The Capital by Water Library
The Capital by Water Library เป็นอีกหนึ่งร้านในเครือของWater Library ที่แตกไลน์ออกมาเพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ให้ตัวเอง ร้านนี้จะเน้นหนักไปทาง Steak ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมู เนื้อ กุ้ง ปลา ซึ่งทางเชพจะเป็นคนคัดสรรวัตถุดิบชั้นยอดมาคอยบริการแก่ลูกค้าของทางร้าน
ตัวร้านจะอยู่ที่ชั้น3ตึก Empire Tower ถนนสาทรใต้ตัดกับถนนนราธิวาสครับ ตัวร้านจะตกแต่งให้คล้ายกับธนาคารที่นิวยอร์ค โทนสีจะออกเข้ม ดำ ดูภูมิฐาน บางส่วนของร้านจะแต่งให้เหมือนเหมือนกับตู้เซฟของลูกค้าในธนาคาร และจะมีห้องรับรองสำหรับ10ที่ ทำประตูเป็นบานตู้เซฟยักษ์ วิวของห้องนี้จะเห็นทางเชื่อมBTSกับ BRT เป็นวิวที่คนมาถ่ายโฆษณาบ่อยที่สุดในประเทศอีกจุดนึงเลย
เริ่มต้นมื้อด้วยเชมเปญ Pierre Darcys Brut สดชื่นดีเหมือนพวกผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวนิด เป็นstarter ที่ดีครับ
มาต่อด้วย Ciabatta with hand churned butter (150บาท) เป็น Homemade Cranberry Butter ที่นี่จะผสมยูซึด้วย ทานกับขนมปังที่อบมาหอม กรอบนนอก นุ่มในดี ตัวเนื้อของCranberry Butter จริงๆทานกับ Scone ก็น่าจะอร่อยดีไม่น้อยครับ
Appetiser: จะมี Baby cos salad (330บาท) จริงๆก็เป็น Caesar Salad ทั่วไปที่จะใส่ไข่แดง Parmesan Cheese, Cheddar Cheese, Juice แต่ที่นี่จะใส่ anchovyเข้าไปด้วย คลุกเคล้าผสมๆกันก็เข้ากันดี ส่วน Baby cosที่นี่ก็จะเป็นOrganic ด้วยครับ
Prawn cocktail (380บาท)จริงๆจะเสิร์ฟกุ้งมา3ตัวotครับ เมนูนี้เป็นกุ้งอันดามันสะดุ้งให้พอสุก เนื้อแน่น กรอบดี ทานกับโฮมเมดมายองเนส
Beef carpaccio เป็นเนื้อสไลด์บางทานกับ Salsa หวานๆอมเปรี้ยว เห็นเมนูนี้แล้วนึกถึงยำเนื้อญี่ปุ่นเลยครับ
Main Course ที่นี่จะ Grilled บน Japanese Binchotan oak white charocoal และ Hickory Woodครับ เริ่มต้นด้วย Wagyu Porterhouse steak 750กรัม (3,300บาท) ในเมนูแนะนำให้ทาน2-4คนนะครับ เพราะหนาและใหญ่มากจริงๆ จะเป็นเนื้อวากิว ส่วนT-Boneจากออสเตรเลีย โดยเลือกคัทส่วนที่ใหญ่ที่สุด โดยฝ่ังด้านที่เป็นชิ้นเล็กจะเป็น Tenderliod และด้านใหญ่จะเป็น Strip Loid ซึ่งเป็นส่วนที่ออกกำลังน้อย ทำให้มีมันเยอะหน่อย ถือว่าส่วนนี้เป็นส่วนที่ได้ทั้งความนุ่มและJuicyมากๆ (ร้านSteakบางร้านที่เสิร์ฟ New York Strip ก็จะใช้ส่วนนี้) เนื้อทั้งสองส่วนนุ่มมมมมมากๆ ส่วนตัวจะชอบส่วนนี้มากกว่าสันในด้วยครับ เลยลองไปเยอะเลย
ทานกับเกลือที่ทางร้านเสริ์ฟมา3แบบ เป็น Sea Salt จากอังกฤษและอีกสองตัวจะเป็น Himalayan Salt Merlot smoked salt และอีกตัวนึงเป็น Mexican chilli smoked salt จะมีความเผ็ดเข้ามาแทรกด้วย เวลาทานก็จิ้มเกลือซักเล็กน้อย เพื่อชูความหวานของเนื้อได้ดีเลยครับ
Rack of lamb (ที่เสิร์ฟมาเป็น Half rack 800บาท ส่วน Full Rackจะ 1,600บาท) เป็นอีกหนึ่งเมนูโปรดปราณส่วนตัว ซี่โครงแกะของที่นี่นำเข้ามาจากออสเตรเลียเช่นเดียวกัน ไม่มีกลิ่นเลยแม้แต่น้อย หรือจริงๆอาจจะมีกลิ่นแต่เพราะผมชอบเลยไม่รู้สึกก็ได้ครับ ทานแบบไม่ต้องพึ่ง Mint Sause มาดับกลิ่นเลย ผมพยายามละเลียดอยู่หลายคำมากๆ ความรู้สึกผมไม่ต่างจากเนื้อวัวเลยครับ มันอาจจะดีหรือไม่ดีก็ไม่ทราบได้นะครับ เพราะผมไม่รู้สึกถึงกลิ่นเฉพาะตัวของเนื้อแกะเลย
Kurobuta pork chop 750g. สำหรับ2ที่ (1,950บาท) เมนูนี้มาจากปากช่องบ้านเราเองครับ ชิ้นหนาและใหญ่มากๆอีกเมนูนึงครับ หมูดำก็นุ่มมากๆอยู่แล้วด้วย ได้แค่เกลือกับพริกไทยหน่อยก็อร่อยแล้วครับ
Aqua pazza (1,350 บาท) เป็นปลากระพงขาวอบกับไวน์ขาว น้ำมันมะกอก มะเขือเทศ กระเทียมและเครื่องเทศอย่างอื่นอีก เนื้อขาว หวาน สดดีครับ ออกเปรี้ยวบางๆนิดหน่อย ทานแล้วรู้สึกเบาดีครับ
Veggie Burger (380บาท) เมนูสำหรับมังสวิรัติ ตัวแฮมเบิร์กของที่นี่จะใช้Black beans, Corn และ Quinoa ตัวคีนัวนี่ประโยชน์มหาศาลเลยครับ ทำได้ทั้งคาวหวานหลากหลายเมนูมากๆ น่าจะเป็นเมนูเพื่อสุขภาพได้อีกเมนูนึงนะครับ เสิร์ฟกับ Potato Wedgesและ Honey Mustard Yogurt Sause
The Braised Japanese Wagyu brisket with mushroom and carrot เนื้อตุ๋นเนื้อนุ่มๆ
Side Order ของที่นี่จะเสิร์ฟละ150บาท ผมลองตัว Water Library mashed potatoes กรองตาถี่ๆมาเนื้อเนียนละเอียดตามสไตล์ฝรั่งเศสดีครับ, Green asparagus with butter and parsley, Creamed corn with bacon and cheese, Sauteed field mushroom with shallots & parsley ใช้เห็ดหอมสดมาทำ อร่อยดีครับ
Dessert มีมาให้ลองสองตัวครับ เป็น Red velvet (290บาท) ที่นี่จะไม่ได้เป็นตัวเค้กครับ แต่เป็น Red Velvet Brownie รองฐานด้วย White Chocolate Ganache และมีYogurt Sorbet อยู่ตรงกลางและท้อปด้วย Cream Cheese Espuma อีกที จัดBrownie เข้าปากก่อนแล้วตามด้วยอย่างอื่น ให้เข้าไปผสมกันในปาก อร่อยดีครับ หวานๆมันๆเปรี้ยวๆ
อีกตัวเป็น Apple Tart(380บาท) อีกหนึ่งเมนูที่ห้ามพลาดเลยเมื่อมาที่นี่ครับ อบมาร้อนๆ กรอบนอกนุ่มใน ทานกับไอศครีมวนิลลาโฮมเมด อร่อยดีครับ
ปิดท้ายด้วย Complimentary Drink เป็น Bourbon infused rum เสิร์ฟ On The Rock ก้อนกลมๆ แรงใช้ได้เลยครับ ผมลองไปนิดหน่อยเอง พอให้รู้รสเองครับ เพราะแรงจริงๆ
ร้านเปิดให้บริการ11:30-23:00ครับ ส่วน Set Lunch จะเสิร์ฟเแพาะช่วง11:30-14:00 เท่านั้นครับ
ป.ล. ค่าที่จอดที่นี่ ชม.แรก50บาท ชม.ต่อไป100บาท ผมจอดรถไป4ชม.นิดๆ สแตมป์จากทางร้านจอดฟรีได้3ชม. เสียค่าจอดรถไป150บาท โหดมากๆ
ฝากติดตามรีวิวร้านอื่นๆของเราได้เพิ่มเติมอีกสองช่องทางนะครับ
1. ทางเฟส
http://www.facebook.com/LetsEatThailand และ
2. ทางBlog
http://www.LetsEatThailand.com ด้วยนะคร้าบบบบ ขอบคุณครับ ครับ
[SR] Let's Eat รีวิว: The Capital by Water Library ถูกใจตั้งแต่Appetizer ยาวเรื่อยไปจนจบด้วย Dessert
The Capital by Water Library เป็นอีกหนึ่งร้านในเครือของWater Library ที่แตกไลน์ออกมาเพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ให้ตัวเอง ร้านนี้จะเน้นหนักไปทาง Steak ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมู เนื้อ กุ้ง ปลา ซึ่งทางเชพจะเป็นคนคัดสรรวัตถุดิบชั้นยอดมาคอยบริการแก่ลูกค้าของทางร้าน
ตัวร้านจะอยู่ที่ชั้น3ตึก Empire Tower ถนนสาทรใต้ตัดกับถนนนราธิวาสครับ ตัวร้านจะตกแต่งให้คล้ายกับธนาคารที่นิวยอร์ค โทนสีจะออกเข้ม ดำ ดูภูมิฐาน บางส่วนของร้านจะแต่งให้เหมือนเหมือนกับตู้เซฟของลูกค้าในธนาคาร และจะมีห้องรับรองสำหรับ10ที่ ทำประตูเป็นบานตู้เซฟยักษ์ วิวของห้องนี้จะเห็นทางเชื่อมBTSกับ BRT เป็นวิวที่คนมาถ่ายโฆษณาบ่อยที่สุดในประเทศอีกจุดนึงเลย
เริ่มต้นมื้อด้วยเชมเปญ Pierre Darcys Brut สดชื่นดีเหมือนพวกผลไม้รสหวานอมเปรี้ยวนิด เป็นstarter ที่ดีครับ
มาต่อด้วย Ciabatta with hand churned butter (150บาท) เป็น Homemade Cranberry Butter ที่นี่จะผสมยูซึด้วย ทานกับขนมปังที่อบมาหอม กรอบนนอก นุ่มในดี ตัวเนื้อของCranberry Butter จริงๆทานกับ Scone ก็น่าจะอร่อยดีไม่น้อยครับ
Appetiser: จะมี Baby cos salad (330บาท) จริงๆก็เป็น Caesar Salad ทั่วไปที่จะใส่ไข่แดง Parmesan Cheese, Cheddar Cheese, Juice แต่ที่นี่จะใส่ anchovyเข้าไปด้วย คลุกเคล้าผสมๆกันก็เข้ากันดี ส่วน Baby cosที่นี่ก็จะเป็นOrganic ด้วยครับ
Prawn cocktail (380บาท)จริงๆจะเสิร์ฟกุ้งมา3ตัวotครับ เมนูนี้เป็นกุ้งอันดามันสะดุ้งให้พอสุก เนื้อแน่น กรอบดี ทานกับโฮมเมดมายองเนส
Beef carpaccio เป็นเนื้อสไลด์บางทานกับ Salsa หวานๆอมเปรี้ยว เห็นเมนูนี้แล้วนึกถึงยำเนื้อญี่ปุ่นเลยครับ
Main Course ที่นี่จะ Grilled บน Japanese Binchotan oak white charocoal และ Hickory Woodครับ เริ่มต้นด้วย Wagyu Porterhouse steak 750กรัม (3,300บาท) ในเมนูแนะนำให้ทาน2-4คนนะครับ เพราะหนาและใหญ่มากจริงๆ จะเป็นเนื้อวากิว ส่วนT-Boneจากออสเตรเลีย โดยเลือกคัทส่วนที่ใหญ่ที่สุด โดยฝ่ังด้านที่เป็นชิ้นเล็กจะเป็น Tenderliod และด้านใหญ่จะเป็น Strip Loid ซึ่งเป็นส่วนที่ออกกำลังน้อย ทำให้มีมันเยอะหน่อย ถือว่าส่วนนี้เป็นส่วนที่ได้ทั้งความนุ่มและJuicyมากๆ (ร้านSteakบางร้านที่เสิร์ฟ New York Strip ก็จะใช้ส่วนนี้) เนื้อทั้งสองส่วนนุ่มมมมมมากๆ ส่วนตัวจะชอบส่วนนี้มากกว่าสันในด้วยครับ เลยลองไปเยอะเลย
ทานกับเกลือที่ทางร้านเสริ์ฟมา3แบบ เป็น Sea Salt จากอังกฤษและอีกสองตัวจะเป็น Himalayan Salt Merlot smoked salt และอีกตัวนึงเป็น Mexican chilli smoked salt จะมีความเผ็ดเข้ามาแทรกด้วย เวลาทานก็จิ้มเกลือซักเล็กน้อย เพื่อชูความหวานของเนื้อได้ดีเลยครับ
Rack of lamb (ที่เสิร์ฟมาเป็น Half rack 800บาท ส่วน Full Rackจะ 1,600บาท) เป็นอีกหนึ่งเมนูโปรดปราณส่วนตัว ซี่โครงแกะของที่นี่นำเข้ามาจากออสเตรเลียเช่นเดียวกัน ไม่มีกลิ่นเลยแม้แต่น้อย หรือจริงๆอาจจะมีกลิ่นแต่เพราะผมชอบเลยไม่รู้สึกก็ได้ครับ ทานแบบไม่ต้องพึ่ง Mint Sause มาดับกลิ่นเลย ผมพยายามละเลียดอยู่หลายคำมากๆ ความรู้สึกผมไม่ต่างจากเนื้อวัวเลยครับ มันอาจจะดีหรือไม่ดีก็ไม่ทราบได้นะครับ เพราะผมไม่รู้สึกถึงกลิ่นเฉพาะตัวของเนื้อแกะเลย
Kurobuta pork chop 750g. สำหรับ2ที่ (1,950บาท) เมนูนี้มาจากปากช่องบ้านเราเองครับ ชิ้นหนาและใหญ่มากๆอีกเมนูนึงครับ หมูดำก็นุ่มมากๆอยู่แล้วด้วย ได้แค่เกลือกับพริกไทยหน่อยก็อร่อยแล้วครับ
Aqua pazza (1,350 บาท) เป็นปลากระพงขาวอบกับไวน์ขาว น้ำมันมะกอก มะเขือเทศ กระเทียมและเครื่องเทศอย่างอื่นอีก เนื้อขาว หวาน สดดีครับ ออกเปรี้ยวบางๆนิดหน่อย ทานแล้วรู้สึกเบาดีครับ
Veggie Burger (380บาท) เมนูสำหรับมังสวิรัติ ตัวแฮมเบิร์กของที่นี่จะใช้Black beans, Corn และ Quinoa ตัวคีนัวนี่ประโยชน์มหาศาลเลยครับ ทำได้ทั้งคาวหวานหลากหลายเมนูมากๆ น่าจะเป็นเมนูเพื่อสุขภาพได้อีกเมนูนึงนะครับ เสิร์ฟกับ Potato Wedgesและ Honey Mustard Yogurt Sause
The Braised Japanese Wagyu brisket with mushroom and carrot เนื้อตุ๋นเนื้อนุ่มๆ
Side Order ของที่นี่จะเสิร์ฟละ150บาท ผมลองตัว Water Library mashed potatoes กรองตาถี่ๆมาเนื้อเนียนละเอียดตามสไตล์ฝรั่งเศสดีครับ, Green asparagus with butter and parsley, Creamed corn with bacon and cheese, Sauteed field mushroom with shallots & parsley ใช้เห็ดหอมสดมาทำ อร่อยดีครับ
Dessert มีมาให้ลองสองตัวครับ เป็น Red velvet (290บาท) ที่นี่จะไม่ได้เป็นตัวเค้กครับ แต่เป็น Red Velvet Brownie รองฐานด้วย White Chocolate Ganache และมีYogurt Sorbet อยู่ตรงกลางและท้อปด้วย Cream Cheese Espuma อีกที จัดBrownie เข้าปากก่อนแล้วตามด้วยอย่างอื่น ให้เข้าไปผสมกันในปาก อร่อยดีครับ หวานๆมันๆเปรี้ยวๆ
อีกตัวเป็น Apple Tart(380บาท) อีกหนึ่งเมนูที่ห้ามพลาดเลยเมื่อมาที่นี่ครับ อบมาร้อนๆ กรอบนอกนุ่มใน ทานกับไอศครีมวนิลลาโฮมเมด อร่อยดีครับ
ปิดท้ายด้วย Complimentary Drink เป็น Bourbon infused rum เสิร์ฟ On The Rock ก้อนกลมๆ แรงใช้ได้เลยครับ ผมลองไปนิดหน่อยเอง พอให้รู้รสเองครับ เพราะแรงจริงๆ
ร้านเปิดให้บริการ11:30-23:00ครับ ส่วน Set Lunch จะเสิร์ฟเแพาะช่วง11:30-14:00 เท่านั้นครับ
ป.ล. ค่าที่จอดที่นี่ ชม.แรก50บาท ชม.ต่อไป100บาท ผมจอดรถไป4ชม.นิดๆ สแตมป์จากทางร้านจอดฟรีได้3ชม. เสียค่าจอดรถไป150บาท โหดมากๆ
ฝากติดตามรีวิวร้านอื่นๆของเราได้เพิ่มเติมอีกสองช่องทางนะครับ
1. ทางเฟส http://www.facebook.com/LetsEatThailand และ
2. ทางBlog http://www.LetsEatThailand.com ด้วยนะคร้าบบบบ ขอบคุณครับ ครับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น