อ้างอิงจาก "ใต้ร่มธงเดือนตุลา" ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ หนังสือพิมมติชนสุดสัปดาห์ประจำ๑๗-๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๗
คำว่า “ธรรม” ที่คนไทยใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยในทุกวันนี้ ผมไม่แน่ใจว่าคนไทย(รวมถึงตัวผมเองและคุณเนาวรัตน์ด้วย)จะเข้าใจความหมายจริงๆ และลึกซึ้งแค่ไหน ในฐานะที่ผ่านการบวชเรียนเหมือนคุณเนาวรัตน์มาบ้าง ผมถูกสอนมาว่า...คำว่า “ธรรม” เป็นคำกลางๆ ที่แปลว่า “สภาพที่ดำรงอยู่” หรือถ้าแปลลงไปอีกชั้นให้ความหมายกระชับขึ้นก็คือ “ความจริง”
“ความจริง” หรือ “สภาพที่ดำรงอยู่” คือธรรม เช่น น้ำย่อมไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ นี่คือความจริง คือสภาพที่ดำรงอยู่ และคือธรรม(จะเรียกธรรมชาติก็ได้)......ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว คือความจริง คือสภาพที่ดำรงอยู่ และคือธรรม (นั่นก็คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบไม่ใช่บัญญัติขึ้นเอง) เช่นนี้แล้ว...จึงไม่น่าจะยากเลยที่จะรู้ว่าอะไรเป็นธรรมอะไรไม่เป็นธรรม อะไรคือความจริงนั่นแหละธรรม อะไรที่ไม่เป็นจริงถูกบิดเบือนนั่นแหละไม่เป็นธรรม ผมไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติ สปช.และ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ถึงกับวิตกว่า “จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นธรรม”?? หรือนั่นเป็นเพราะว่า “อคติ” และตำแหน่ง สปช. อันทรงเกียรติที่เขากำนัลให้ มันบังตาและย้อมใจเสียมืดมนจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรมอะไรไม่เป็นธรรม??
“การต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมนั้นเป็นเรื่องไม่ยาก” ไม่อยากจะเชื่ออีกเป็นครั้งที่สองว่านี่เป็นคำพูดของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ อยากบอกในฐานะคนเคยบวชมาด้วยกันว่าที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกบวชเป็นดาบสเป็นเวลาหกปีนั้น พระองค์ทรงต้องต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมแทบจะสิ้นพระชนม์กว่าได้มาซึ่ง “ธรรม” หรือที่เรียกว่า “สัจจธรรม”นั้น ถ้าคุณเนาวรัตน์บอกว่าไม่ยาก....ก็ต้องชมเก่งเกินพระสมณโคดมจริงๆ.....และที่โลกสับสนอลหม่านอยู่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุมาจากการพยายามต่อสู้ในเรื่องที่ไม่เป็นธรรมเป็นส่วนใหญ่....ตรงนี้คุณเนาวรัตน์เห็นว่าไม่ยาก น่าจะลองเสนอตัวไปเป็นเจ้าหน้าที่UN ดูสิครับ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพคงอยู่ไม่เกินเอื้อม
ตรงๆ เลยนะครับคุณเนาวรัตน์..... เขาตบรางวัลให้คุณเป็นสปช. ก็ขอให้ตั้งใจทำหน้าที่บนความชอบธรรมเถอะครับ อย่ามาเสียเวลาเล่นเลียเขาออกหน้าออกตามาอย่างนี้...เพราะอาจจะทำให้ลิ้นคุณกระดากหนักไปกว่าเดิมได้....พาลจะเกิดโรค “พูดไม่กระดากลิ้น” เอาได้...เป็นห่วงอ่ะ
อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่าคำว่า “ธรรม” เป็นคำกลางๆ เมื่อถูกใช้ร่วมกับคำอื่นๆ ความหมายก็จะเอนไปตามคำนั้นๆ ไม่ว่าเชิงลบหรือบวก เช่น อธรรม ยุติธรรม/อยุติธรรม อารยธรรม วัฒนธรรม ฯลฯ แต่ในที่นี้ผมอยากจะตีวงแคบมาโยงคำว่า "ธรรม" มาที่ “การเมือง” เพราะบริบทในคอลัมน์ของคุณเนาวรัตน์พูดถึงการเมือง ในพุทธศาสนามีคำๆ หนึ่งที่แวดวงการเมืองหยิบมาใช้นั่นก็คือคำว่า “ธรรมาธิปไตย” (เป็นคำสมาสระหว่าง ธรรม+อธิปไตย) ซึ่งแปลว่า การยึดเอาธรรม(ความจริง)เป็นใหญ่ ซึ่งต่างจากกับคำว่า “อัตตาธิปไตย” หมายถึงเอาตัวเองเป็นใหญ่ และตรงข้ามกับคำว่า “ประชาธิปไตย” อันหมายถึงเอาประชาชนเป็นใหญ่ .....ผมดึงคำสามคำเหล่านี้มาพูดก็หวังว่าคนอย่างคุณเนาวรัตน์คงพอจะเข้าใจนะ แต่ถ้าไม่เข้าใจ....ก็ขอให้ยอมรับว่าตัวเองโง่ แล้วผมจะได้อนุเคราะห์ในรายละเอียดอีกทีหนึ่ง
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ “การต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมนั้นเป็นเรื่องไม่ยาก เรื่องที่ยากจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นธรรม"
คำว่า “ธรรม” ที่คนไทยใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยในทุกวันนี้ ผมไม่แน่ใจว่าคนไทย(รวมถึงตัวผมเองและคุณเนาวรัตน์ด้วย)จะเข้าใจความหมายจริงๆ และลึกซึ้งแค่ไหน ในฐานะที่ผ่านการบวชเรียนเหมือนคุณเนาวรัตน์มาบ้าง ผมถูกสอนมาว่า...คำว่า “ธรรม” เป็นคำกลางๆ ที่แปลว่า “สภาพที่ดำรงอยู่” หรือถ้าแปลลงไปอีกชั้นให้ความหมายกระชับขึ้นก็คือ “ความจริง”
“ความจริง” หรือ “สภาพที่ดำรงอยู่” คือธรรม เช่น น้ำย่อมไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ นี่คือความจริง คือสภาพที่ดำรงอยู่ และคือธรรม(จะเรียกธรรมชาติก็ได้)......ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว คือความจริง คือสภาพที่ดำรงอยู่ และคือธรรม (นั่นก็คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบไม่ใช่บัญญัติขึ้นเอง) เช่นนี้แล้ว...จึงไม่น่าจะยากเลยที่จะรู้ว่าอะไรเป็นธรรมอะไรไม่เป็นธรรม อะไรคือความจริงนั่นแหละธรรม อะไรที่ไม่เป็นจริงถูกบิดเบือนนั่นแหละไม่เป็นธรรม ผมไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติ สปช.และ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ถึงกับวิตกว่า “จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นธรรม”?? หรือนั่นเป็นเพราะว่า “อคติ” และตำแหน่ง สปช. อันทรงเกียรติที่เขากำนัลให้ มันบังตาและย้อมใจเสียมืดมนจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรมอะไรไม่เป็นธรรม??
“การต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมนั้นเป็นเรื่องไม่ยาก” ไม่อยากจะเชื่ออีกเป็นครั้งที่สองว่านี่เป็นคำพูดของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ อยากบอกในฐานะคนเคยบวชมาด้วยกันว่าที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงออกบวชเป็นดาบสเป็นเวลาหกปีนั้น พระองค์ทรงต้องต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมแทบจะสิ้นพระชนม์กว่าได้มาซึ่ง “ธรรม” หรือที่เรียกว่า “สัจจธรรม”นั้น ถ้าคุณเนาวรัตน์บอกว่าไม่ยาก....ก็ต้องชมเก่งเกินพระสมณโคดมจริงๆ.....และที่โลกสับสนอลหม่านอยู่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุมาจากการพยายามต่อสู้ในเรื่องที่ไม่เป็นธรรมเป็นส่วนใหญ่....ตรงนี้คุณเนาวรัตน์เห็นว่าไม่ยาก น่าจะลองเสนอตัวไปเป็นเจ้าหน้าที่UN ดูสิครับ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพคงอยู่ไม่เกินเอื้อม
ตรงๆ เลยนะครับคุณเนาวรัตน์..... เขาตบรางวัลให้คุณเป็นสปช. ก็ขอให้ตั้งใจทำหน้าที่บนความชอบธรรมเถอะครับ อย่ามาเสียเวลาเล่นเลียเขาออกหน้าออกตามาอย่างนี้...เพราะอาจจะทำให้ลิ้นคุณกระดากหนักไปกว่าเดิมได้....พาลจะเกิดโรค “พูดไม่กระดากลิ้น” เอาได้...เป็นห่วงอ่ะ
อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่าคำว่า “ธรรม” เป็นคำกลางๆ เมื่อถูกใช้ร่วมกับคำอื่นๆ ความหมายก็จะเอนไปตามคำนั้นๆ ไม่ว่าเชิงลบหรือบวก เช่น อธรรม ยุติธรรม/อยุติธรรม อารยธรรม วัฒนธรรม ฯลฯ แต่ในที่นี้ผมอยากจะตีวงแคบมาโยงคำว่า "ธรรม" มาที่ “การเมือง” เพราะบริบทในคอลัมน์ของคุณเนาวรัตน์พูดถึงการเมือง ในพุทธศาสนามีคำๆ หนึ่งที่แวดวงการเมืองหยิบมาใช้นั่นก็คือคำว่า “ธรรมาธิปไตย” (เป็นคำสมาสระหว่าง ธรรม+อธิปไตย) ซึ่งแปลว่า การยึดเอาธรรม(ความจริง)เป็นใหญ่ ซึ่งต่างจากกับคำว่า “อัตตาธิปไตย” หมายถึงเอาตัวเองเป็นใหญ่ และตรงข้ามกับคำว่า “ประชาธิปไตย” อันหมายถึงเอาประชาชนเป็นใหญ่ .....ผมดึงคำสามคำเหล่านี้มาพูดก็หวังว่าคนอย่างคุณเนาวรัตน์คงพอจะเข้าใจนะ แต่ถ้าไม่เข้าใจ....ก็ขอให้ยอมรับว่าตัวเองโง่ แล้วผมจะได้อนุเคราะห์ในรายละเอียดอีกทีหนึ่ง