สวัสดีครับ วันนี้มาเล่าประสบการณ์และชวนสนทนา + ขอคำปรึกษา เรื่องธุรกิจร้านอาหารที่กำลังเจออยู่
ด้วยความที่มันยาว ขอแบ่งเป็นตอนๆแบบนี้นะครับ
1 – มือใหม่กับความฝันอยากทำร้านอาหาร
2 – หุ้นส่วนกลับคำ
3 – เดินต่อหรือพอแค่นั้น
4 – ไปตายเอาดาบหน้า
5 – ใกล้ตาย
1 – มือใหม่กับความฝันอยากทำร้านอาหาร
ก่อนอื่นขอเล่าย้อนกลับไปก่อนจะมาเปิดร้านอาหาร เจ้าของกระทู้ทำธุรกิจหนึ่งมา 10 กว่าปีแล้วครับ(เกี่ยวกับการออกแบบก่อสร้าง) แต่ช่วงหลังๆมีปัญหาค่อนข้างเยอะเลยตัดสินใจปิดกิจการและนำเงินก้อนสุดท้ายมาลงทุนในธุรกิจร้านอาหาร ด้วยความเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองและทำอะไรไม่เคยล้มเหลวมาก่อน บวกกับที่ผ่านมามีโชคช่วยตลอด เลยกำเงินก้อนสุดท้าย 5 ล้านบาทมาลงทุนร้านอาหาร ลุย!!
ร้านที่เปิดเป็นร้านอาหารไทย-ซีฟู้ดครับ ศึกษาตลาดมาแล้วว่าย่านถนนกิ่งแก้ว ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ยังหาร้านนั่งกินสไตล์นี้ไม่มีเลย เรื่องคู่แข่งตัดออกได้เลย
1.บวกกับเส้นกิ่งแก้วมีโรงงาน บริษัทเยอะมาก กลุ่มแรกคือกลุ่มพนักงานประจำพวกนี้ เที่ยงหรือเย็นหลังเลิกงาน พอมีโอกาสพบปะสังสรรค์ งานวันเกิด เลี้ยงส่ง เลี้ยงรับ อะ...เราคงได้กลุ่มนี้มา
2.ศึกษาข้อมูลว่าเส้นนี้ตั้งแต่หัวสนามบินจดบางนาตราดมีหมู่บ้านราวๆ 120 หมู่บ้าน มีบ้านคนชั้นกลาง-บนราวๆ 38,000 หลัง แน่นอนว่า target คนในหมู่บ้านก็ไม่พลาดเพราะว่าเย็นๆหลังเลิกงาน ครอบครัวพาพ่อแม่ลูกมาทานข้าวมื้อพิเศษ วันเกิด วันครบรอบ วันสำคัญต่างๆ
เจ้าของกระทู้ก็สำรวจพื้นที่เลย ไปเจอที่นึงสวยมาก เป็นอาคารโครงสร้างไว้แล้ว มีกระจก 2 ด้าน ทึบสองด้าน ขนาดใหญ่เลย 350 ตารางเมตร ติดถนนใหญ่ กะว่าเอาหมดเลย 3 ห้อง ซึ่งเจ้าของโครงการเขาเซ้งต่อ 2,500,000 + ประกัน 3 เดือน รวมๆก็เกือบ 3 ล้านครับ(ค่าเช่าเดือนละ150,000) หนักอยู่แต่ก็เอาหวะ ไหนๆก็อยากทำแล้วประกอบกับโดยที่เราทำงานสไตล์ออกแบบมาก็จับไอเดียร์ที่สมัยออกแบบให้ลูกค้าแล้วลูกค้าไม่ชอบ (แต่เราชอบ) มายัดเลยลงในกระดาษคิดคำนวนเลยคร่าวๆนะครับ เริ่มต้นคิดเอาว่า
ขายได้เฉลี่ยวันละ 50 บิลๆละเฉลี่ย 1,200 ก็ 60,000 เดือนละ 1,800,000 บาท
หักต้นทุนวัตถุดิบ COGs 40% เหลือกำไรขั้นต้น Gross สัก 1,080,000.00
หักค่าจ้างพนักงานค่าเช่าเดือนละ 450,000 เหลือ 630,000 บาท โอ้ยหวานหมู 10 เดือน 6 ล้าน
คราวนี้ก็กางกระดาษคิดเงินลงทุน ก่อสร้างเอย เครื่องมือเอย เงินหมุนเอย (คิดว่า 3-4 เดือนแรกน่าจะยังขายไม่ได้ตามเป้า-จมทุนแน่นอน) ก็เบ็ดเสร็จรวมค่าเซ้งค่าเช่า 7.5 ล้าน
คราวนี้ปัญหาเกิดว่ามีเงินอยู่ 5 ล้านจะทำไงดี แถมจริงๆเงินลงทุนที่ตั้งใจไว้ทีแรกของตัวเองคือ 3.5 ล้าน เพราะว่าต้องกันอีก 1.5 ล้านเอาไว้ใช้สำหรับธุรกิจอื่นในช่วงเดือนกุมภาปี 68 ก็เลยไปชวนพักพวกมาลงทุน สมมุติว่าชื่อ A B C 3 คน
A ตกลงลงหุ้น 3.0 ล้าน
B กับ C ลงหุ้นคนละ 5 แสน อะเรารวมปุ๊ป โอเคเลยครบ 4 ล้าน รวมกับส่วนของเราที่ตั้งใจไว้อีก 3.5 ล้าน ก็เป็น 7.5 ล้าน
ด้วยความที่ทำธุรกิจมาไม่เคยหุ้นกับใครเลย หนนี้ครั้งแรก ก็เลยไม่คิดอะไรมาก ABC นั้นแต่ละคนก็รู้จักกันมานานและคบหากันมาหลายปีไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกัน
2 – หุ้นส่วนกลับคำ
30 กันยา เป็นวันแรกที่ผมเข้ามาทำสัญญาเช่ากับเจ้าของโครงการ และวางเงินค่าเซ้งกับค่าประกัน รวมๆ 2.95 ล้าน ซึ่งเป็นเงินของผม เมื่อได้สัญญาเช่ามา เรียบร้อยผมก็เรียกเก็บเงินจากหุ้นส่วนทุกคน ซึ่ง B กับ C นั้นไม่มีปัญหาภายใน 3-4 วันหลังจากนั้นก็โอนจ่ายเข้ามาครบ แต่ A กลับบอกว่าขอจ่ายก่อนแค่ 5 แสน แล้วรอดูร้านก่อนว่าจะออกมายังไง แนวโน้มดีไหม ผมก็เลย เอ๋าๆๆๆๆๆ แบบนี้มันไม่แฟร์นิ เพราะทำธุรกิจด้วยกันมันควรร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันสิ ก็เลยแย้งไป ได้รับคำตอบว่า โอเค พี่ A จะลงแน่นอนแต่ส่วนที่เหลืออีก 2.5 ล้าน จะขอลงเงินวันที่ 15 ตุลาอีกที (ซึ่งเราสร้างร้านเสร็จพอดี) ผมก็ได้กลิ่นแปลกๆละ แต่ในใจคิดว่า โอเคเรายังมีเงินส่วนตัวเหลืออยู่ 1.5 ล้าน บวกกับที่ได้จากหุ้นส่วนมาแล้วตอนนี้ 1.5 ล้าน ยังไงก็ต้องเดินต่อ ก็เลยตัดสินใจทำร้านต่อ
3 – เดินต่อหรือพอแค่นั้น
ด้วยทักษะ connection และประสบการณ์ ผมเนรมิตร้านให้เสร็จได้ภายใน 14 วัน จนพอมาถึงวันที่ 15 ร้านก็เสร็จพร้อมเปิดวันที่ 18 ตามสัญญาเช่า ผมจึงทวงถามเงินลงทุนไปที่พี่ A แต่แกก็ตอบมาว่าแกลงแค่ 5 แสน แกไม่มั่นใจในฝีมือเชฟและทีมงาน ซึ่งมาบอกเอาตอนนี้จะทำยังไง เพราะเงินค่าก่อสร้างใดๆเราก็ลงไปหมดแล้ว เบ็ดเสร็จตอนนั้นลงไปเกือบ 6.5 ล้าน (ส่วนของผม1.5ล้านที่ชดเชยเพิ่มเข้าไป) ซึ่งอึดอัดมาก ไม่รู้จะคุยยังไงเพราะเขาก็ให้เหตุผลที่โค-ตะ-ระ รับไม่ได้เลย แต่ด้วยความที่ทีมงาน คนครัว หุ้นส่วนคนอื่นๆพร้อมมาก อยากช่วยกันทำร้าน เราก็เปิดไปตามกำหนดการปกติ บวกกับรสชาติอาหารที่บอกได้เลยว่าอร่อยมากๆ โลเคชั่นที่ดีมากๆ ผมก็แอบหวังว่าร้านจะทำยอดได้ตามเป้า 1.8 ล้านไวกว่ากำหนดสัก 2 เดือน และพอจะช่วยชดเชยส่วนนี้ได้ (เงินทุนจดทะเบียน 5 ล้าน-ส่วนที่เกิน 1.5ล้านเป็นเงินยืมกรรมการ ซึ่งก็คือยืมผม)
4 – ไปตายเอาดาบหน้า
พอเปิดร้านได้วันที่ 18 ตุลา ทุกอย่างเหมือนจะดี ทุกคนแม้กระทั่งพี่ A ก็ชื่นชม และพาเพื่อน พาพวกมากินกันที่ร้าน ชมกันไม่ขาดสายว่าอาหารอร่อย รีวิวดีเต็มเพจของร้าน ซึ่งผมดูแนวโน้มยอดขายนั้นเดือน พย ขายได้ 3.7 แสน และ ธ.ค ขายได้ 5.5 แสน ถือว่าดีสำหรับร้านเปิดใหม่และเทียบกับข้อมูลร้านใกล้เคียง แต่ยังไม่ใกล้ 1.8 ล้านที่หวังว่าจะมาช่วยได้ ระหว่าง 2 เดือนนี้ร้านก็ยังขาดทุนและอย่างที่บอกว่า จริงๆร้านต้องการทุน 7.5 ล้าน สำหรับสำรองจ่ายในช่วง 4 เดือนแรกด้วย ผมจึงต้องยืมเงินคุณแฟนมาอีก 5 แสนเพื่อมาพยุงให้มันเดินต่อไปได้พ้นช่วง 4 เดือนแรก และพอเห็นว่ายอดขายมันแนวโน้มประมาณนี้ ผมก็พยายามหานักลงทุนหุ้นส่วน นายทุนต่างๆหวังว่าจะมาซื้อหุ้นในส่วนนี้เพื่อมาชดเชยกับเงินที่หายไป แต่เหมือนฟ้าแกล้ง จังหวะไม่ดีเอามากๆ เพราะทุกครั้งที่มีคนคอนเฟริมจะซื้อหุ้นบางส่วน คุยกันดิบดี พอถึงวันนัดมาทำสัญญากันเกิดยกเลิกบ้าง ไม่สะดวกแล้วบ้าง หรือถึงขั้นหายไปเลยก็มี หรืออาจจะเพราะเป็นนักลงในเพจเฟซบุกต่างๆ เลยเป็นนักลงทุนปากมากกว่านักลงทุนจริงๆ
5 – ใกล้ตาย
จนมาถึงวันนี้ร้านเริ่มเลี้ยงตัวเองได้แล้วครับ เดือนนี้เดือนที่ 3 คิดว่ายอดขายเดือนนี้ทะลุ 7-8 แสน++ได้แน่นอน เพราะว่ามียอดจัดเลี้ยงจองเข้ามา 2 วันๆละแสนกว่าบาท บวกกับยอดขายรายวัน 12 วันที่ผ่านมาของเดือนนี้ 2 หมื่นกว่าตลอด แต่ปัญหาคือตัวผมที่เอาเงินส่วนตัวที่กันไว้ใช้ในอีกงานมาลงทุนที่ร้านกับยืมเงินแฟนมา ซึ่งใกล้ถึงเวลาต้องใช้เงินก้อนนี้แล้ว คราวนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เพราะดิลที่ผมนัดจ่ายต้นเดือนกุมภานี้ก็สำคัญมากไม่สามารถเจรจาหรือขอเลื่อนใดๆได้เด็ดขาด หากไปต่อไม่ได้จริงๆผมอาจจะต้องยอมปล่อยเซ้งร้านคืนเจ้าของโครงการเพื่อให้ได้เงินค่าเซ้งกับค่าประกันคืนมา 2.95 ล้าน แต่ก็จะเป็นความเสียหายอย่างหนัก เพราะว่าร้านลงทุนไปถึงวันนี้ 7 ล้าน เราเลยจุดต่ำสุดมาแล้วกำลังจะมีกำไร แต่เหมือนจะไปไม่รอดเลย
คำถามและข้อสนทนาคือ ถึงเวลานี้ผมควรทำอย่างไรดีครับ
หมายเหตุ ข้อมูลเพิ่มเติม
1. ส่วนตัวผมไม่สามารถกู้ธนาคารเพิ่มได้ครับ เนื่องจากมีหนี้บ้านรถ เยอะอยู่แล้ว สอบถาม RM ทุกแบงค์แล้ว
2. กิจการพึ่งเปิดมา 3 เดือน กู้โดยร้านก็ทำไม่ได้ครับ
3. ร้านมีระบบ POS ตรวจสอบยอดขาย และระบบการรับจ่ายเงินทั้งหมดผ่านบัญชีธนาคารที่แชร์ user password กับหุ้นส่วนทุกคนดูได้แบบ realtime ด้วยระบบนี้คิดว่าไม่มีปัญหาเรื่องความโปร่งใสครับ
4. คุยกับเจ้าของโครงการแล้ว ถ้าขอเลิกสัญญา เขาอนุโลมที่จะคืนค่าเซ้ง+ประกันให้ก่อนครบกำหนดตามสัญญาได้ครับ
ข้อมูลเพิ่มเติมครับ เผื่อใครพอจะสามารถวิเคราะห์ปัญหาจริงๆได้
https://online.fliphtml5.com/qpjku/bxlx/
ควรทำอย่างไรเมื่อร้านอาหารกลับตัวก็ไม่ได้ เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง
ด้วยความที่มันยาว ขอแบ่งเป็นตอนๆแบบนี้นะครับ
1 – มือใหม่กับความฝันอยากทำร้านอาหาร
2 – หุ้นส่วนกลับคำ
3 – เดินต่อหรือพอแค่นั้น
4 – ไปตายเอาดาบหน้า
5 – ใกล้ตาย
1 – มือใหม่กับความฝันอยากทำร้านอาหาร
ก่อนอื่นขอเล่าย้อนกลับไปก่อนจะมาเปิดร้านอาหาร เจ้าของกระทู้ทำธุรกิจหนึ่งมา 10 กว่าปีแล้วครับ(เกี่ยวกับการออกแบบก่อสร้าง) แต่ช่วงหลังๆมีปัญหาค่อนข้างเยอะเลยตัดสินใจปิดกิจการและนำเงินก้อนสุดท้ายมาลงทุนในธุรกิจร้านอาหาร ด้วยความเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองและทำอะไรไม่เคยล้มเหลวมาก่อน บวกกับที่ผ่านมามีโชคช่วยตลอด เลยกำเงินก้อนสุดท้าย 5 ล้านบาทมาลงทุนร้านอาหาร ลุย!!
ร้านที่เปิดเป็นร้านอาหารไทย-ซีฟู้ดครับ ศึกษาตลาดมาแล้วว่าย่านถนนกิ่งแก้ว ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ยังหาร้านนั่งกินสไตล์นี้ไม่มีเลย เรื่องคู่แข่งตัดออกได้เลย
1.บวกกับเส้นกิ่งแก้วมีโรงงาน บริษัทเยอะมาก กลุ่มแรกคือกลุ่มพนักงานประจำพวกนี้ เที่ยงหรือเย็นหลังเลิกงาน พอมีโอกาสพบปะสังสรรค์ งานวันเกิด เลี้ยงส่ง เลี้ยงรับ อะ...เราคงได้กลุ่มนี้มา
2.ศึกษาข้อมูลว่าเส้นนี้ตั้งแต่หัวสนามบินจดบางนาตราดมีหมู่บ้านราวๆ 120 หมู่บ้าน มีบ้านคนชั้นกลาง-บนราวๆ 38,000 หลัง แน่นอนว่า target คนในหมู่บ้านก็ไม่พลาดเพราะว่าเย็นๆหลังเลิกงาน ครอบครัวพาพ่อแม่ลูกมาทานข้าวมื้อพิเศษ วันเกิด วันครบรอบ วันสำคัญต่างๆ
เจ้าของกระทู้ก็สำรวจพื้นที่เลย ไปเจอที่นึงสวยมาก เป็นอาคารโครงสร้างไว้แล้ว มีกระจก 2 ด้าน ทึบสองด้าน ขนาดใหญ่เลย 350 ตารางเมตร ติดถนนใหญ่ กะว่าเอาหมดเลย 3 ห้อง ซึ่งเจ้าของโครงการเขาเซ้งต่อ 2,500,000 + ประกัน 3 เดือน รวมๆก็เกือบ 3 ล้านครับ(ค่าเช่าเดือนละ150,000) หนักอยู่แต่ก็เอาหวะ ไหนๆก็อยากทำแล้วประกอบกับโดยที่เราทำงานสไตล์ออกแบบมาก็จับไอเดียร์ที่สมัยออกแบบให้ลูกค้าแล้วลูกค้าไม่ชอบ (แต่เราชอบ) มายัดเลยลงในกระดาษคิดคำนวนเลยคร่าวๆนะครับ เริ่มต้นคิดเอาว่า
ขายได้เฉลี่ยวันละ 50 บิลๆละเฉลี่ย 1,200 ก็ 60,000 เดือนละ 1,800,000 บาท
หักต้นทุนวัตถุดิบ COGs 40% เหลือกำไรขั้นต้น Gross สัก 1,080,000.00
หักค่าจ้างพนักงานค่าเช่าเดือนละ 450,000 เหลือ 630,000 บาท โอ้ยหวานหมู 10 เดือน 6 ล้าน
คราวนี้ก็กางกระดาษคิดเงินลงทุน ก่อสร้างเอย เครื่องมือเอย เงินหมุนเอย (คิดว่า 3-4 เดือนแรกน่าจะยังขายไม่ได้ตามเป้า-จมทุนแน่นอน) ก็เบ็ดเสร็จรวมค่าเซ้งค่าเช่า 7.5 ล้าน
คราวนี้ปัญหาเกิดว่ามีเงินอยู่ 5 ล้านจะทำไงดี แถมจริงๆเงินลงทุนที่ตั้งใจไว้ทีแรกของตัวเองคือ 3.5 ล้าน เพราะว่าต้องกันอีก 1.5 ล้านเอาไว้ใช้สำหรับธุรกิจอื่นในช่วงเดือนกุมภาปี 68 ก็เลยไปชวนพักพวกมาลงทุน สมมุติว่าชื่อ A B C 3 คน
A ตกลงลงหุ้น 3.0 ล้าน
B กับ C ลงหุ้นคนละ 5 แสน อะเรารวมปุ๊ป โอเคเลยครบ 4 ล้าน รวมกับส่วนของเราที่ตั้งใจไว้อีก 3.5 ล้าน ก็เป็น 7.5 ล้าน
ด้วยความที่ทำธุรกิจมาไม่เคยหุ้นกับใครเลย หนนี้ครั้งแรก ก็เลยไม่คิดอะไรมาก ABC นั้นแต่ละคนก็รู้จักกันมานานและคบหากันมาหลายปีไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกัน
2 – หุ้นส่วนกลับคำ
30 กันยา เป็นวันแรกที่ผมเข้ามาทำสัญญาเช่ากับเจ้าของโครงการ และวางเงินค่าเซ้งกับค่าประกัน รวมๆ 2.95 ล้าน ซึ่งเป็นเงินของผม เมื่อได้สัญญาเช่ามา เรียบร้อยผมก็เรียกเก็บเงินจากหุ้นส่วนทุกคน ซึ่ง B กับ C นั้นไม่มีปัญหาภายใน 3-4 วันหลังจากนั้นก็โอนจ่ายเข้ามาครบ แต่ A กลับบอกว่าขอจ่ายก่อนแค่ 5 แสน แล้วรอดูร้านก่อนว่าจะออกมายังไง แนวโน้มดีไหม ผมก็เลย เอ๋าๆๆๆๆๆ แบบนี้มันไม่แฟร์นิ เพราะทำธุรกิจด้วยกันมันควรร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันสิ ก็เลยแย้งไป ได้รับคำตอบว่า โอเค พี่ A จะลงแน่นอนแต่ส่วนที่เหลืออีก 2.5 ล้าน จะขอลงเงินวันที่ 15 ตุลาอีกที (ซึ่งเราสร้างร้านเสร็จพอดี) ผมก็ได้กลิ่นแปลกๆละ แต่ในใจคิดว่า โอเคเรายังมีเงินส่วนตัวเหลืออยู่ 1.5 ล้าน บวกกับที่ได้จากหุ้นส่วนมาแล้วตอนนี้ 1.5 ล้าน ยังไงก็ต้องเดินต่อ ก็เลยตัดสินใจทำร้านต่อ
3 – เดินต่อหรือพอแค่นั้น
ด้วยทักษะ connection และประสบการณ์ ผมเนรมิตร้านให้เสร็จได้ภายใน 14 วัน จนพอมาถึงวันที่ 15 ร้านก็เสร็จพร้อมเปิดวันที่ 18 ตามสัญญาเช่า ผมจึงทวงถามเงินลงทุนไปที่พี่ A แต่แกก็ตอบมาว่าแกลงแค่ 5 แสน แกไม่มั่นใจในฝีมือเชฟและทีมงาน ซึ่งมาบอกเอาตอนนี้จะทำยังไง เพราะเงินค่าก่อสร้างใดๆเราก็ลงไปหมดแล้ว เบ็ดเสร็จตอนนั้นลงไปเกือบ 6.5 ล้าน (ส่วนของผม1.5ล้านที่ชดเชยเพิ่มเข้าไป) ซึ่งอึดอัดมาก ไม่รู้จะคุยยังไงเพราะเขาก็ให้เหตุผลที่โค-ตะ-ระ รับไม่ได้เลย แต่ด้วยความที่ทีมงาน คนครัว หุ้นส่วนคนอื่นๆพร้อมมาก อยากช่วยกันทำร้าน เราก็เปิดไปตามกำหนดการปกติ บวกกับรสชาติอาหารที่บอกได้เลยว่าอร่อยมากๆ โลเคชั่นที่ดีมากๆ ผมก็แอบหวังว่าร้านจะทำยอดได้ตามเป้า 1.8 ล้านไวกว่ากำหนดสัก 2 เดือน และพอจะช่วยชดเชยส่วนนี้ได้ (เงินทุนจดทะเบียน 5 ล้าน-ส่วนที่เกิน 1.5ล้านเป็นเงินยืมกรรมการ ซึ่งก็คือยืมผม)
4 – ไปตายเอาดาบหน้า
พอเปิดร้านได้วันที่ 18 ตุลา ทุกอย่างเหมือนจะดี ทุกคนแม้กระทั่งพี่ A ก็ชื่นชม และพาเพื่อน พาพวกมากินกันที่ร้าน ชมกันไม่ขาดสายว่าอาหารอร่อย รีวิวดีเต็มเพจของร้าน ซึ่งผมดูแนวโน้มยอดขายนั้นเดือน พย ขายได้ 3.7 แสน และ ธ.ค ขายได้ 5.5 แสน ถือว่าดีสำหรับร้านเปิดใหม่และเทียบกับข้อมูลร้านใกล้เคียง แต่ยังไม่ใกล้ 1.8 ล้านที่หวังว่าจะมาช่วยได้ ระหว่าง 2 เดือนนี้ร้านก็ยังขาดทุนและอย่างที่บอกว่า จริงๆร้านต้องการทุน 7.5 ล้าน สำหรับสำรองจ่ายในช่วง 4 เดือนแรกด้วย ผมจึงต้องยืมเงินคุณแฟนมาอีก 5 แสนเพื่อมาพยุงให้มันเดินต่อไปได้พ้นช่วง 4 เดือนแรก และพอเห็นว่ายอดขายมันแนวโน้มประมาณนี้ ผมก็พยายามหานักลงทุนหุ้นส่วน นายทุนต่างๆหวังว่าจะมาซื้อหุ้นในส่วนนี้เพื่อมาชดเชยกับเงินที่หายไป แต่เหมือนฟ้าแกล้ง จังหวะไม่ดีเอามากๆ เพราะทุกครั้งที่มีคนคอนเฟริมจะซื้อหุ้นบางส่วน คุยกันดิบดี พอถึงวันนัดมาทำสัญญากันเกิดยกเลิกบ้าง ไม่สะดวกแล้วบ้าง หรือถึงขั้นหายไปเลยก็มี หรืออาจจะเพราะเป็นนักลงในเพจเฟซบุกต่างๆ เลยเป็นนักลงทุนปากมากกว่านักลงทุนจริงๆ
5 – ใกล้ตาย
จนมาถึงวันนี้ร้านเริ่มเลี้ยงตัวเองได้แล้วครับ เดือนนี้เดือนที่ 3 คิดว่ายอดขายเดือนนี้ทะลุ 7-8 แสน++ได้แน่นอน เพราะว่ามียอดจัดเลี้ยงจองเข้ามา 2 วันๆละแสนกว่าบาท บวกกับยอดขายรายวัน 12 วันที่ผ่านมาของเดือนนี้ 2 หมื่นกว่าตลอด แต่ปัญหาคือตัวผมที่เอาเงินส่วนตัวที่กันไว้ใช้ในอีกงานมาลงทุนที่ร้านกับยืมเงินแฟนมา ซึ่งใกล้ถึงเวลาต้องใช้เงินก้อนนี้แล้ว คราวนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เพราะดิลที่ผมนัดจ่ายต้นเดือนกุมภานี้ก็สำคัญมากไม่สามารถเจรจาหรือขอเลื่อนใดๆได้เด็ดขาด หากไปต่อไม่ได้จริงๆผมอาจจะต้องยอมปล่อยเซ้งร้านคืนเจ้าของโครงการเพื่อให้ได้เงินค่าเซ้งกับค่าประกันคืนมา 2.95 ล้าน แต่ก็จะเป็นความเสียหายอย่างหนัก เพราะว่าร้านลงทุนไปถึงวันนี้ 7 ล้าน เราเลยจุดต่ำสุดมาแล้วกำลังจะมีกำไร แต่เหมือนจะไปไม่รอดเลย
คำถามและข้อสนทนาคือ ถึงเวลานี้ผมควรทำอย่างไรดีครับ
หมายเหตุ ข้อมูลเพิ่มเติม
1. ส่วนตัวผมไม่สามารถกู้ธนาคารเพิ่มได้ครับ เนื่องจากมีหนี้บ้านรถ เยอะอยู่แล้ว สอบถาม RM ทุกแบงค์แล้ว
2. กิจการพึ่งเปิดมา 3 เดือน กู้โดยร้านก็ทำไม่ได้ครับ
3. ร้านมีระบบ POS ตรวจสอบยอดขาย และระบบการรับจ่ายเงินทั้งหมดผ่านบัญชีธนาคารที่แชร์ user password กับหุ้นส่วนทุกคนดูได้แบบ realtime ด้วยระบบนี้คิดว่าไม่มีปัญหาเรื่องความโปร่งใสครับ
4. คุยกับเจ้าของโครงการแล้ว ถ้าขอเลิกสัญญา เขาอนุโลมที่จะคืนค่าเซ้ง+ประกันให้ก่อนครบกำหนดตามสัญญาได้ครับ
ข้อมูลเพิ่มเติมครับ เผื่อใครพอจะสามารถวิเคราะห์ปัญหาจริงๆได้
https://online.fliphtml5.com/qpjku/bxlx/