อ่านบทความของคุณเนาวรัตน์ระยะหลังๆ นี่ชักจะยังไงๆ คือไม่แน่ใจว่าผู้อ่านคือตัวผมเองเพี้ยนผิดแปลกไปหรือคนเขียนคือคุณเนาวรัตน์เพี้ยนกันแน่?? อย่างอันล่าสุด “ประชาธิปไตยไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่”?? คุณเนาวรัตน์เขียนแจกแจงความหมายของศัพท์อย่างดี ขึ้นต้นท่านก็แปลตามศัพท์ให้ว่า “อำนาจประชาชนเป็นใหญ่” จากนั้นก็ชักแม่น้ำทั้งห้า(เพื่อเขียนให้เต็มกรอบคอลัมน์ที่เขาให้โควต้า??) แล้วมาตบท้ายด้วยประโยคว่า “โปรดฟังอีกครั้ง” ว่า ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่โดยแท้......?? มันออกจะขัดแย้งกันอยู่นะท่าน นอกเหนือจากที่ต้องเขียนให้เต็มหน้าคอลัมน์แล้ว ผมไม่เข้าใจและมองไม่เห็นความจำเป็นอะไรเลยที่คุณเนาวรัตน์จะต้องมาอธิบายชี้แจงความหมายของคำว่าประชาธิปไตยด้วยตรรกะเพี้ยนๆ และขัดแยังกันเองในระหว่างบรรทัดอย่างนี้??
คือมันเป็นคำสองคำที่นำมาสนธิกันแบบง่ายๆ คือ ประชา + อธิปเตยฺย = ประชาธิปไตย เช่นนี้จะไม่ให้แปลว่าประชาชนเป็นใหญ่จะให้แปลว่าอย่างไร? อย่างคำว่า “ราชาธิปไตย” คุณจะให้แปลว่าอย่างไร? ส่วนไอ้คำว่า “ปรารภ” (ความเป็นใหญ่) นั้น คุณเนาวรัตน์ก็ช่างสรรหาคำมาสอดแทรกทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยากแล้วตีความหมายผิดแผกไป คำว่าอธิปไตยนั้นแปลว่า “ความเป็นใหญ่” เห็นมีในหนังสือธรรมวิภาค (นักธรรมชั้นโท) ของท่านพระครูสังฆกิจวิสุทธิ์ ในหมวด ๓ เท่านั้นแหละที่พูดถึงคำว่า “ปรารภ” นิดหน่อย แต่ถัดลงไปไม่กี่บรรทัดท่านก็อธิบายว่าก็คือการเป็นใหญ่อยู่ดี ไม่เข้าใจว่าคุณเนาวรัตน์ไปคว้าเอาคำว่าปรารภ คำว่าโลกีย์ มาอธิบายให้มันซับซ้อนลงไปอีกทำไม? อย่าลืมว่าเป็นถึงศิลปินด้านภาษาระดับชาติ???
การที่จะตีความหมายของคำต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้นตั้งอยู่บนฐานที่เรียกการใช้ “มโนทัศน์” มโนทัศน์ที่จะใช้ตีความหมายในแต่ละคำของมนุษย์มีอยู่สองประเภทคือ มโนทัศน์เดี่ยว(Single Vision) และ มโนทัศน์รวม(Multi Vision) คำบางคำมีความหมายอยู่ในตัวมันเองโดยไม่ต้องหาคำอธิบายอื่นมาเสริมให้ยุ่งยาก เช่นคำว่า แดง กลม เปรี้ยว ฯลฯ คำเหล่านี้เราใช้มโนทัศน์เดี่ยวตีความหมายก็รับรู้ได้ทันที เช่นถามว่ากลมคืออะไร? คำตอบก็คือกลม ส่วนคำที่เราต้องใช้มโนทัศน์รวมตีความหมายก็คือคำนามต่างๆ เช่น ว่า สะพาน โรงเรียน วัด ฯลฯ เช่นเมื่อถามว่า วัดคืออะไร คนที่จะตอบ(คือตีความหมายของคำว่าวัด)ก็ตอบบนพื้นฐานของมโนทัศน์รวม(กระบวนการคิด) เช่นว่า วัดคือสถานที่พระสงฆ์อาศัย ซึ่งนั่นก็ถูก หรือหากจะตอบไปแบบก็ได้ว่าวัดคือสถานที่สาธารณะ และนั่นก็ถูกอีกเช่นกัน อันนี้เขาเรียกว่าการใช้มโนทัศน์รวมตีความหมายของคำๆ หนึ่ง เหมือนนิทานเรื่องตาบอดคลำช้างนั่นแหละครับ คลำช้างตัวเดียวกัน แต่ตีความหมายไปคนละแบบ
คำว่าประชาธิปไตย นี่ก็เช่นกัน....คุณเนาวรัตน์ใช้มโนทัศน์รวม(ของคุณเนาวรัตน์เอง)ตีความหมายแบบชักแม่น้ำทั้งห้าที่เต็มไปด้วยผักบุ้งโหรงเหรงอย่างนี้น่าเป็นห่วงไม่น้อย แน่ล่ะ...คนตาบอดคลำช้างเสร็จแล้วมาอธิบายลักษณะของช้างตามที่ตัวเองเห็นด้วยมโนทัศน์ไม่ผิดฉันใด คุณเนาวรัตน์เองก็ไม่ผิดฉันนั้นที่ตีความหมายคำว่าประชาธิปไตยตามมโนทัศน์ของคุณ แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือสถานะของคุณเนาวรัตน์ที่เป็นถึงสปช. และเป็นถึงกวีเอก ซึ่งเป็นที่น่าเชื่อว่าแตกฉานเรื่องศัพท์และความหมาย แล้วจู่ๆ ก็มาตีความหมายคำว่าประชาธิปไตยซะอย่างนี้เสียแล้ว.....น่าเป็นห่วงจริงๆ
คุณเนาวรัตน์ขอรับ...คนทั่วๆ ไปเขาก็รู้กันทั้งนั้นล่ะว่าคุณมีจุดยืนทางการเมืองอย่างไร และก็ไม่เป็นที่น่าจะแปลกอะไร ที่จู่ๆ คุณก็มาตีความหมายคำว่าประชาธิปไตยเพี้ยนๆ อย่างนี้ นี่ก็เท่ากับว่าคุณกำลังตอกย้ำมุมมองของคุณที่เป็น “ทิฏฐุปาทาน” (แปลว่าอย่างไรลองค้นเอานะครับคุณเนาวรัตน์)ให้หนักแน่นลงไปอีก......
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437560777
ถึงเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ๒ "ประชาธิปไตยไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่"
คือมันเป็นคำสองคำที่นำมาสนธิกันแบบง่ายๆ คือ ประชา + อธิปเตยฺย = ประชาธิปไตย เช่นนี้จะไม่ให้แปลว่าประชาชนเป็นใหญ่จะให้แปลว่าอย่างไร? อย่างคำว่า “ราชาธิปไตย” คุณจะให้แปลว่าอย่างไร? ส่วนไอ้คำว่า “ปรารภ” (ความเป็นใหญ่) นั้น คุณเนาวรัตน์ก็ช่างสรรหาคำมาสอดแทรกทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยากแล้วตีความหมายผิดแผกไป คำว่าอธิปไตยนั้นแปลว่า “ความเป็นใหญ่” เห็นมีในหนังสือธรรมวิภาค (นักธรรมชั้นโท) ของท่านพระครูสังฆกิจวิสุทธิ์ ในหมวด ๓ เท่านั้นแหละที่พูดถึงคำว่า “ปรารภ” นิดหน่อย แต่ถัดลงไปไม่กี่บรรทัดท่านก็อธิบายว่าก็คือการเป็นใหญ่อยู่ดี ไม่เข้าใจว่าคุณเนาวรัตน์ไปคว้าเอาคำว่าปรารภ คำว่าโลกีย์ มาอธิบายให้มันซับซ้อนลงไปอีกทำไม? อย่าลืมว่าเป็นถึงศิลปินด้านภาษาระดับชาติ???
การที่จะตีความหมายของคำต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้นตั้งอยู่บนฐานที่เรียกการใช้ “มโนทัศน์” มโนทัศน์ที่จะใช้ตีความหมายในแต่ละคำของมนุษย์มีอยู่สองประเภทคือ มโนทัศน์เดี่ยว(Single Vision) และ มโนทัศน์รวม(Multi Vision) คำบางคำมีความหมายอยู่ในตัวมันเองโดยไม่ต้องหาคำอธิบายอื่นมาเสริมให้ยุ่งยาก เช่นคำว่า แดง กลม เปรี้ยว ฯลฯ คำเหล่านี้เราใช้มโนทัศน์เดี่ยวตีความหมายก็รับรู้ได้ทันที เช่นถามว่ากลมคืออะไร? คำตอบก็คือกลม ส่วนคำที่เราต้องใช้มโนทัศน์รวมตีความหมายก็คือคำนามต่างๆ เช่น ว่า สะพาน โรงเรียน วัด ฯลฯ เช่นเมื่อถามว่า วัดคืออะไร คนที่จะตอบ(คือตีความหมายของคำว่าวัด)ก็ตอบบนพื้นฐานของมโนทัศน์รวม(กระบวนการคิด) เช่นว่า วัดคือสถานที่พระสงฆ์อาศัย ซึ่งนั่นก็ถูก หรือหากจะตอบไปแบบก็ได้ว่าวัดคือสถานที่สาธารณะ และนั่นก็ถูกอีกเช่นกัน อันนี้เขาเรียกว่าการใช้มโนทัศน์รวมตีความหมายของคำๆ หนึ่ง เหมือนนิทานเรื่องตาบอดคลำช้างนั่นแหละครับ คลำช้างตัวเดียวกัน แต่ตีความหมายไปคนละแบบ
คำว่าประชาธิปไตย นี่ก็เช่นกัน....คุณเนาวรัตน์ใช้มโนทัศน์รวม(ของคุณเนาวรัตน์เอง)ตีความหมายแบบชักแม่น้ำทั้งห้าที่เต็มไปด้วยผักบุ้งโหรงเหรงอย่างนี้น่าเป็นห่วงไม่น้อย แน่ล่ะ...คนตาบอดคลำช้างเสร็จแล้วมาอธิบายลักษณะของช้างตามที่ตัวเองเห็นด้วยมโนทัศน์ไม่ผิดฉันใด คุณเนาวรัตน์เองก็ไม่ผิดฉันนั้นที่ตีความหมายคำว่าประชาธิปไตยตามมโนทัศน์ของคุณ แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือสถานะของคุณเนาวรัตน์ที่เป็นถึงสปช. และเป็นถึงกวีเอก ซึ่งเป็นที่น่าเชื่อว่าแตกฉานเรื่องศัพท์และความหมาย แล้วจู่ๆ ก็มาตีความหมายคำว่าประชาธิปไตยซะอย่างนี้เสียแล้ว.....น่าเป็นห่วงจริงๆ
คุณเนาวรัตน์ขอรับ...คนทั่วๆ ไปเขาก็รู้กันทั้งนั้นล่ะว่าคุณมีจุดยืนทางการเมืองอย่างไร และก็ไม่เป็นที่น่าจะแปลกอะไร ที่จู่ๆ คุณก็มาตีความหมายคำว่าประชาธิปไตยเพี้ยนๆ อย่างนี้ นี่ก็เท่ากับว่าคุณกำลังตอกย้ำมุมมองของคุณที่เป็น “ทิฏฐุปาทาน” (แปลว่าอย่างไรลองค้นเอานะครับคุณเนาวรัตน์)ให้หนักแน่นลงไปอีก......
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437560777