานชนิดหนึ่งที่เกิดจากพลังสมาธิบันดาลให้เป็นไปซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้คันพบ มีทั้งหมดห้าฌานด้วยกัน บุคคลที่จะยกตนให้พ้นจากวัฏสงสารจะต้องฝึกจนสำเร็จทั้งห้าฌานนี้ประกอบกันจึงจะเป็นไปตามประสงค์ ต่างจากฌานสมถที่เมื่อฝึกแล้วในลำดับที่สูงขึ้นก็จะใช้ฌานที่สูงกว่ายิ่ง ๆ ขึ้นไปเพียงฌานเดียว แต่ฌานในวิปัสสนานั้นจะต้องฝึกทุกฌานและกำหนดพร้อมกันทุกฌานจึงจะยกตนพ้นจากวัฏสงสารได้ ในส่วนของรายละเอียดข้าพเจ้าจะได้กล่าวในโอกาสต่อ ๆ ไป
สำหรับองค์ฌานที่สี่ของปฐมฌาน จะบังเกิดขึ้นภายหลังจากองค์ฌานทั้งสามปรากฏในลำดับถัดจากองค์ชาญที่สาม จะบังเกิดขึ้นแบบนี้ เมื่อจิตรสงบนิ่งแล้วจะมีความรู้สึกสัมผัสได้จากการรับรู้ของจิตว่ามีความสบายอกสบายใจจิตรโล่ง อาการปวดเมื่อยหรือเจ็บปวดตามข้อตามเข่าตามตัวไม่มีเลยโล่งหมด จิตรสงบแบบที่ไม่เคยพบมาก่อน เป็นความสุขที่เกิดจากความสงบมีพลังชุ่มชื่นมาก ขณะนั้นจะมีแต่จิตร กับสมาธิที่มั่นคงอยู่เท่านั้น ไม่เห็นว่ามีร่างกายอยู่ตรงไหนลองหาดูว่าจะขยับนิ้วอย่างไร แต่พอเรารู้สึกและรับรู้อารมแบบนี้จิตรก็จะกลับออกจากสมาธินั้นทันที ข้าพเจ้าเป็นคนพอจะมีความรู้อยู่บ้างจึงลองทดสอบดูเป็นหลายครั้ง ปรากฏว่าให้ผลเหมือนเดิม จึงคิดหาเหตุผลอยู่นานว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เพราะอย่างไรก็ถามใครไม่ได้อยู่แล้ว
จนในที่สุดก็ได้คำตอบว่า จิตรมนุษย์นี้รับรู้ได้คราวละอารมเดียวเท่านั้น เมื่อเรายอมรับอารมหนึ่งแล้วอีกอารมก็ต้องหายไปเป็นธรรมดา เมื่อเรายอมรับความสุขที่เกิดขึ้นจากความสงบนี้แล้ว หรือใช้จิตรไปรับรู้อารมของการขยับร่างกาย อารมที่เราภาวนาอยู่ก็ต้องหมดไปจิตรจึงเลือกที่จะกลับสู่จิตรของปุถุชนธรรมเช่นนี้ คือคำตอบ การฝึกสมาธิก็คือการทำให้จิตรตั้งมั่นอยู่ในอารมเดียวอย่างมั่นคง บางคนอาจจะถามว่าการยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยง ก็ถูกต้อง แต่อย่าลืมว่าตอนนี้เรายังอยู่ในการฝึกเริ่มต้นของปฐมฌานเท่านั้น ยังมีองค์ฌานที่ยังเป็นของหยาบที่ต้องขจัดทิ้งอีกมากแม้แต่ตัวฌานเองก็เป็นของหยาบในชั้นสูงก็ต้องขจัดทิ้งเข้าสู่อรูปฌาน ดังนั้นตอนนี้เรายังไม่สำเร็จก็ต้องเริ่มจากพื้นฐานไปก่อน ไม่ใช่จะสร้างบ้านมาถึงก็จะทำหลังคาเลย ไม่สร้างเสาบ้านและคานก่อนเพราะเห็นว่ามีคานและเสาแล้วไม่สวย ถ้าเช่นนั้นบ้านนี้คงไม่มีวันเสร็จเป็นเที่ยงแท้แน่นอน ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่ามีผู้ฝึกสมถบางท่านติดในความสุข ก็ขอให้พิจารณาดูว่าจะนำข้อเขียนของข้าพเจ้าไปปรับใช้กับท่านอย่างไร ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า สุขที่ท่านว่านี้เป็นความคิดที่ท่านคิดเอาเอง หรือเกิดจากพลังสมาธิบันดาลให้เป็นไปกันแน่ เพราะสุขจากสมาธิอยากให้เกิดก็ไม่เกิด แต่จะเกิดเองเมื่อเราฝึกถูกต้อง และเกิดเป็นลำดับดังกล่าวแล้วข้างต้น หากมีผลดีประการใดข้าพเจ้าก็ขอโมทนาสาธุกับท่านครับ
คราวนี้มาถึงองค์ฌานที่ห้าของปฐมฌาน คือ เอกัคตา พูดง่าย ๆ ก็คือสมาธิ สมาธิก็คือการที่จิตมีอารมเดียวอย่างมั่นคง เป็นส่วนที่ยากที่สุดของการฝึก ยังมีการฝึกที่จะให้สำเร็จเป็นสามขั้นตอนในดวงนิมิต ดังนี้ เริ่มแรกเราจะต้องเลือกเอาว่าเราจะฝึกวิธีไหนจากพระกรรมฐานสี่สิบเมื่อเลือกแล้วก็เริ่มต้นฝึกกัน แต่ในที่นี้ข้าพเจ้าได้เลือกฝึกในกษิณธาตุน้ำ หรืออาโปกษิณเป็นหลัก และเรื่องที่เขียนมานี้ทั้งเรื่องก็มาจากประสบการณ์จริงที่ข้าพเจ้าฝึกมาเห็นอย่างไรรู้อย่างไรก็บอกไปตามที่เห็นไม่มีการแต่งเติมเสริมต่อแต่อย่างใด วัตถุประสงค์เพื่อเป็นธรรมทานเท่านั้น ที่จริงแล้วก็ว่าจะไม่เล่าให้ใครฟังแล้วแต่เห็นว่าข้าพเจ้าเริ่มจะแก่แล้วความรู้นี้หากไม่แพร่ออกไปคงต้องศูนย์ไปพร้อมกับสังขารของข้าพเจ้า ประกอบกับข้าพเจ้ามีโรคประจำตัวรุมเร้าหลายโรคคงจะอยู่อีกไม่นานแล้ว จึงได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านที่อ่านมาถึงตอนนี้คงพอจะนึกออกว่าไม่เคยเห็นใครที่อธิบายการฝึกกรรมฐานจากการฝึกฝนของตัวเองได้ละเอียดเช่นนี้มาก่อน คำพูดมาจากประสบการณ์จริงทุกคำ จะมีคำบาลีอยู่บ้างก็มาจากคัมภีร์พระวิสุทธิมรรค ของพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งเปรียบเหมือนพระอาจารย์ของข้าพเจ้า และมีพระอาจารย์อีกท่านหนึ่งของข้าพเจ้าที่สอนวิธีการเดินจงกลมให้ข้าพเจ้า
เมื่อแรกฝึกนั้นให้อาราธนาพระคาถาดังนี้ อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปริจจชามิ แปลว่า ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคข้าพระองค์เสียสละ คือว่ามอบเวนซึ่งอาตมาภาพนี้แก่สมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธองค์
หากเป็นพระอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่งให้อาราธนาดังนี้ อิมาหัง อันเต อัตตภาวังตุมหากัง ปริจจชามิ แปลว่า ข้าแต่อาจารย์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าเสียสละ คือว่ามอบกาย ซึ่งอาตมาภาพนี้แก่ท่าน
แล้วให้จัดทำดวงนิมิตขึ้นโดยใช้ขันล้างหน้าที่เป็นโลหะ ใส่น้ำให้เต็มขันเมื่อแรกไม่ชำนาญนั้นให้นั่งบนตั่งมีขาสูงหนึ่งศอกกับสี่นิ้วของผู้ฝึก ตั้งดวงนิมิตให้ห่างจากตั่ง สามศอกกับหนึ่งคืบของผู้ฝึก น้ำให้ใช้น้ำที่ใสสะอาดจริง ๆ ไม่มีสีใด ๆ เจือปนเพราะหากมีสีเจือปนเวลาเห็นดวงนิมิตจะมีกษิณโทษในนิมิตด้วยและทำลายยาก คำว่ากษิณโทษก็คือสีที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดในดวงนิมิตนั่นเอง ดวงนิมิตนี้ห้ามเล็กกว่าขันล้างหน้าแต่ไม่ใหญ่กว่าถาด เหตุเพราะถ้าเล็กไปเวลามองนิมิตก็จะไม่เห็นต้องเพ่งตามากก็จะไม่เป็นสมาธิ ใหญ่เกินไปก็มองกำหนดนิมิตไม่ทั่ว จิตรก็จะฟุ้งซ่านไม่เป็นสมาธิ สำหรับความสูงของตั่งก็เพื่อให้มองเห็นได้ถนัด ระยะห่างก็เพื่อไม่ให้เห็นกษิณโทษ แลถ้าใกล้ไปก็จะต้องก้มคอมากนั่งนาน ๆ ก็จะเข็ดคอ เมื่อได้ดวงนิมิตแล้ว อาราธนาแล้วให้ปลงจิตรให้เห็นความตายจนเยือกเย็น ว่าเราจะต้องตายอย่างแน่แท้จะต้องตายอย่างแน่นอน กามคุณนี้เป็นของต่ำเป็นของปุถุชนไม่อาจจะยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่านได้ เราจะรอดพ้นจากชราและมรณาได้ก็ด้วยวิธีนี้ พระอริยบุคคล พระอรหันตาขีณาสวทั้งปวงเจ้าก็ล้วนฝึกเช่นเดียวกันนี้ แล้วให้นั่งภาวนาไปว่า อาโป ร้อยครั้งพันครั้ง เวลามองดวงนิมิต ให้หรี่ตามองดวงนิมิต แล้วหลับตาหรี่ตาไปเช่นนี้จนกว่าจะเห็นดวงนิมิตโดยไม่ต้องมองอีก ทำได้เช่นนี้เรียกว่าดวงอุคหนิมิต เมื่อชำนาญในอุคหนิมิตแล้วให้หัดทำเป็นปฏิภาคนิมิต กล่าวคือ ให้หัดย่อและขยายดวงอุคหนิมิต และเคลื่อนดวงนิมิตไปให้ห่างแล้วกำหนดให้กลับเข้ามาใกล้ หัดทำจนชำนาญ ดวงปฏิภาคก็จะหายไปเกิดดวงฌานใสเหมือนพัดใบตาลแก้วลอยอยู่ในอากาศนี้คือดวงปฐมฌาน สำหรับดวงอุคหนิมิตนี้อาจมีกษิณโทษเจือปนบ้าง เช่นข้าพเจ้า กำหนดน้ำในน้ำตกที่คิดว่าใสสะอาดแล้วแต่ในนิมิตมีสีเทาดำของตะไคล่น้ำอยู่เป็นจุด ๆ ต้องฝึกไปกว่าจะใส และดวงนิมิตนี้เมื่อแรกเกิดจะใหวกระเพื่อมอยู่เหมือนน้ำไหล จะไม่อยู่นิ่ง ๆ ประคองนิมิตจนใสและนิ่งจริง ๆ ก่อนค่อยทำปฏิภาค ดวงนิมิตก็คือดวงฌาน ดวงฌานก็คือดวงนิมิตไม่อาจจะแยกจากกันได้ สำหรับข้าพเจ้าขณะนี้ฝึกได้ในชั้นอุคหนิมิต แล้ว หาก แม้นข้อเขียนนี้จะมีกุศลบังเกิดข้าพเจ้าขอถวาย เป็นพุทธบูชาแก่พระพุทธโฆษาจารย์ และพระอาจารย์ที่สอนวิธีเดินจงกลมให้แก่ข้าพเจ้า ท่านจะอยู่ ณ ที่ใด ขอให้รู้ว่าข้าพเจ้าสำนึกในพระคุณของท่านไม่เคยลืม ขอท่านจงมีแต่ความสุขความเจริญเถิด และขอผลบุญนี้จงส่งให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จฌานสมาบัติดังตั้งใจเถิด สำหรับการเดินจงกลม และวิธีฝึกข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังในคราวต่อไป จากนี้จะมาลงกระทู้อาทิตย์ละครั้งในทุกวันอาทิตย์
การกำหนดดวงนิมิตในสมาธิเป็นเช่นไร มีความสำคัญอย่างไร ตอนสอง
ในตอนที่แล้วเราได้ทราบถึงองค์ฌาน ตลอดจนประเภทของพระกรรมฐานไปแล้ว และได้เล่าถึงการเกิดขององค์ฌานปฐมมาได้สามประการก็ค้างไว้ ในตอนนี้จะได้เล่าถึงองค์ฌานที่เหลืออีกสององค์คือสุข กับเอกัคตา สำหรับการเริ่มและวิธีฝึกฝนทั้งหมดจะได้กล่าวไว้ในส่วนคำอธิบายของเอกัคตาตลอดจนการกำหนดดวงนิมิตว่าทำอย่างไรต่อไป
ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่ามีคนกล่าวว่าคนที่ฝึกสำเร็จจะรู้ได้ด้วยตนเองว่าสำเร็จหรือไม่ ผู้อื่นไม่สามารถล่วงรู้ได้ คำกล่าวนี้เป็นจริงได้อยู่สองลักษณะ หนึ่งเป็นจริง กับสองเป็นลวงเพื่อหวังผลทางอามิสที่จะได้รับเพราะผู้ที่ปฏิบัติตนจนสำเร็จฌานได้นี้จะได้รับความเคารพนับถือจากบุคคลโดยทั่วไป เราท่านเมื่อทราบการเกิดขององค์ฌานแล้วคงพอจะพิจารณาได้ว่าท่านที่สนทนาอยู่กับท่านนี้นะสำเร็จในขั้นใด ถ้าตอบไม่ได้คราวนี้ก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน
เล่ามาถึงตอนนี้แล้วจะขอกล่าวถึงคำว่าปัญญาไว้สักเล็กน้อย ปัญญาในทางพุทธศาสนานี้ไม่ใช่ปัญญาที่เรา ๆ ท่าน ๆ เข้าใจกันว่าเลขหนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง หรือสองบวกสองเป็นสี่เช่นนี้ไม่ใช่ปัญญาทางพระพุทธศาสนา แต่เป็นการใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหาในทางโลก ปัญญาในพุทธศาสนาเกิดจากการฝึกสมาธิและใช้ความสามารถนี้ในการทำลายกิเลศได้เรียกว่าปัญญา สำหรับปัญญาในพระสมถกรรมฐานนี้จะทำลายกิเลศได้เช่นกันแต่เป็นการชั่วคราว ในเวลาที่อยู่ในฌานเท่านั้นดังนั้นจะเห็นได้ว่าท่านเหล่านี้มักเข้าฌานอยู่ครั้งละนาน ๆ อาจจะเป็นหลายวันหรือเป็นเดือนเลยก็มี เพราะฌานกับกิเลศไม่อาจเกิดพร้อมกันได้ มีฌานได้ต้องไม่มีกิเลศ มีกิเลศฌานก็ไม่เกิด และเราไม่ต้องใช้ความคิดของปุถุชนมาตัดกิเลศ การเข้าฌานเป็นการตัดกิเลศอยู่แล้วในตัวเองขอให้พิจารณาดูเถิด เมื่อออกจากฌานแล้วก็จะเป็นเช่นคนธรรมดาทั่วไป มีโลภ โกรธ หลง กามราคะได้เช่นปุถุชนธรรมดา แต่เกิดได้ยากกว่าเนื่องจากมีจิตรที่ข่มไว้ แต่หากเกิดขึ้นเมื่อใด ฌานที่ฝึกได้ก็จะเสื่อมไป ดังนั้นผู้ที่ฝึกฌานได้จะต้องพยายามรักษาไว้ ประดุจนางแก้วรักษาครรภ์อันจะเกิดโอรสผู้เป็นพระมหาจักรพรรดิต่อไป ฌานที่เสื่อมยากที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญไว้คือฌานที่ฝึกจากอสุภทั้งสิบวิธี แต่สำหรับฌานวิปัสสนากรรมฐานนั้นจะยกตนผู้ฝึกเข้าสู่พระอริยบุคคลซึ่งมีด้วยกันสี่คู่รวมแปดบุรุษ นับแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์เป็นที่สุด และการยกตนเป็นพระอริยบุคคลนี้จะเป็นการถาวร กล่าวคือจิตรจะตัดกิเลสสิ้นเชิง ส่วนจะตัดได้แค่ไหนเพียงไรขึ้นอยู่กับว่าสำเร็จได้ถึงขั้นไหนในแปดบุรุษนี้ มีเพียงบุรุษเดียวที่ยังกลับคืนสู่บุคคลธรรมดาได้คือพระโสดาบันเท่านั้น แต่พระอริยะท่านอื่น ๆ นั้น กล่าวได้ว่าสำเร็จธรรมขั้นสูงสุดที่มนุษย์จะฝึกได้แล้ว จะไม่กลับไปสู่จิตรของปุถุชนอีก ยกตัวอย่างเช่นสมมุติว่าเราเรียนจบปริญญาเอกแล้วในสาขาวิชานิติศาสตร์บัณฑิต แสดงว่าเราจบปริญญาตรี และปริญญาโทในสาขาวิชานั้นแล้วด้วย จะขอกลับมาเรียนปริญญาตรีในสาขาวิชานิติศาสตร์อีกก็คงจะไม่ได้ หรือมิเช่นนั้นบุคคลผู้สำเร็จพระอรหันต์จะขอเกิดอีกในชาติต่อไปก็เป็นไปไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น สำหรับฌานวิปัสสนานี้นั้น อธิบายให้ง่ายก็คืออรูปฌานชนิดหนึ่งที่เกิดจากพลังสมาธิบันดาลให้เป็นไปซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้คันพบ มีทั้งหมดห้าฌานด้วยกัน บุคคลที่จะยกตนให้พ้นจากวัฏสงสารจะต้องฝึกจนสำเร็จทั้งห้าฌานนี้ประกอบกันจึงจะเป็นไปตามประสงค์ ต่างจากฌานสมถที่เมื่อฝึกแล้วในลำดับที่สูงขึ้นก็จะใช้ฌานที่สูงกว่ายิ่ง ๆ ขึ้นไปเพียงฌานเดียว แต่ฌานในวิปัสสนานั้นจะต้องฝึกทุกฌานและกำหนดพร้อมกันทุกฌานจึงจะยกตนพ้นจากวัฏสงสารได้ ในส่วนของรายละเอียดข้าพเจ้าจะได้กล่าวในโอกาสต่อ ๆ ไป
สำหรับองค์ฌานที่สี่ของปฐมฌาน จะบังเกิดขึ้นภายหลังจากองค์ฌานทั้งสามปรากฏในลำดับถัดจากองค์ชาญที่สาม จะบังเกิดขึ้นแบบนี้ เมื่อจิตรสงบนิ่งแล้วจะมีความรู้สึกสัมผัสได้จากการรับรู้ของจิตว่ามีความสบายอกสบายใจจิตรโล่ง อาการปวดเมื่อยหรือเจ็บปวดตามข้อตามเข่าตามตัวไม่มีเลยโล่งหมด จิตรสงบแบบที่ไม่เคยพบมาก่อน เป็นความสุขที่เกิดจากความสงบมีพลังชุ่มชื่นมาก ขณะนั้นจะมีแต่จิตร กับสมาธิที่มั่นคงอยู่เท่านั้น ไม่เห็นว่ามีร่างกายอยู่ตรงไหนลองหาดูว่าจะขยับนิ้วอย่างไร แต่พอเรารู้สึกและรับรู้อารมแบบนี้จิตรก็จะกลับออกจากสมาธินั้นทันที ข้าพเจ้าเป็นคนพอจะมีความรู้อยู่บ้างจึงลองทดสอบดูเป็นหลายครั้ง ปรากฏว่าให้ผลเหมือนเดิม จึงคิดหาเหตุผลอยู่นานว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เพราะอย่างไรก็ถามใครไม่ได้อยู่แล้ว
จนในที่สุดก็ได้คำตอบว่า จิตรมนุษย์นี้รับรู้ได้คราวละอารมเดียวเท่านั้น เมื่อเรายอมรับอารมหนึ่งแล้วอีกอารมก็ต้องหายไปเป็นธรรมดา เมื่อเรายอมรับความสุขที่เกิดขึ้นจากความสงบนี้แล้ว หรือใช้จิตรไปรับรู้อารมของการขยับร่างกาย อารมที่เราภาวนาอยู่ก็ต้องหมดไปจิตรจึงเลือกที่จะกลับสู่จิตรของปุถุชนธรรมเช่นนี้ คือคำตอบ การฝึกสมาธิก็คือการทำให้จิตรตั้งมั่นอยู่ในอารมเดียวอย่างมั่นคง บางคนอาจจะถามว่าการยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยง ก็ถูกต้อง แต่อย่าลืมว่าตอนนี้เรายังอยู่ในการฝึกเริ่มต้นของปฐมฌานเท่านั้น ยังมีองค์ฌานที่ยังเป็นของหยาบที่ต้องขจัดทิ้งอีกมากแม้แต่ตัวฌานเองก็เป็นของหยาบในชั้นสูงก็ต้องขจัดทิ้งเข้าสู่อรูปฌาน ดังนั้นตอนนี้เรายังไม่สำเร็จก็ต้องเริ่มจากพื้นฐานไปก่อน ไม่ใช่จะสร้างบ้านมาถึงก็จะทำหลังคาเลย ไม่สร้างเสาบ้านและคานก่อนเพราะเห็นว่ามีคานและเสาแล้วไม่สวย ถ้าเช่นนั้นบ้านนี้คงไม่มีวันเสร็จเป็นเที่ยงแท้แน่นอน ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาว่ามีผู้ฝึกสมถบางท่านติดในความสุข ก็ขอให้พิจารณาดูว่าจะนำข้อเขียนของข้าพเจ้าไปปรับใช้กับท่านอย่างไร ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า สุขที่ท่านว่านี้เป็นความคิดที่ท่านคิดเอาเอง หรือเกิดจากพลังสมาธิบันดาลให้เป็นไปกันแน่ เพราะสุขจากสมาธิอยากให้เกิดก็ไม่เกิด แต่จะเกิดเองเมื่อเราฝึกถูกต้อง และเกิดเป็นลำดับดังกล่าวแล้วข้างต้น หากมีผลดีประการใดข้าพเจ้าก็ขอโมทนาสาธุกับท่านครับ
คราวนี้มาถึงองค์ฌานที่ห้าของปฐมฌาน คือ เอกัคตา พูดง่าย ๆ ก็คือสมาธิ สมาธิก็คือการที่จิตมีอารมเดียวอย่างมั่นคง เป็นส่วนที่ยากที่สุดของการฝึก ยังมีการฝึกที่จะให้สำเร็จเป็นสามขั้นตอนในดวงนิมิต ดังนี้ เริ่มแรกเราจะต้องเลือกเอาว่าเราจะฝึกวิธีไหนจากพระกรรมฐานสี่สิบเมื่อเลือกแล้วก็เริ่มต้นฝึกกัน แต่ในที่นี้ข้าพเจ้าได้เลือกฝึกในกษิณธาตุน้ำ หรืออาโปกษิณเป็นหลัก และเรื่องที่เขียนมานี้ทั้งเรื่องก็มาจากประสบการณ์จริงที่ข้าพเจ้าฝึกมาเห็นอย่างไรรู้อย่างไรก็บอกไปตามที่เห็นไม่มีการแต่งเติมเสริมต่อแต่อย่างใด วัตถุประสงค์เพื่อเป็นธรรมทานเท่านั้น ที่จริงแล้วก็ว่าจะไม่เล่าให้ใครฟังแล้วแต่เห็นว่าข้าพเจ้าเริ่มจะแก่แล้วความรู้นี้หากไม่แพร่ออกไปคงต้องศูนย์ไปพร้อมกับสังขารของข้าพเจ้า ประกอบกับข้าพเจ้ามีโรคประจำตัวรุมเร้าหลายโรคคงจะอยู่อีกไม่นานแล้ว จึงได้เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านที่อ่านมาถึงตอนนี้คงพอจะนึกออกว่าไม่เคยเห็นใครที่อธิบายการฝึกกรรมฐานจากการฝึกฝนของตัวเองได้ละเอียดเช่นนี้มาก่อน คำพูดมาจากประสบการณ์จริงทุกคำ จะมีคำบาลีอยู่บ้างก็มาจากคัมภีร์พระวิสุทธิมรรค ของพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งเปรียบเหมือนพระอาจารย์ของข้าพเจ้า และมีพระอาจารย์อีกท่านหนึ่งของข้าพเจ้าที่สอนวิธีการเดินจงกลมให้ข้าพเจ้า
เมื่อแรกฝึกนั้นให้อาราธนาพระคาถาดังนี้ อิมาหัง ภควา อัตตภาวัง ตุมหากัง ปริจจชามิ แปลว่า ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคข้าพระองค์เสียสละ คือว่ามอบเวนซึ่งอาตมาภาพนี้แก่สมเด็จพระสรรเพชญ์พุทธองค์
หากเป็นพระอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่งให้อาราธนาดังนี้ อิมาหัง อันเต อัตตภาวังตุมหากัง ปริจจชามิ แปลว่า ข้าแต่อาจารย์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าเสียสละ คือว่ามอบกาย ซึ่งอาตมาภาพนี้แก่ท่าน
แล้วให้จัดทำดวงนิมิตขึ้นโดยใช้ขันล้างหน้าที่เป็นโลหะ ใส่น้ำให้เต็มขันเมื่อแรกไม่ชำนาญนั้นให้นั่งบนตั่งมีขาสูงหนึ่งศอกกับสี่นิ้วของผู้ฝึก ตั้งดวงนิมิตให้ห่างจากตั่ง สามศอกกับหนึ่งคืบของผู้ฝึก น้ำให้ใช้น้ำที่ใสสะอาดจริง ๆ ไม่มีสีใด ๆ เจือปนเพราะหากมีสีเจือปนเวลาเห็นดวงนิมิตจะมีกษิณโทษในนิมิตด้วยและทำลายยาก คำว่ากษิณโทษก็คือสีที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดในดวงนิมิตนั่นเอง ดวงนิมิตนี้ห้ามเล็กกว่าขันล้างหน้าแต่ไม่ใหญ่กว่าถาด เหตุเพราะถ้าเล็กไปเวลามองนิมิตก็จะไม่เห็นต้องเพ่งตามากก็จะไม่เป็นสมาธิ ใหญ่เกินไปก็มองกำหนดนิมิตไม่ทั่ว จิตรก็จะฟุ้งซ่านไม่เป็นสมาธิ สำหรับความสูงของตั่งก็เพื่อให้มองเห็นได้ถนัด ระยะห่างก็เพื่อไม่ให้เห็นกษิณโทษ แลถ้าใกล้ไปก็จะต้องก้มคอมากนั่งนาน ๆ ก็จะเข็ดคอ เมื่อได้ดวงนิมิตแล้ว อาราธนาแล้วให้ปลงจิตรให้เห็นความตายจนเยือกเย็น ว่าเราจะต้องตายอย่างแน่แท้จะต้องตายอย่างแน่นอน กามคุณนี้เป็นของต่ำเป็นของปุถุชนไม่อาจจะยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่านได้ เราจะรอดพ้นจากชราและมรณาได้ก็ด้วยวิธีนี้ พระอริยบุคคล พระอรหันตาขีณาสวทั้งปวงเจ้าก็ล้วนฝึกเช่นเดียวกันนี้ แล้วให้นั่งภาวนาไปว่า อาโป ร้อยครั้งพันครั้ง เวลามองดวงนิมิต ให้หรี่ตามองดวงนิมิต แล้วหลับตาหรี่ตาไปเช่นนี้จนกว่าจะเห็นดวงนิมิตโดยไม่ต้องมองอีก ทำได้เช่นนี้เรียกว่าดวงอุคหนิมิต เมื่อชำนาญในอุคหนิมิตแล้วให้หัดทำเป็นปฏิภาคนิมิต กล่าวคือ ให้หัดย่อและขยายดวงอุคหนิมิต และเคลื่อนดวงนิมิตไปให้ห่างแล้วกำหนดให้กลับเข้ามาใกล้ หัดทำจนชำนาญ ดวงปฏิภาคก็จะหายไปเกิดดวงฌานใสเหมือนพัดใบตาลแก้วลอยอยู่ในอากาศนี้คือดวงปฐมฌาน สำหรับดวงอุคหนิมิตนี้อาจมีกษิณโทษเจือปนบ้าง เช่นข้าพเจ้า กำหนดน้ำในน้ำตกที่คิดว่าใสสะอาดแล้วแต่ในนิมิตมีสีเทาดำของตะไคล่น้ำอยู่เป็นจุด ๆ ต้องฝึกไปกว่าจะใส และดวงนิมิตนี้เมื่อแรกเกิดจะใหวกระเพื่อมอยู่เหมือนน้ำไหล จะไม่อยู่นิ่ง ๆ ประคองนิมิตจนใสและนิ่งจริง ๆ ก่อนค่อยทำปฏิภาค ดวงนิมิตก็คือดวงฌาน ดวงฌานก็คือดวงนิมิตไม่อาจจะแยกจากกันได้ สำหรับข้าพเจ้าขณะนี้ฝึกได้ในชั้นอุคหนิมิต แล้ว หาก แม้นข้อเขียนนี้จะมีกุศลบังเกิดข้าพเจ้าขอถวาย เป็นพุทธบูชาแก่พระพุทธโฆษาจารย์ และพระอาจารย์ที่สอนวิธีเดินจงกลมให้แก่ข้าพเจ้า ท่านจะอยู่ ณ ที่ใด ขอให้รู้ว่าข้าพเจ้าสำนึกในพระคุณของท่านไม่เคยลืม ขอท่านจงมีแต่ความสุขความเจริญเถิด และขอผลบุญนี้จงส่งให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จฌานสมาบัติดังตั้งใจเถิด สำหรับการเดินจงกลม และวิธีฝึกข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังในคราวต่อไป จากนี้จะมาลงกระทู้อาทิตย์ละครั้งในทุกวันอาทิตย์