เรื่อง มีอยู่ว่าผมมีทาวโฮมซึ่งซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของผม และ ก็ต้องกู้เงินมาเพื่อซื้ออีกด้วย ดังนั้นผมจึงมีภาระจะต้องจ่ายค่าผ่อนทาวโฮมทุกเดือน โชดดีที่ทาวโฮมอยู่ในทำเลที่ดี ผมก็เลยมีคนมาเช่าตั้งแต่ผมซื้อได้ไม่นาน ซึ่งทำให้ผมได้เงินจากค่าเช่า เพื่อมาผ่อนแบงค์ในทุกเดือน ซึ่งผู้เช่าก็เช่าทาวโฮมของผมมาเรื่อย อาจจะมีการจ่ายคำเช่าไม่ตรงบ้าง แต่ก็คุยกันได้ เพราะบางทีธุรกิจอาจจะมีสะดุดบ้าง แต่ผมก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้
แต่แล้ววันหนึ่งก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามาหาผมสายหนึ่ง บอกว่าโทรมาจากคลินิกเสริมความงามชื่อดัง ที่มีสาขาอยู่ตามห้างต่างๆมากมาย ชุดฟอร์มสีชมพู โดยคนที่ติดต่อใช้ชื่อว่านามสมมุติว่า “หมอเอก” โทรเข้ามาถามว่าคุณเป็นเจ้าของทาวโฮมตรงนี้ใช่หรือเปล่า เค้าสนใจมาก ๆ (ถึงขั้นเข้าไปขอเบอร์ผมจากนิติบุคคลของโครงการเอง โดยที่ผมไม่ได้ประกาศให้เช่า) เค้าสนใจจะเอามาทำเป็นคลินิกเสริมความงาม เนื่องจากที่อยู่ในทำเลที่ดี ซึ่งผมก็บอกไปว่ามีคนเช่าอยู่แล้ว แต่ทางหมอเอกก็บอกว่าเค้าสนใจจะเช่าจริง ๆ และได้โทรมาเพื่อตื้อว่าจะอยากจะเช่า โทรมาทุกวัน วันละหลายครั้ง ติดต่อกันหลายวัน รวมทั้งเสนอว่าจะให้ค่าเช่าที่สูงกว่า และ จะยอมจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้เช่ารายเก่าอีกด้วย เพื่อให้เค้ารีบย้ายออกและไปหาห้องเช่าใหม่ เพราะเค้ามีฤกษ์เปิดที่กำหนดไว้ ทำให้ผมเริ่มลังเล เพราะเห็นว่าคลินิกนี้มีสาขามากมาย มีความมั่นคง และน่าเชื่อถือ อีกทั้งผู้เช่าเก่า ก็เริ่มมีปัญหา และต้องการจะลดต้นทุนค่าเช่า ผมจึงเจรจากับทางผู้เช่าเก่า โดยบอกว่าจะยกค่าเช่าที่ค้างให้และให้ค่าชดเชยเป็นการช่วย ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็ได้คุยกับทางหมอเอกว่าต้องการจะเช่าแน่นอนไหม ผมจะได้สรุปกับทางผู้เช่าเก่า เค้าก็บอกว่าต้องการจะเช่าแน่ ๆ ต้องการด่วนด้วย ย้ำว่ามีฤกษ์เปิดรออยู่ ต่อมาเมื่อทางผู้เช่าเก่าสามารถหาที่ใหม่ได้แล้ว และได้ไปทำสัญญาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งระหว่างนี้หมอเอกแจ้งว่าจะต้องเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อกลับมาจะติดต่อกลับ แต่เมื่อถึงกำหนดกลับ ทางหมอเอกก็ไม่ได้ติดต่อกลับ และหายไป ไม่ติดต่อมาหลายวัน ทางผมจึงโทรกลับไปและถามว่า เรื่องที่บอกว่าจะมาเช่าทาวโฮมของผม เป็นไงแล้วบ้าง เค้ากลับพูดกลับมาอย่างไม่ใส่ใจว่า ไม่เช่าแล้ว เสนอแล้วบอร์ดบริหารไม่ต้องการเช่า อยากที่จะซื้อมากกว่า บอกผมว่าไม่เอาแล้ว ทำเอาผมอึ้งไปสักพักใหญ่ เพราะผมต้องเสียเงินค่าเช่าที่ค้างให้กับผู้เช่าเก่า รวมทั้งเงินชดเชยอีก และค่าดำเนินการต่าง ๆ อีก แล้วหมอเอกก็ไม่ได้คิดที่จะแสดงความรับผิดชอบใด ๆ เลย แค่พูดว่าไม่เอาแล้ว และที่น่าโมโหกว่านั้น คือ การตัดสายโทรศัพท์ผมที้ง อย่างคนไม่มีมารยาท
หลังจากนั้นผมก็ได้ติดต่อกลับไปที่หมอเอกอีก แต่โทรไปหลายครั้งก็ไม่มีคนรับ หลังจากนั้น ผมจึงลองใช้เบอร์อื่นโทรไป ปรากฏว่าหมอเอกรับโทรศัพท์ !!!
ผมคิดว่าคนเรียนหมอมา น่าจะมีจริยธรรม จรรยาบรรณ และคุณธรรรมอยู่ในใจ เพราะเค้าต้องช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วยหรือเดือดร้อน แต่เมื่อมาเจอหมอเอกคนนี้ ทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่าคนแบบนี้ควรที่จะเรียนหมอรึเปล่า เค้ามีคุณธรรม และ จริยธรรม พอที่จะเป็นหมอเพื่อมาช่วยคนอื่นหรือไม่ หรือว่าเค้าจบมาเพื่อที่จะทำธุรกิจและหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง โดยไม่ต้องคำนึงถึงคุณธรรม สัจจะ หรือจรรยาบรรณใด ๆ พูดได้แต่ว่าผมไม่ต้องการแล้ว โดยไม่คิดจะรับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเองแม้แต่นิดเดียว ผมคงจะต้องก้มหน้ายอมรับ ความไม่มีสัจจะของคนบางคน ซึ่งทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน เสียเงินไปเป็นแสน แล้วก็ต้องมาหาผู้เช่ารายใหม่
แล้วคนไม่มีสัจจะแบบนี้ควรจะต้องรับผิดชอบอะไรบ้างไหม หรือจะปล่อยให้เค้าไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นต่อไป ผมคงจะไม่มีอะไรมาก แค่อยากที่จะเล่าถึงความไม่มีสัจจะของคนบางคนให้ฟัง
จะทำยังไง ถ้าถูกคลินิกเสริมความงามชื่อดัง ทำการฉ้อฉล ไรัซี่งสัจจะแบบนี้
แต่แล้ววันหนึ่งก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามาหาผมสายหนึ่ง บอกว่าโทรมาจากคลินิกเสริมความงามชื่อดัง ที่มีสาขาอยู่ตามห้างต่างๆมากมาย ชุดฟอร์มสีชมพู โดยคนที่ติดต่อใช้ชื่อว่านามสมมุติว่า “หมอเอก” โทรเข้ามาถามว่าคุณเป็นเจ้าของทาวโฮมตรงนี้ใช่หรือเปล่า เค้าสนใจมาก ๆ (ถึงขั้นเข้าไปขอเบอร์ผมจากนิติบุคคลของโครงการเอง โดยที่ผมไม่ได้ประกาศให้เช่า) เค้าสนใจจะเอามาทำเป็นคลินิกเสริมความงาม เนื่องจากที่อยู่ในทำเลที่ดี ซึ่งผมก็บอกไปว่ามีคนเช่าอยู่แล้ว แต่ทางหมอเอกก็บอกว่าเค้าสนใจจะเช่าจริง ๆ และได้โทรมาเพื่อตื้อว่าจะอยากจะเช่า โทรมาทุกวัน วันละหลายครั้ง ติดต่อกันหลายวัน รวมทั้งเสนอว่าจะให้ค่าเช่าที่สูงกว่า และ จะยอมจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้เช่ารายเก่าอีกด้วย เพื่อให้เค้ารีบย้ายออกและไปหาห้องเช่าใหม่ เพราะเค้ามีฤกษ์เปิดที่กำหนดไว้ ทำให้ผมเริ่มลังเล เพราะเห็นว่าคลินิกนี้มีสาขามากมาย มีความมั่นคง และน่าเชื่อถือ อีกทั้งผู้เช่าเก่า ก็เริ่มมีปัญหา และต้องการจะลดต้นทุนค่าเช่า ผมจึงเจรจากับทางผู้เช่าเก่า โดยบอกว่าจะยกค่าเช่าที่ค้างให้และให้ค่าชดเชยเป็นการช่วย ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็ได้คุยกับทางหมอเอกว่าต้องการจะเช่าแน่นอนไหม ผมจะได้สรุปกับทางผู้เช่าเก่า เค้าก็บอกว่าต้องการจะเช่าแน่ ๆ ต้องการด่วนด้วย ย้ำว่ามีฤกษ์เปิดรออยู่ ต่อมาเมื่อทางผู้เช่าเก่าสามารถหาที่ใหม่ได้แล้ว และได้ไปทำสัญญาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งระหว่างนี้หมอเอกแจ้งว่าจะต้องเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อกลับมาจะติดต่อกลับ แต่เมื่อถึงกำหนดกลับ ทางหมอเอกก็ไม่ได้ติดต่อกลับ และหายไป ไม่ติดต่อมาหลายวัน ทางผมจึงโทรกลับไปและถามว่า เรื่องที่บอกว่าจะมาเช่าทาวโฮมของผม เป็นไงแล้วบ้าง เค้ากลับพูดกลับมาอย่างไม่ใส่ใจว่า ไม่เช่าแล้ว เสนอแล้วบอร์ดบริหารไม่ต้องการเช่า อยากที่จะซื้อมากกว่า บอกผมว่าไม่เอาแล้ว ทำเอาผมอึ้งไปสักพักใหญ่ เพราะผมต้องเสียเงินค่าเช่าที่ค้างให้กับผู้เช่าเก่า รวมทั้งเงินชดเชยอีก และค่าดำเนินการต่าง ๆ อีก แล้วหมอเอกก็ไม่ได้คิดที่จะแสดงความรับผิดชอบใด ๆ เลย แค่พูดว่าไม่เอาแล้ว และที่น่าโมโหกว่านั้น คือ การตัดสายโทรศัพท์ผมที้ง อย่างคนไม่มีมารยาท
หลังจากนั้นผมก็ได้ติดต่อกลับไปที่หมอเอกอีก แต่โทรไปหลายครั้งก็ไม่มีคนรับ หลังจากนั้น ผมจึงลองใช้เบอร์อื่นโทรไป ปรากฏว่าหมอเอกรับโทรศัพท์ !!!
ผมคิดว่าคนเรียนหมอมา น่าจะมีจริยธรรม จรรยาบรรณ และคุณธรรรมอยู่ในใจ เพราะเค้าต้องช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วยหรือเดือดร้อน แต่เมื่อมาเจอหมอเอกคนนี้ ทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่าคนแบบนี้ควรที่จะเรียนหมอรึเปล่า เค้ามีคุณธรรม และ จริยธรรม พอที่จะเป็นหมอเพื่อมาช่วยคนอื่นหรือไม่ หรือว่าเค้าจบมาเพื่อที่จะทำธุรกิจและหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง โดยไม่ต้องคำนึงถึงคุณธรรม สัจจะ หรือจรรยาบรรณใด ๆ พูดได้แต่ว่าผมไม่ต้องการแล้ว โดยไม่คิดจะรับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเองแม้แต่นิดเดียว ผมคงจะต้องก้มหน้ายอมรับ ความไม่มีสัจจะของคนบางคน ซึ่งทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน เสียเงินไปเป็นแสน แล้วก็ต้องมาหาผู้เช่ารายใหม่
แล้วคนไม่มีสัจจะแบบนี้ควรจะต้องรับผิดชอบอะไรบ้างไหม หรือจะปล่อยให้เค้าไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นต่อไป ผมคงจะไม่มีอะไรมาก แค่อยากที่จะเล่าถึงความไม่มีสัจจะของคนบางคนให้ฟัง