นี่คือกระทู้ติดตาม..สามปีให้หลัง ของกระทู้ "โชคดีที่เป็นเบาหวาน" จากเคยหนัก 120 กิโลกรัมลดเหลือ 77 กิโลกรัมเมื่อปี 2555

ก่อนอื่น เท้าความกันสักนิด ย้อนไป วันเดียวกันนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2555 มีหมีควายตนนึง มาตั้งกระทู้ ว่าตนเองหนัก 120 กิโลกรัม จนถึงขั้นป่วยเป็นโรคเบาหวาน ตรวจเจอน้ำตาลพุ่งปรี้ดดดดด ไปที่ 398 mg/dL  ตั้งอายุยังไม่ครบ 23 ปีดีนัก
     แต่ด้วยความที่กลัวตายจากโรคภาวะแทรกซ้อน จึงตัดสินใจลุกขึ้นมาวางแก้วเบียร์ในมือ วางขนมปัง โดนัท และข้าวมันไก่พิเศษสองห่อ และขยี้เปลวไฟที่ติดอยู่ที่ปลายบุหรี่ให้สิ้นซาก และก้มลงใส่รองเท้าผ้าใบ มัดเชือกให้แน่น แล้วรวบรวมแรงทั้งหมดที่มี โดดขึ้นไปบนเครื่องวิ่งกึ่งสเตป ในทุกๆวันตอนเย็น สลับกับการตีแบต แทนการไปนั่งร้านเหล้าแล้วใช้แต่แรงที่แขนยกแก้วเบียร์

     ผ่านไป 7 เดือน  น้ำหนัก จาก 120 กิโลกรัม ลดลงเหลือ 77 กิโลกรัม

     ยังค่ะ ยังไม่ได้ต้องเชื่อ กดไปดูกระทู้เก่ากันก่อนนะคะ ตามนี้

http://topicstock.ppantip.com/lumpini/topicstock/2012/06/L12271570/L12271570.html
     มันยาวใช่มั้ยคะ..แต่อ่านเถอะค่ะ กดกลับไปอ่านอีกรอบนะคะ ฮ่าๆๆ
มันค่อนข้างละเอียด เพราะกระทู้นี้ ไม่มีรายละเอียด เรื่องสาเหตุการเป็นเบาหวาน
อาการเริ่มต้น , การทานยารักษาหรือวิธีการออกกำลังกายใดๆนะคะ เพราะอยู่ในกระทู้เก่าทั้งหมดค่ะ อมยิ้ม04
     กระทู้นี้จะพูดถึงการที่ลดน้ำหนักได้แล้ว เป็นอย่างไรต่อบ้าง

     ที่ตัดสินใจตั้งกระทู้นี้ มากจาก ช่วงปีให้หลังมานี่เห็นกระทู้ ลดน้ำหนักเยอะมากกกกก เยอะจริงๆ ซึ่งเราดีใจมาก ที่เห็นคนที่เคยอ้วน หรือมีโรคประจำตัว มีความตั้งใจและอดทน และลดน้ำหนักจนประสบความสำเร็จได้ เก่งมากๆค่ะ (คือเราเข้าใจความรู้สึกเลย ว่ามันเหนื่อย มันยาก มันทรมานแค่ไหน)อมยิ้ม20
     ก่อนอื่น ขออธิบายสภาพเพศของเราก่อนนะคะ ใครไปอ่านกระทู้เก่ามาแล้ว คง งงๆ
ว่าเราเป็นเพศอะไรกันแน่ คือเราเป็นผู้หญิงค่ะ ใช้คำนำหน้าชื่อ เป็นนางสาวค่ะ
แต่สภาพและสาระร่างไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงเท่าไรนัก พูดง่ายๆ “เป็นทอมค่า”อมยิ้ม35
     พร่ำมาหลายบรรทัดแล้ว เข้าเรื่องสักทีนะคะ (รับรองว่าม้วนเดียวจบ ไม่มี เดี๋ยวมาต่อนะคะ ไปอาบน้ำหมาก่อน ,ไปกรอกน้ำเข้าตู้เย็นแปปค่ะ เหมือนกระทู้ดราม่าเคล้าน้ำตาแน่นอน 55555)
     ก่อนอื่น (เมื่อกี้ก็ก่อนอื่น) มาดูรูปเพิ่มเติมจากกระทู้เดิมสักนิดนึงก่อนนะคะ อย่าช็อกนะคะ สัญญาก่อนว่าจะหายใจลึกๆ ก่อนดู อันนี้ตอนที่หนัก 120 กิโลกรัม

รูปที่เห็นทางด้านขวาที่หนัก 77 กิโลกรัม นั่นคือตอนเมื่อปี 2555 นะคะ
(ตอนที่ลดน้ำหนักสำเร็จใหม่ๆ เลยจ้า)


พอออออออค่ะ..ขอบคุณที่อดกลั้น ดูจนจบนะคะ ^^ รูปสุดท้ายนี้พี๊คคค สุดจริงๆค่ะ
(พุงแน่นมากกกก เนอะ ไม่รู้มีอะไรเข้าไปค้างคืนอยู่บ้าง55555)
     ตอนแรกที่ลดน้ำหนักลงได้ตามที่ตัวเองตั้งใจไว้แล้ว คิดว่า โอ้วววว เราประสบความสำเร็จแล้วจ้า..แต่จริงๆแล้ว มันเพิ่งสำเร็จไปเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น!!
     ย้ำ!!! ขั้นตอนแรก
     เพราะจริงๆแล้วการลดน้ำหนัก จาก 120 กิโลกรัมที่ว่ายากแล้ว
การรักษาน้ำหนักให้คงที่นั้น “ยากกว่า” อมยิ้ม20
และที่ยากไปกว่านั้นอี๊กกกก ก็คือ “การสร้างกล้ามเนื้อ”อมยิ้ม19
     ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น..เพราะคนที่อ้วนมากๆ น้ำหนักตัวเยอะๆ จะมุ่งเน้นว่า ฉัน..จะลดน้ำหนัก จะลด จะลด อยากจะลดแต่ตัวเลขที่อยู่บนเครื่องชั่ง
เพราะคิดว่าที่อ้วนแบบนี้ ถ้าตัวเลขบนเครื่องชั่งลดลงได้ แปลว่า “ฉันผอมมมแล้วววววววว”
     อันนั้นก็ไม่ได้ถือว่าผิด..แต่มันก็ไม่ได้ถูกซะทีเดียวค่ะ
เพราะจริงๆแล้ว ต่อให้ตัวเลขน้ำหนัก อยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว
มันไม่ได้แปลว่าเราจะ ผอมแบบแข็งแรง หรือ สุขภาพดี ฟิต หรือ เฟิร์ม

     มาพูดถึงข้อแรกก่อน นั่นคือ การรักษาน้ำหนักให้คงที่
เพราะหลายๆคนที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก จะทานน้อยยยย น้อยมากกก จะหยิบจะจับอะไรเข้าปากที ก็จะคิดแล้วคิดอีก  “จะดีหรอ ลดน้ำหนักอยู่ ไม่กินดีกว่า”
“ต้องไม่กินแป้ง อยากกินเค้กนะ แต่ไม่เอา อดทนไว้ ท่องขันติ ขันติ ในใจ” ฮ่าๆๆอมยิ้ม07
เย็นมา เปลี่ยนเสื้อผ้าไปออกกำลังกาย ทุกวัน ฟิตจ้า..อุ๊ยยย เมื่อวานชั่งน้ำหนักลดไป สามขีดครึ่ง รู้สึกมีกำลังใจ ไปออกกำลังกายดีกว่า ลั้ลล้า ^^
ทำแบบนี้อยู่ประจำ หลายๆเดือนเข้า น้ำหนักลงจริง แต่แฝงไปด้วยความหิวโหย ความอยากโน่น อยากนี่ และความเหนื่อยล้าและเบื่อหน่าย จากการออกกำลังกาย
     รู้สึกว่า ชีวิตเรานี่ มันเคร่งเครียด เกินไปรึเปล่า อยู่แต่ในกฏเกณฑ์ เหมือนบางทีก็ขาดอะไรไป
     แต่ผลที่ตอบรับกลับมา คุ้มค่ะ ตัวเลขน้ำหนักลง ถึงตามที่เราต้องการ
ที่นี้เราจะเริ่มรู้สึกต้องการสิ่งที่ขาดหายไป เพราะเราขาดไปนาน เราจะเริ่มหลุดโปรแกรมออกกำลังกาย เริ่มทานอะไรมากขึ้น เพราะคิดว่าคงไม่อ้วนหรอกมั้ง ก็ผอมลงไปแล้ว เริ่มปาร์ตี้ เริ่มตะบะแตก เริ่มไม่ไปออกกำลังกาย ไปมั่งไม่ไปมั่ง
เพราะไม่มีใครจะดำเนินชีวิตแบบลดน้ำหนัก ทานน้อย ออกกำลังกายหนัก ไปได้ตลอดชีวิต
ทำให้ผลที่ตามมาคือ “กลับมาอ้วน..เหมือนเดิม” อมยิ้ม08
     เพราะเวลาร่างกายขาดอาหารไปนานๆ พอได้ทานเข้าไปใหม่ เหมือนร่างกายจะเข้าสู่โหมด "กลัวการอดตาย" ที่นี้ร่างกายจะเก็บทุกอย่างที่เข้ามาเอาไว้ สะสมเอาไว้ ไม่นำออกมาใช้เลย
และนั่นคือเหตุผล ที่พูดว่า “การรักษาน้ำหนักให้คงที่นั้น ยากกว่า”อมยิ้ม12
     เพราะฉะนั้น ใครที่ลดน้ำหนักได้แล้ว ต้องพยายามเข้าไว้ นะคะ คุณประสบความสำเร็จไปได้แล้ว 1 ขั้น ยินดีด้วยค่ะ อมยิ้ม22

     ที่นี้มาพูดถึงข้อที่ สองค่ะ “ที่ยากไปกว่านั้น คือการสร้างกล้ามเนื้อ”
     ใช่ค่ะ ทำไมน่ะหรือ ก็อย่างที่บอกนะคะ ว่าคนที่น้ำหนักมากๆ จะมุ่งเน้นไปว่า จะลดตัวเลขน้ำหนักลงให้ได้
ก็จะไปเน้นการออกกำลังแบบ คาดิโอ มากกกกกก
ออกอย่างบ้าคลั่ง เบิร์น เบิร์น เบิร์น แล้วก็เบิร์น เผาผลาญ อยากเผาผลาญ 5555 อมยิ้ม21
(อย่างเราเป็นต้น ถ้าอ่านกระทู้เก่า เราบอกวิธีการออกกำลังกายไว้ เห็นได้เลยว่า เป็นการเบิร์นอย่างบ้าคลั่งค่ะ)
ก็อย่างที่บอก มันไม่ผิด แต่มันก็ไม่ถูกซะทีเดียวค่ะ จริงๆแล้ว ถ้าน้ำหนักเยอะมากๆ ควรออกกำลัง โดยการ “เวท” เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ
ควบคู่กับการ “คาดิโอ” เพื่อเผาผลาญพลังงานและไขมันสะสมค่ะ

     เพราะถ้าเอาแต่ คาดิโออย่างเดียว เหมือนเรา สังเกตนะคะ รูปบนขวามือที่เขียนว่าหนัก 77 กิโลกรัม ผอมมั้ยคะ ผอมนะ แต่ผอมแบบไม่มีอะไรเลย ผอมแบบแห้งๆกังๆ ดูไม่มีไหล่ ไม่มีหลัง เอาซะเลย ผอมลงแต่กล้ามเนื้อน้อย..เพราะที่ผอมคือสูญเสียโปรตีนนั่นเอง
     นั่นแหละค่ะ เราออกกำลังแบบคาดิโออย่างเดียว เร่งแต่จะลดตัวเลขน้ำหนักอย่างเดียว ซึ่งผลออกมา เราดีใจนะคะ ว่าน้ำหนักลด ได้ตามที่ต้องการแล้ว แต่ "ไม่เฟิร์ม”ค่ะ อมยิ้ม08

     ส่วนปัจจุบันนี้น้ำตาลในเลือดก็ดีขึ้น มาก ไม่เคยเกิน 90 mg/dL เลย ไม่ได้ทานยาเบาหวาน มา 3 ปีแล้วค่ะ เราถามคุณหมอนะคะ ว่าอย่างนี้เรียกว่ายังเป็นโรคประจำตัวอยู่มั้ยคะ คุณหมอบอกว่า ก็เรียกว่าเป็นนะ ถ้าน้ำตาลเคยเกิน (ในความหมายคือ ถ้ามีการสอบถามว่ามีโรคประจำตัวหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า "มี"ค่ะ) แต่ก็แบบนี้แหละ ถ้าควบคุมได้ ก็ไม่ต้องทานยา เรียกว่าหายมั้ย หมอเองก็ไม่รู้จะเรียกว่าหายรึเปล่า ก็ถ้าน้ำตาลไม่เกินก็ไม่ต้องทานยา แล้วก็ดูแลตัวเอง อย่าให้น้ำตาลเกินอีก เพราะมันสามารถเกินอีกได้ถ้าเราปล่อยตัว ไม่ดูแลเรื่องการทานอาหาร ไม่ออกกำลังกาย
     อย่างที่เราบอกในกระทู้เก่าเลยนะคะ ว่า โรคเบาหวาน  เกิดจากตัวเอง ต้องรักษาด้วยตัวเองเลยค่ะ ยาของคุณหมอ ได้เพียงแต่ช่วยในการลดระดับน้ำตาลลง แต่แน่นอน ถ้าทานแต่ยา น้ำตาลยังสูงอยู่ ต้องเพิ่มปริมาณยาให้เยอะขึ้น (อันนี้ตามดุลยพินิจของคุณหมอนะคะ) น้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลเสียในระยะยาวแน่นอนค่ะ ภาวะแทรกซ้อนตามมาแน่นอนค่ะ  
(ซึ่งตัวเราเองกลัวมาก..กลัวตาบอดค่ะ กลัวเท้าเน่า ภาพตัวเองในวันที่จะต้องเป็น มโนผุดมาเต็มหัว หลอนมากค่ะ เลยต้องตัดสินใจหักดิบ เลิกทุกอย่าง แล้วหันมาออกกำลังกายดูแลสุขภาพตัวเองค่ะ)

     กลับมาพูดถึงการลดน้ำหนัก ต่อ เราถือว่าเราสำเร็จนะคะ แต่ว่า เพิ่งจะมาเข้าใจ เอาตอนที่ผอมไปแล้วเนี่ยค่ะว่า
จริงๆแล้ว เราผอมแล้ว เราแข็งแรง สุขภาพดี(ไม่มีโรค) แต่ยังไม่พอ
เราต้อง ”ฟิต และ เฟิร์ม” ด้วย มันถึงจะโอเค 555555 อมยิ้ม02

     ฉะนั้น ปัจจุบันนี้ เราจึงเบิร์นให้น้อยลงค่ะ หันมาเล่นเวท ควบคู่ไปด้วย เราหันมาทานเยอะขึ้นกว่าเดิมมาก
(กว่าเดิมคือหมายถึงเยอะกว่าตอนที่ลดน้ำหนักตอนแรก)
ทานโปรตีนเยอะมาก อกไก่ ปลา หมู นี่ ทานจริงจัง เอาโปรตีนไปสร้างกล้ามเนื้อค่ะ
แต่ทานข้าวน้อยเหมือนเดิม ชอบทานขนมปังมากกว่า โฮลวีต นี่ทานเช้า-กลางวัน เอาเป็นพลังงานไปเล่นเวท ตอนเย็น

     ของหวาน เค้ก ที่เคยชอบทานตอนอ้วนๆ ตั้งแต่ลดน้ำหนักมา คิดว่าจะเลิกชอบได้
ไม่ค่ะ ไม่เคยเลิกกัน 55555555 อมยิ้ม07 ยังชอบทานอยู่ และยังทานอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็นานๆครั้ง เอาไว้เป็นรางวัลให้ตัวเอง
     เอาเวลาไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆบ้าง ก็ทานได้ปกติ (สมัยลดน้ำหนักใหม่ๆไปได้ แต่ไม่ทานอะไรเลย ชีวิตดูเครียดมาก) ก็ไปปาร์ตี้บ้าง นานๆครั้ง เอาไว้เป็นความสุข ชาร์จแบตให้ตัวเอง มีกำลังใจกลับมาทำงาน มีแรงกายออกไปฟิตเนส
     ที่สำคัญ นอนหลับพักผ่อนให้ได้เพียงพอ ทุกวันนี้เราต้องนอนให้ได้อย่างน้อย 8 ชั่วโมงค่ะ  ดื่มน้ำเปล่า ต่อวันเยอะๆ  จะได้มีแรงไปเล่นเวทกัน ^^
     กระทู้นี้ ไม่มีการอ้างอิงหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา และโภชนาการใดๆ นะคะ
เขียนออกมาจากประสบการณ์การล้วนๆค่ะ ผิดพลาดอย่างไร ชี้แนะได้เลยค่ะ

     สรุป ที่เขียนมายืดยาว อ่านแล้วก็ งงๆ ใช่มั้ยคะ ว่าจะสื่ออะไร
เราอยากจะบอกทุกๆท่าน ที่กำลังป่วยเป็นเบาหวาน (คนเป็นเบาหวานส่วนมากคืออ้วน หรือ กำลังลดน้ำหนัก ว่า
     อยากให้ทุกท่านที่ลดน้ำหนัก มุ่งเน้นไปที่ความแข็งแรงของร่างกาย อย่าจดจ้องอยู่แค่ ตัวเลขบนตราชั่ง อย่าทานน้อย เพื่อหวังว่าจะได้ผอมเร็วๆ อย่าทำเด็ดขาด ช่วงแรกอาจจะผอมจริง แต่ดีใจอยู่ได้ไม่นานแน่นอน
เพราะคุณไม่สามารถทำแบบนี้ไปได้ตลอดชีวิต คุณหยุดทำเมื่อไร จะอ้วนขึ้นทันที เผลอๆจะกลับมามากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป

     สูตรลดน้ำหนัก 13 กิโล ภาย 13 วัน
หรือ
    กินวันล่ะแค่ 1 เม็ด พร้อมอาหาร 7 วัน ลดไป 7 กิโล โดยไม่ต้องออกกำลังกาย บลา บลา บลา ๆๆๆๆๆ

เผาทิ้งไปได้เลยค่ะ เรารับประกันว่ามันไม่มีอยู่จริงแน่นอน เพราะถ้าการลดน้ำหนักมันทำได้ง่ายขนาดนั้น บนโลกของเราใบนี้ “จะไม่มีคนอ้วนแน่นอน”


   "น้ำหนักน้อย ไม่ได้แปลว่าผอมแล้ว สวยแล้ว สุขภาพดีแล้ว"
         จากวันนั้นถึงวันนี้ เรายังดูแลสุขภาพและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้เบาหวานกลับมาอีก และไม่ให้อ้วนขึ้นด้วยค่ะ
    เราขอเป็นกำลังใจให้ ทุกท่านที่ป่วยเป็นเบาหวานหรือมีปัญหาเรื่องอ้วน

เหมือนเช่นเคย เรายังยืนยันคำเดิมว่า
"วิธีการรักษาโรคเบาหวานที่ดีที่สุด คือการออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ"

    "จงจำเอาไว้ว่า ไม่มีใครอ้วนได้จากการทานเยอะ เพียง 1 วัน
เช่นเดียวกัน ไม่มีใครผอมลงได้จากการ ออกกำลังกาย เพียงแค่ 1 วัน ทุกอย่างต้องอาศัยความสม่ำเสมอ"

และ

    "การพยายามสร้างสุขภาพที่ดี เป็นสิ่งดี แต่ต้องควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิตที่มีความสุขด้วย"
อย่าหักโหม อย่าตั้งกฎเกณฑ์ จนตึงเปรี๊ยะ แต่ก็อย่าหย่อน จนโตงเตงใช้การไม่ได้ ไม่เห็นผล ปฏิบัติอยู่บนความพอดี ดีที่สุดค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่