เล่าสู่กันฟัง ... 4 ปี จากร้านขายของขวัญสู่ร้านขายเครื่องเขียน ... ฉบับล้มลุกคลุกคลาน

ผมเชื่อว่าหลายๆท่านคงมีแนวคิดอยากจะมีร้านค้ามีกิจการเป็นของตนเอง และ ผมก็เชื่อว่า “ร้านเครื่องเขียน” น่าจะเป็นหนึ่งในกิจการที่หลายๆท่านอยากจะมี ดังนั้นในบทนี้ผมขอแชร์ประสบการณ์การเปิดร้านเครื่องเขียนของผมครับ ...


เรื่องนี้น่าจะยาวสักนิดนะครับ อยากเท้าความ บอกเล่าถึงความเป็นมาด้วย ดั้งนั้นงานเขียนบทนี้เลยออกแนว “เล่าสู่กันฟัง” เพราะ ก่อนหน้าที่ผมจะเปิดร้านเครื่องเขียนผมเปิดร้านขายของขวัญมาก่อนครั้ง ของขวัญบ่อยครั้งที่ผมเห็นถูกจับมาใส่ไว้ในร้านเครื่องเขียนจึงน่าจะเป็นการดีกว่าถ้าผมจะขอเล่ารวมเรื่องของร้านขายของขวัญด้วยเพื่อความครอบคลุมของเนื้อหา


ย้อนกลับหลายปีก่อนพรมลิขิตได้บันดาลชักพาให้ผมได้มาพบกับสาวสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่ง ผมตกหลุมเธอและเรียนรู้กันอยู่พักใหญ่ๆ และในท้ายที่สุดผมกับเธอคนนั้นตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตคู่กัน และ เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้น ... ย้อนกลับไปเมื่อราว 4 ปี ก่อน ผมเจอคนประกาศ “เซ้งกิจการ” ร้านขายของขวัญ(ร้านกิ๊ฟช็อป) ร้านหนึ่งเป็นร้านอยู่ในตัวอำเภอ ทำเลอยู่ในตลาด ทำเลถือว่าพอไปได้ เปิดมานานแล้ว คุณแม่ผมเป็นลูกค้าประจำร้านนี้

พูดถึงเรื่องการเซ้งกิจการ ถ้าเราจะรับเซ้งต่อต้องเดาให้ออกว่าเขาเซ้งเพราะอะไร? ... ถ้ากิจการการมีกำไรแต่เซ้งเพราะเหตุอื่นแบบนี้ดี แต่ถ้าเซ้งเพราะขาดทุนเราต้องไปทำการบ้านต่อว่าทำไมถึงขาดทุน ... แต่ในกรณีนี้ผมมองว่าร้านนี้ไม่ได้เซ้งเพราะขาดทุน น่าจะเซ้งเพราะเรื่องอื่น(ตอนแรกๆ เจ้าของเก่าแกก็ไม่บอกว่าจะไปทำอะไร แต่มารู้ทีหลังว่าหลังจากที่แกเซ้งไปแล้วไปเปิดร้านขายกระเป๋า) ... แต่ในกรณีนี้ผมเดาว่าน่าจะใช่เรื่องการขาดทุน เพราะ กิจการน่าจะมีกำไรเพราะเจ้าของเก่าเองก็เปิดมาตั้ง 7-8 ปี

ถ้าเซ้งมาจริงผมเองคงไม่ได้เป็นคนทำ เพราะผมมีงานประจำที่ต้องทำอยู่ ... เลยถามว่าแฟนว่าสนใจหรือไม่ ... เธอก็สนใจครับ ใจหนึ่งก็อยากมาอยู่ใกล้ๆเรา ใจหนึ่งก็อยากจะลองเปิดกิจการบ้าง เพราะ ตอนนั้นทำงานอยู่คนละจังหวัด ... ในท้ายที่สุดเธอก็ตอบตกลง เธอลาออกจากงานธนาคาร ออกจากเมืองใหญ่ ออกมาเปิดร้านค้าเล็กๆในตัวอำเภอที่ห่างไกลในต่างจังหวัด พูดไปก็ซึ้ง ... ช่างน่าปลาบปลื้มจริงๆ

สรุปก็เซ้งกิจการมาครับ ในราคา 200,000 บาท เช่าที่เดือนละ 9,000 บาท เงินจำนวนนี้ผมกับแฟนเองก็พอมีอยู่บ้างน่า หยิบยืมก็ไม่มาก น่าจะพอไหว เอาลุย!!!!


ของขวัญซื้อที่ไหน?

ของขวัญกิ๊ฟช็อปแทบไม่ต้องเอ่ยเลยครับว่าของซื้อที่ไหน เพราะแน่นอนว่าที่นั่นคือ “ตลาดสำเพ็ง” ย่านเยาวราชอย่างแน่นอน(ถึงแม้จะมีย่านอื่นบ้างแต่ที่สำเพ็งเยอะสุด แต่ถ้าเป็นงานฝีมือผมจะซื้อที่ตลาดนัดจตุจักรครับเพราะแบบเยอะกว่าหลายๆร้านถ้าซื้อราคาส่ง ราคาถูกสำเพ็งก็หลายอย่าง) … ผมกับแฟนเป็นคนต่างจังหวัด นานๆเข้าเมืองกรุงที และแทบไม่เคยขับรถเข้าด้วยตัวเองเลยสักครั้ง เรียนตามตรงครับ ช่วงแรกผมหลงระเบิดเทิดเทิง อาศัยไปตั้งแต่ตอนดึกๆ หลงรถจะได้ไม่ติด หลงอยู่นาน ตลาดสำเพ็งเองก็เปิดเช้าครับ ตี 3 ตี 4 ของก็ตั้งเต็มแล้ว ยิ่งช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งร้านกันตั้งแต่ ตี 1 นู่นนนน ...

สมัยนั้นออกจากร้านก็ราวเที่ยงคืน กลับถึงก็บ่ายสี่บ่าย 5 โมงเย็น ไปสำเพ็งเดือนละครั้ง 2 ครั้งตามฤดูกาล ขายดีไปบ่อย ขายไม่ดีสองเดือนไปที ยุ่งๆงานเยอะๆนี่ไม่กลัวครับ สบายวัยลุ่ย แต่ไอ้ที่ขายไม่ได้นี่สิหนักใจวัยรุ่นจริงๆ


กำไรต่อหน่วยเยอะหรือไม่?

สินค้านี้ประเภทนี้กำไรต่อชิ้นเยอะครับเพราะมันเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย หลายๆรายการ 100%+ แต่ด้วยความที่มันเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยจึงทำให้มันขายไม่ได้ทุกช่วงของปี ...


ผมจำได้ดีกับ “เทศกาลปีใหม่” ครั้งแรกของการเปิดร้านเรียกได้ว่ามันเป็นช่วงเวลา ทองๆๆ ...  ขายกันสะบั้นหั่นแหลก ต้องกะเกณฑ์ญาติพี่น้องมาช่วยกันขายแทบหมดบ้าน เพราะ ขายไม่ทัน ... เปิดตั้งแต่เช้ายันดึก ยืนกันขาแข็ง น่องโป่ง ... สองเดือนผ่านไปหมดหน้าเทศกาลนับๆเงินดู หูยยยๆๆๆๆ กำไรเป็นแสน ปร๊ะ แบบนี้ปีสองปีก็คืนทุนแล้วมั้ง?!?! ... อิ่มเอิบสุดๆ


ภาพเด็กๆ เข้าร้านกันแบบแน่นๆยามเลิกเรียก ช่วงฤดูกาลจับของขวัญ



แต่หารู้ไม่ว่าของจริงกำลังจะมา ... ช่วงปิดเทอม ขายแทบไม่ได้เลย บางวันเปิดบิลไม่ได้ก็มี ช่วงปิดเทอมนี่เงียบจนน่าใจหาย ผมคุยกับภรรยาว่าจะไปรอดหรือเปล่าเนี่ย 555+ ... พูดแล้วก็น่าเจ็บใจ เพราะ ตอนที่กำไรเยอะฟูฟ่าช่วงนั้นถึงแม้ว่าจะสำรองไว้บ้างก็จริง แต่เก็บไว้น้อยเกินไป ไม่พอกับฤดูการอดอยากปากแห้งที่ยาวนานหลายเดือน ยังดีที่ผมยังทำงานประจำยังพอถูๆไถๆไปได้

หมดไป 1 ปี ... 1 ปีที่ผ่านมานี้ทำให้ผมรู้จักกับคำว่า “วัฎจักรทางธุรกิจ” ร้านขายของวัญมีช่วงที่ขายดี มีช่วงที่พอขายได้ และ มีช่วงที่ขายไม่ดี ดั้งนั้นในปีถัดไปผมต้องจัดสรรเงินทองให้ดีกว่าเดิม


รายได้ต่อเดือนหละ ... เป็นอย่างไร?

รายได้อยู่ที่ราวๆ 10,000 - 15,000 บาทต่อเดือน น่าจะราวๆนี้จำแม่นๆไม่ได้ เงินจำนวนนี้เป็นยอดเงินหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว หักค่าตึกเดือนละ 9,000 บาท หักค่ากินเพราะใช้เงินร้านจ่ายทั้งหมด ... ถ้าพิจารณาเป็นยอดก่อนหักก็คงได้ราวๆ 20,000 กว่าๆ ก็พออยู่ได้ครับ เพราะผมเองก็มีเงินเดือนก็ช่วยๆกันไป

การทำบัญชีลักษณะนี้ทำได้ง่ายครับ หมูมาก รับมาจ่ายไปเหลือเท่าไหร่ก็เท่านั้น แต่ทำไปทำมามั่วครับงง รับเอง จ่ายเองงงเอง ทะเลาะกันจ้อย 555+ ... แต่พอครบรอบปีต้องอย่าลืมมาตรวจนับสต็อกเพื่อดูกำไร(ขาดทุน)จากสินค้าคงเหลืออีกครั้งหนึ่งนะครับ เพราะ ถ้าเราไม่นับสินค้าเราจะไม่รู้เลยว่าเรากำไรจริงๆเท่าไหร่

เรื่องเงินเรื่องทองก็พอได้ครับ แต่สิ่งที่ได้มาคืเวลา .... ภรรยาผมว่างจัด เวลาเหลือเยอะ ฟุ้งซ่าน ธาตุไฟเข้าแทรกตลอด ต้องหาอะไรทำตลอดเวลา ไม่งั้นเธอบอกว่าเหงา เฉาตายพอดี เลยหานู่นนี่นั่นมาขายเพิ่มเติม ที่ผมเห็นเธอทำนะครับ เช่น พับนกพับดาวใส่โหล พับเหรียญส่งร้านสังฆภัณฑ์ หานู่นนี่นั่นมาวางขายหน้าร้าน กำไรบ้างขาดทุนบ้างก็ว่ากันไป ฯลฯ


ดาวกระดาษที่พับแล้วกรอกใส่โหล ผูกริ้บบิ้นสีสวยก็เพิ่มมูลค่าได้พอสมควรครับ



เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลามันเดินเร็วยิ่งนัก ... ฟิ้วววววว ... สองปีผ่านไปไวเหมือนโกหก


ในที่สุดก็มาถึงเนื้อหาใจความหลักของบทนี้ ... ร้านเครื่องเขียน


ในเวลานั้น ณ ตลาดแห่งเดียวกันนั้นมีคนประกาศปล่อยให้เช่าตึก ขนาด 2 ชั้นครึ่งจำนวน 2 คูหา ซึ่งอาจจะเป็นช่วงเวลาที่เรากำลังมองหาทำเลแห่งใหม่เพื่อใช้ในการขยับขยายพอดิบพอดี

สภาพตึกก่อนปรับปรุง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่