หากไม่มีไม่ได้ในฌาน จะเข้าสู่ฐานการตรัสรู้และนิพพานในชาตินั้นๆไม่ได้

ไม่มีช่องว่างสำหรับดวงวิญญานในสหโลกธาตุ เพราะการเกิดดับนั้นรวดเร็วมาก จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง วิญญาณนั้นไม่ใช่ดวงคิดดวงรับ ในขณะที่ถูกสภาวะดึงดูดด้วยมหาภพมหาชาติชรามรณะ เมื่อกำเนิดโอปาติกะ เกิดในกอบัวบ้าง โคนต้นไม้บ้าง จุติคันธัพพะในรังไข่อันปฎิสนธิขันธ์๕ บ้างฯลฯ จึงจะมีจะเกิดสภาวะจิตที่สามารถรับรู้ได้ เพราะอาศัยขันธ์ ส่วนที่เข้าใจไปเองยังชีวะนั้นก่อน ก็เหมือน หางจิ้งจกที่ถูกสบับหลุดขาดออกมาดิ้นอยู่ แม้ทารกในครรภ์ก็ถืออาการอย่างนั้น มีชีวิตตามระบบกลไก แต่ยังไม่จุติวิญญานก็ได้ เพราะฉนั้นความเข้าใจผิดที่คิดว่า จะมีอะไร?ที่สามารถรับรู้ได้นั้น ไม่ใช่ดวงวิญญาน แต่เป็นดวงจิตประภัสสรแท้อันแต่เดิมเพียงเท่านั้น และดวงนี้เท่านั้นอย่าไปคิดว่ากำเนิดมาจากไหน?เพราะอจิณไตย อย่าไปค้นหาว่ามาจากไหน?

พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกิลิฏฺฐํ แต่ว่าจิตนี้เศร้าหมองแล้ว เพราะกิเลสที่เป็นอาคันตุกะเข้ามา"

เราขอพิจารณาตั้งข้อสงสัยเป็นเนยยัตถะ ในข้อนี้เป็นข้อเดียว ข้อแรกในโลกนี้ว่า จิตประภัสสรนี้ อาจมากจากชั้นพรหม และอาจไม่แน่ในอรูปพรหมนั้นด้วย เมื่อสิ้นอายุขัยของพรหมและอรูปพรหมแล้ว จึงกลายเป็นดวงจิต ประภัสสร เพราะสภาวะนั้นต้องเป็นผู้มีฌานมาก่อนจึงจะเข้าอิทัปปัจจยตาหรือปฎิจสมุปบาทได้ในฐานองค์ตรัสรู้ธรรมได้
ผู้ไม่มีฌานไม่ได้ฌาน ย่อมไม่สามารถเข้าสู่ฐานการตรัสรู้ได้ ไม่สามารถนิพพานได้ ถ้าไม่รู้จักไม่เคยบำเพ็ญไม่เคยมี ไม่เคยได้ ย่อมไม่มีวันเข้าถึง

และถ้าเราคิดถูกเพราะใช้มหาปัญญาพิจารณาแล้ว อย่างเด่นชัดที่สุดนี้โดยปรมัถต์ ว่านี่คือสถานะจริงๆของการเกิด การเวียนว่ายในวัฎสงสารในวงจรของ ปฎิจสมุปบาท อันเป็นฐานแห่งการตรัสรู้ นั่นก้ต้องหมายความว่าต้องอาศัยจากรูปพรหมหรืออรูปพรหมนั้น ดังที่พระมหาโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเพียรอย่างหลายภพหลายชาติ จนได้เป็นท้าวมหาพรหมคือที่สุดแห่งสภาวะ ไม่อยู่ในอำนาจของใครๆจากการบำเพ็ญฌานสมาบัติมาตลอดอสงขัยและมหากัปป์ ในอดีตที่ผ่านมา

ที่สำคัญคือสถานะของผู้สำเร็จธรรมไม่มีฌานไม่บรรลุแม้ปฐมฌาน ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ จึงต้องปลีกวิเวกไปปฎิบัติ เพื่อให้ได้ฌานในตน นั่นแหละจึงถูกต้องที่สุด และไม่มีใคร?คัดค้านได้ในข้อนี้ เพราะมีพระสูตรรองรับอยู่มาก แต่ไม่เคยมีใครพิจารณาในข้อนี้ไว้ เพราะอวิชชาและกิเลสตัณหาบดบัง จนไม่สามารถเข้าถึงและทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ในพระธรรมคำสั่งสอนและในฌานได้

ไม่แปลกหรอกที่เป็นเช่นนี้ เข้าใจในความโหดร้าย ในเหตุอดีตกาลปัจจุบันเวลา

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?
สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงว่า
วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง.
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?
สาติภิกษุทูลว่า สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ.(อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ)
(เป็นความเข้าใจในลักษณะของเจตภูตที่สามารถท่องเที่ยวล่องลอยไปแสวงหาที่เกิด หรืออัตตา(อาตมัน) หรือปฏิสนธิวิญญาณ อันเป็นมิจฉาทิฏฐิ)
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ ที่เราแสดงแก่ใครเล่า(หมายถึงท่านไม่เคยแสดงธรรมเยี่ยงนี้เลย)
ดูกรโมฆบุรุษ (ที่เราตถาคตกล่าวแสดงไว้มีดังนี้ คือ)วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น
เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี
ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย
จะประสพบาปมิใช่บุญ มากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
ดูกรโมฆบุรุษก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษ ไม่เป็นประโยชน์ (แต่เป็นไป)เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่