= = = กลเทวา บทที่ 8 = = =

กระทู้สนทนา
บทนำ และบทที่ 1 : http://ppantip.com/topic/33291401

บทที่ 2 : http://ppantip.com/topic/33336819

บทที่ 3 : http://ppantip.com/topic/33371077

บทที่ 4 : http://ppantip.com/topic/33400940

บทที่ 5 : http://ppantip.com/topic/33441604

บทที่ 6 : http://ppantip.com/topic/33468471

บทที่ 7 : http://ppantip.com/topic/33500693

================================

บทที่ 8

    ประตูกระจกใสของออฟฟิศประจำไร่อุมาเปิดออกพร้อมด้วยผู้จัดการไร่ที่เดินผิวปากเข้ามาอย่างมีความสุข ก่อนชะงักเท้าเมื่อลูกน้องบุ้ยใบ้ให้เข้าไปในส่วนที่กั้นเขตเป็นห้องประชุมเล็กซึ่งตอนนี้อินทุภายึดเป็นห้องทำงานส่วนตัวไปแล้ว


    ภาพร่างบางที่พังพาบบนโต๊ะห้องประจำ คางเกยบนท่อนแขนเรียว ตามองจอคอมพิวเตอร์ส่วนตัว นิ้วจิ้มคีย์บอร์ดทีละปุ่มเกือบทำให้ภูเบศวร์หลุดหัวเราะกับอาการ‘หมดสภาพ’ของสาวสวยชาวกรุงเทพ ชายหนุ่มยืนมองอาการไร้สติของอินทุภาอยู่ครู่ใหญ่ เมื่อเจ้าตัวดูจะไม่รู้ว่ามีใครเข้ามารุกล้ำความเป็นส่วนตัว ภูเบศวร์จึงแกล้งกระแอมไอ


    อินทุภาเงยหน้าขึ้นจากแล็บท็อป เหลียวมองไปทางต้นเสียง เมื่อเห็นเป็นภูเบศวร์ หล่อนก็ส่งยิ้มให้เป็นเชิงทักทาย ก่อนหันไปสนใจภาพเคลื่อนไหวที่หน้าจอต่อ ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เอื้อมมือไปพับหน้าจอแล็บท็อปลงอย่างถือวิสาสะ


    “ว้าย!” หญิงสาวอุทาน หันไปมองหน้าเจ้าของมืออย่างไม่พอใจ


    “ไม่เป็นไรน่า คุณไนท์ไม่ได้ทำงานอะไรค้างอยู่ไม่ใช่เหรอ?”


    อินทุภาเม้มปากแน่นไม่ตอบ ไพล่ไปถามธุระของอีกฝ่ายแทน


    “อยู่ดีๆมาปิดคอมฯไนท์ทำไมคะ?”


    “ผมต่างหากที่ควรถามคุณไนท์ อยู่ดีๆมานั่งจ้องคอมฯเป็นผีดิบทำไม ทำไมไม่ทำงานล่ะครับ ไอ้ที่ผมฝากให้แปลเมื่อสองวันก่อนเสร็จแล้วเหรอ”


    “ยัง” หล่อนสะบัดเสียงตอบ “ไม่มีอารมณ์”


    ภูเบศวร์โคลงศีรษะอ่อนใจกับอาการพาลราวกับเด็กเล็กๆ ชายหนุ่มลากเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับอีกฝ่ายออกมานั่ง เขาจ้องหน้าหญิงสาวก่อนจะถามจริงจัง
    “ตกลงคุณไนท์เป็นอะไร?”


    อินทุภานั่งหน้าบึ้ง มองตอบอีกฝ่ายแต่ไม่พูดอะไร เวลาผ่านไปหลายนาทีโดยมีแต่ความเงียบงัน จนภูเบศวร์เป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อน


    “เอาเถอะ ถ้าคุณไนท์ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นอะไร แต่งานที่ผมฝากให้ทำ ช่วยส่งภายในอาทิตย์นี้ด้วยนะครับ หรือถ้าว่าง จะช่วยติดต่อกับทางโน้นเลยก็ดี เดี๋ยวจะเอาอีเมล์ให้ ผมจะได้ไม่ต้องคุยเอง”


    “ได้ค่ะ” หญิงสาวตวัดตาค้อน ช่างเป็นผู้ชายที่ไร้ความละเอียดอ่อนจริงๆ ขนาดเห็นอยู่ว่าหล่อนอารมณ์ไม่ดี ยังจะมาทวงงานกันอีก


    ภูเบศวร์กลั้นอาการอยากหัวเราะกับกริยาแบบเด็กๆของอีกฝ่าย หลังจากรู้จักกันมาพักใหญ่ ชายหนุ่มก็พบว่าใต้เปลือกสาวชาวกรุง ท่าทางหยิ่งๆแบบลูกคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็นของอินทุภา หญิงสาวยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก กริยาอาการไม่น่ารักทั้งหลายนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกลบความไม่มั่นใจ ความรีๆขวางๆไม่ชอบทั้งหลายจึงลดลงไปกว่าครึ่งกลายเป็นความเข้าใจ


    “งั้นวันนี้คุณไนท์ก็จะไม่ทำงานใช่มั้ย?”


    อินทุภาปรายตามองก่อนพยักหน้ารับ ผู้จัดการไร่หนุ่มยิ้มกว้าง


    “ดีเลย งั้นเข้าเมืองกันดีกว่า”


    “เข้าเมือง?”


    “อือฮึ เข้าเมือง” เขายืนยัน “ผมจะไปซื้อของในเมือง คุณไนท์อยู่ว่างๆไม่ได้ทำอะไรก็ไปด้วยกันดีกว่า เผื่อจะได้ช่วยผมเลือกด้วย”


    หญิงสาวกระพริบตาปริบ ไม่ทันได้เอ่ยปากตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะภูเบศวร์ถือเอาว่าความเงียบคือการตอบรับ


    “ขอเวลาผมสิบห้านาที ขอไปเซ็นเอกสารก่อน คุณไนท์เก็บของรอได้เลย”


    อินทุภามองตามร่างสูงที่สั่งเสร็จก็เดินหายลับไปในห้องทำงาน หล่อนกรอกตาไปมา จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น ภูเบศวร์ถึงได้มาลากหล่อนออกไปซื้อของด้วย แต่เอาเถอะ...ก็ยังดีกว่ามานั่งจมอยู่ตรงนี้ล่ะมั้ง ปัญหาระหว่างหล่อนกับมารดาเลี้ยงเป็นสิ่งสะสมเรื้อรังมาหลายสิบปี เพื่อนสนิทคนเดียวที่พอปรับทุกข์ได้ก็อยู่คนละซีกโลก นึกๆไปตอนนี้ อินทุภาก็ไม่มีอะไรจะทำมากไปกว่าการดูละครเรื่อยเปื่อย ออกไปช็อปปิ้ง เจอแสงสีบ้างก็ไม่เลว
    สิบห้านาทีไม่ขาดไม่เกิน ภูเบศวร์ก็เดินมาเรียกพร้อมกุญแจรถที่แกว่งอยู่ในมือ ชายหนุ่มเดินนำอินทุภามายังรถกระบะคันที่ใช้อยู่ประจำ หญิงสาวกวาดตามองสภาพที่ดูเหมือนไม่ได้ล้างมาหลายวัน


    “อ้าว ไม่ได้เอาคันสีขาวไปเหรอคะ?” หล่อนถามถึงรถยนต์ส่วนตัวของคุณนายอุมาที่ภูเบศวร์มักใช้ยามไปติดต่อธุระในเมือง ชายหนุ่มหรี่ตามองอย่างรู้ทัน
    “วันนี้ไปซื้อของครับ ไม่ได้ไปทำธุระ เอาคันนี้ไปแหละดีแล้ว ขนของได้เยอะกว่า”


    อินทุภาเบ้ปาก ไม่ได้พูดอะไรต่อ ปีนขึ้นไปนั่งบนรถแต่โดยดี หล่อนไม่ชอบนั่งรถกระบะเพราะเวลาเดินทางมันสะเทือนกว่าปกติ และอีกอย่าง...หญิงสาวเหลือบมองหนังสือหลายเล่ม และข้าวของที่วางอยู่เรียงรายด้านหลัง รกเหมือนเดิมไม่มีผิดเลย


    ภูเบศวร์ลอบยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ขึ้นนั่งประจำที่คนขับ ก่อนจะขับรถตรงไปยังจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ ชายหนุ่มเหลือบมองอาการเหม่อลอยของอินทุภา ตัดสินใจชวนอีกฝ่ายคุย


    “ว่าแต่...คุณไนท์จะบอกผมหรือยัง ว่าตกลงเป็นอะไร ถึงได้ไร้วิญญาณขนาดนี้”


    หญิงสาวค้อนขวับ
    “ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”


    “ไม่ได้เป็นอะไรแล้วทำไมถึงเงียบจัง ขนาดผมไม่ชะลอตอนขับผ่านลูกระนาด คุณไนท์ยังไม่บ่นสักคำ” เขาหมายถึงลูกคลื่นบนถนนที่สร้างไว้เพื่อชะลอความเร็วของรถ


    “โอเคค่ะ เป็นก็ได้” อินทุภาว่าอย่างหมดความอดทน “แต่ไม่อยากเล่าให้ฟัง มีอะไรไหมคะ?”


     “มีครับ” เขาเอ่ยสวน “คุณไนท์ไม่สบายใจทำงานไม่เสร็จ คุณไนท์ไม่สบายใจคุณนายก็ไม่สบายใจ ดังนั้น ผมคิดว่า คุณไนท์ควรจะระบายความไม่สบายใจออกมา จะได้สบายใจสักที”


    หญิงสาวที่กำลังไม่สบายใจกระพริบตาปริบกับข้อความชวนงุนงงของอีกฝ่าย


    “เอาน่า ผมไม่เอาไปพูดต่อที่ไหนหรอก รับรอง” ภูเบศวร์สำทับ “คิดเสียว่าผมเป็นพี่ชายคุณก็ได้”


    “ฉันไม่เคยมีพี่ชาย”


    “ไม่มีก็มีได้ครับ”


    “แต่ตอนนี้ไม่ได้อยากมีนี่คะ”


หล่อนกระแทกเสียง ตวัดสายตาค้อน หากแทนที่ภูเบศวร์จะเลิกเซ้าซี้ ชายหนุ่มกลับหัวเราะเสียงดังอย่างอดไว้ไม่อยู่ ท่าทางขบขันเต็มที่นั้นยิ่งเพิ่มความโกรธให้อินทุภาจนหล่อนทำสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน หญิงสาวฟาดลงไปที่ไหล่ของอีกฝ่ายเต็มแรงจนชายหนุ่มร้องลั่น เสียงร้องด้วยความเจ็บนั้นทำเอาคนลงมือตกใจจนรีบละล่ำละลักขอโทษ


    “ว้าย ไนท์ขอโทษค่ะ” หญิงสาวพนมมือไหว้ทันที มือเรียวลูบไปตรงที่เผลอทำร้ายไปเบาๆ ยิ้มแหยๆ “เจ็บมั้ยคะ?”


    คนขับรถที่ตอนนี้แม้จะหยุดหัวเราะแล้วแต่หน้ายังเกลื่อนด้วยรอยยิ้มละมือจากพวงมาลัย ตบเบาๆบนหลังมือที่สัมผัสไหล่อยู่เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ท่าทางสบายๆคล้ายพี่ชายเอ็นดูน้องสาวนั้นทำให้อินทุภาสบายใจมากกว่าจะรู้สึกว่าถูกล่วงเกิน


    “ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ “นิดๆหน่อยๆเอง แค่นี้จิ๊บจ๊อยน่า ว่าแต่คุณไนท์สบายใจขึ้นหรือยัง?”


    ร่างบางที่นั่งอยู่นิ่งไป เพิ่งเข้าใจว่าอีกฝ่ายตั้งใจยั่วยุให้หล่อนระบายความเครียดออก ความโกรธและอารมณ์หงุดหงิดจึงมลายหายไปกว่าครึ่ง หล่อนส่งยิ้มบางๆให้


    “ขอบคุณค่ะ” อินทุภาขอบคุณเสียงอ่อน “ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ไนท์ยังไม่พร้อมจะเล่าให้ใครฟังตอนนี้”


    ภูเบศวร์พยักหน้ารับ ไม่เซ้าซี้อะไรอีก ชายหนุ่มชวนหญิงสาวคุยเรื่องสัพเพเหระ ปัญหาพิลึกพิลั่นที่เจอมาตั้งแต่เริ่มทำงานกับคุณนายอุมา ไปจนถึงเพลง ภาพยนตร์และหนังสือที่ชื่นชอบ อินทุภาพบว่า เมื่อผู้จัดการไร่หนุ่มไม่ยียวนหล่อน เขาก็เป็นเพื่อนคุยที่สนุกทีเดียว อคติและความไม่ชอบหน้าที่สะสมมาหลายวันจึงมลายหายไปกว่าครึ่ง หญิงสาวหัวเราะกับมุกตลกของเขาจนกระทั่งชายหนุ่มเลี้ยวเข้าไปจอดรถในอาคารขนาดใหญ่


    “โอ๊ะ ไนท์ไม่ยักรู้ว่าที่นี่มีห้าง...ด้วย” หล่อนเอ่ยชื่อห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ที่มีหลายสาขาในประเทศ


    “เพิ่งมาเปิดได้สามเดือนเองครับ” ภูเบศวร์บอกยิ้มๆ “จริงๆไม่ได้อยู่ในจังหวัดเราหรอกครับ ผมขับรถข้ามมาอีกจังหวัด เห็นคุณไนท์อารมณ์ไม่ค่อยดี ช็อปปิ้งแล้วน่าจะอารมณ์ดีขึ้น”


    อินทุภากระพริบตาปริบ ริมฝีปากแย้มออกเป็นรอยยิ้มกว้างขวาง ภายใต้ท่าทางขวางโลกและปากเสียๆของภูเบศวร์ ชายหนุ่มเป็นคนมีน้ำใจมากกว่าที่คิดไว้มาก


    “ขอบคุณนะคะ” หล่อนว่าพลางพนมมือไหว้


    ผู้จัดการไร่หนุ่มรับไหว้ แล้วยกมือขึ้นเกาหัวอย่างทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าสีเรื่อและท่าทางขัดเขินนั้นทำเอาอินทุภาต้องกลั้นหัวเราะ หล่อนแกล้งถามเสียงใส
    “พามาแล้วจะเป็นเจ้ามือด้วยหรือเปล่าคะ?”


    ชายหนุ่มระเบิดหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นท่าทางเจ้าเล่ห์ของร่างเล็กที่ยืนตรงข้าม อินทุภาในยามนี้ดูสดใส มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ภูเบศวร์ขยิบตาให้อีกฝ่าย


    “ร้อยเดียวพอไหมครับ?”


    “แหม ร้อยนึงจะซื้ออะไรได้คะ?”


    “ก็น่าจะพอเลี้ยงข้าวคุณไนท์ได้สักมื้อน่า”


    หญิงสาวหัวเราะคิก ท่าทางผู้จัดการไร่หนุ่มจะไม่ได้เข้าเมืองมานานพอดู สมัยนี้เงินร้อยเดียวจะทำอะไรได้ แต่อินทุภาไม่อยากล้อเลียนอีกฝ่าย หล่อนจึงไพล่ไปถามเหตุผลที่เขาเดินทางมาวันนี้แทน


    “แล้วนี่ตกลงคุณเบสจะมาซื้ออะไรคะ? อย่าบอกนะว่าแค่จะพาไนท์มาช็อปปิ้ง ไนท์ไม่เชื่อหรอก”


    “โธ่ นี่เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย” คนพามาบ่นงึมงำ “จริงๆก็จะพาคุณไนท์มาเดินเล่นล่ะครับ แล้วก็ว่าจะมาดูพวกเครื่องเรือนด้วย”


    “เครื่องเรือน?”


    “ครับ” ภูเบศวร์พยักหน้ารับ “นิกกี้ใกล้จะมาแล้ว แต่ผมยังไม่ได้จัดห้องให้เขาเลย”


    อินทุภาชะงักไปครู่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านั่นคือชื่อลูกสาวของอีกฝ่าย


    “อ๋อ” หล่อนลากเสียงยาว “แล้วต้องซื้ออะไรบ้างล่ะคะ?”


    “เอ่อ ก็เตียง ตู้เสื้อผ้า ตุ๊กตา โซฟา โต๊ะเครื่องแป้งอะไรแบบนี้มั้งครับ” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่มั่นใจ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ห้องของเด็กผู้หญิงต้องมีอะไรบ้าง นี่ก็ตั้งใจจะมาเดินดูของเผื่อจะคิดอะไรออก


    หญิงสาวฟังแล้วขมวดคิ้ว จำได้ลางๆว่าเขาเคยเล่าว่าเด็กหญิงอายุแค่เจ็ดแปดขวบ ตัวแค่นั้นจะเอาโต๊ะเครื่องแป้ง เอาโซฟามาทำอะไรกัน ภูเบศวร์เห็นท่าทางสงสัยของอีกฝ่ายก็ยิ้มแห้งๆ บอกอย่างเขินๆ


    “คือผมก็ไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงเขาต้องใช้อะไรบ้าง ก็เลยว่าจะมาเดินดูก่อนนี่ล่ะครับ ถ้ามันโอเคผมก็อาจจะซื้อเลย”


    คนเคยเป็นเด็กผู้หญิงมาก่อนพยักหน้ารับ เมื่อเห็นท่าทางของผู้จัดการไร่หนุ่มแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าปล่อยให้จัดการเอง ห้องของเด็กคนนั้นคงจะลงเอยด้วยการมีแต่ของใช้ไม่จำเป็นแต่ผู้ใหญ่เห็นว่าสวยเป็นแน่


    “คุณเบสคะ อย่าหาไนท์ละลาบละล้วงเลยนะ ในห้องนั้นน่ะ มีอะไรบ้างคะ?”


“จริงๆแล้วห้องนั้นเป็นห้องว่างน่ะครับ ปกติผมก็เก็บของที่ไม่ค่อยได้ใช้ นี่ป้าลำดวนเพิ่งไปจัดการทำความสะอาดให้น่ะครับ”


“แล้วจะซื้อทั้งหมดนั่นที่นี่เนี่ยนะคะ?” หญิงสาวร้องท้วงก่อนจะยิ้มแหยๆ เกรงอีกฝ่ายจะเข้าใจว่ากำลังดูถูก แต่ดูเหมือนผู้จัดการไร่หนุ่มจะไม่ได้ตีความไปในทางนั้น


“ก็ถ้ามันไม่แพงเกินไปนักก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ”


คำตอบนั้นเรียกความแปลกใจให้ผู้ฟัง อินทุภาคาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะสามารถซื้อสินค้าราคาหลายหมื่นได้โดยไม่ต้องคิดมากมาย ภูเบศวร์ยิ้มกว้างให้กับท่าทางไม่อยากจะเชื่อของหญิงสาว


“ผมแทบไม่เคยมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับลูกเลย ผมรอที่จะได้อยู่กับลูกอย่างนี้มาหลายปี ในเมื่อโอกาสที่รอคอยมาถึงแล้ว ผมก็อยากจะทำให้ดีที่สุดน่ะครับ”


ความมุ่งมั่นในน้ำเสียงนั้นเรียกรอยยิ้มให้ผู้รับฟัง ผู้ชายคนนี้อาจจะพูดจาไม่ค่อยเข้าหูคนฟัง ท่าทางห่ามๆเหมือนไม่สนใจความรู้สึกใคร แต่ความรักลูกของเขานั้นชัดเจนเสียยิ่งกว่าสิ่งใด สำหรับคนที่มีพ่อก็เหมือนไม่มีอย่างหล่อน ความรู้สึกเต็มตื้นวาบเข้ามาในหัวใจ อินทุภายิ้มสดใสนัยน์ตาพราวระยับ


“คุณเบสเชื่อใจไนท์มั้ยคะ?”


“เรื่องอะไรล่ะครับ?” เขาถามยิ้มๆ แม้จะพอเดาได้ว่าหญิงสาวกำลังคิดจะทำอะไร


“เรื่องรสนิยมสิคะ” หล่อนตอบเสียงซุกซนเหมือนเด็กๆ “แต่ถึงไม่เชื่อ ตอนนี้ก็ต้องเชื่อแล้วค่ะ เรื่องห้องของนิกกี้ไม่ต้องห่วง คุณเบสเตรียมเงินไว้เถอะ รับรองว่าไนท์จะเนรมิตให้เหมือนห้องของเจ้าหญิงเลย”


ภูเบศวร์หัวเราะเสียงดังแทนคำตอบ ก่อนจะผายมือให้หญิงสาวที่เพิ่งตั้งตัวเองมัณฑนากรสดๆร้อนๆเป็นผู้นำ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่