รบกวนช่วยวิจารณ์บทนำหน่อยค่ะว่าน่าดึงดูดใจไหม พอดีเคยส่งสำนักพิมพ์แล้วไม่ผ่านเลยกลับมาแก้ใหม่ เป็นแนวโรมแมนติกแฟนตาซีค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ
My Futuristic Beloved สะดุดรักอันตรายนายปีศาจตัวดี
Prologue
เริ่มวันไหน จบวันนั้น
ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บในยามรัตติกาล กลุ่มก้อนไอน้ำสีดำบนท้องนภาเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วปิดทับแสงนวลของจันทราที่กำลังลอยเด่นให้มืดมิดไป สายลมเย็นเฉียบประสานเสียงร้องหวีดหวิว ต้นไม้ลู่เอนไปตามแรงลมเป็นเงาวูบวาบ ส่งผลให้นักเดินทางยามค่ำคืนต่างก็ต้องหนาวสะท้านไปถึงขั้วของหัวใจ
ภูเขาน้ำแข็งสูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว โอบล้อมด้วยสีเขียวขจีของหมู่พรรณไม้ทั่วทั้งผืนป่า ทว่าบัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวเพราะถูกกลบด้วยหิมะบริสุทธิ์ที่ตกโปรยปรายลงสู่ผืนดินอย่างผิดฤดู
เด็กสาวร่างสูงเจ้าของเรือนผมบ๊อบสั้นสีบลอนด์เงินวัยสิบเจ็ดปีหันไปมองด้านหลังเป็นระยะๆ เพื่อดูว่าบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนกายหมายจะเอาชีวิตพวกเธอนั้นตามมาหรือไม่ มือเรียวยังคงผลักหลังเพื่อนทั้งสองเป็นเชิงบอกว่าให้วิ่งต่อไปอย่าหยุด
คนแรกเป็นบุรุษร่างสูงผู้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ เจ้าของดวงหน้าที่หล่อติดจะสวยรับเข้ากับเรือนผมสีน้ำตาลประกายทองสไลด์สั้นระต้นคอขาว ต่อมาเป็นสตรีสาวตัวเล็กที่สุดในบรรดาพวกเธอ เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงประกายม่วงผูกเปียสองข้างดูหลุดรุ่ย สวมชุดนักเรียนที่เปรอะไปด้วยเขม่าควันและกระโปรงสีกรมท่าที่ขาดวิ่น
จะว่าไปแล้ว สภาพของทั้งสามในตอนนี้ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร เพราะชุดนักเรียนที่เคยขาวสะอาด บัดนี้กลับเต็มไปด้วยรอยเปื้อนย้อมสีเสื้อให้กลายเป็นสีเทา กางเกงของเด็กหนุ่มเองก็ขาดบริเวณหน้าขาจนเผยให้เห็นรอยแผลจากการต่อสู้ด้วยเวทมนตร์จนเห็นเลือดไหลซิบๆ ราวกับว่าพวกเขานั้นเพิ่งจะผ่านสมรภูมิรบมาหมาดๆ
“เร็วเข้าพวกเธอ ก่อนที่มันกำลังจะมา ฉันสัมผัสได้...” สาวผมบลอนด์เงินกระซิบเร่งทุกคน นัยน์ตาสีเทาฉายแววหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
คนถูกเร่งทั้งสองไม่ตอบอะไรแต่ยังคงวิ่งต่อไปราวกับไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย จุดมุ่งหมายของทั้งสามคือมหาวิหารน้ำแข็งที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดภูเขาอันไกลลิบ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวที่จะช่วยให้พวกเขามีชีวิตรอดได้
สถานที่หนึ่งเดียวที่มัน... หวาดกลัว
“ให้ตายเถอะเอลซ่า เราใช้เวทมนตร์หายตัวไปไม่ได้เรอะ!?” เด็กหนุ่มหันกลับมาบ่นเสียงดัง น้ำเสียงเจือไปด้วยอารมณ์คุกกรุ่นจนอีกฝ่ายแทบจะเอามือมาอุดปากเกือบไม่ทัน
“ใจเย็นสิ!” เจ้าของชื่อเอลซ่าพูดเสียงเบาแล้วปล่อยมือออกจากปากอีกฝ่าย นิ้วชี้เรียวทำท่าปาดคอราวกับต้องการจะย้ำเตือนให้รู้ว่า ‘ถ้าพูดดังมีหวังได้ตายยกแผงแน่’
“เขตเวทมนตร์ใช้ไม่ได้ในตำแหน่งนี้” เด็กสาวตัวเล็กที่สุดตอบแทน นัยน์ตาสีน้ำตาลทองหันกลับไปจ้องคนสูงกว่าอย่างจริงจัง “ในป่ามนตรามันอับสัญญาณนะมิคาเอล นายก็รู้”
มิคาเอลเบ้ปาก ขยี้เรือนผมสีน้ำตาลทองไปมาอย่างรำคาญใจ “ให้ตายเถอะ นึกว่าเครือข่ายสัญญาณจะกระจายทั่วถึงซะอีก ไม่ได้เรื่องเลยแฮะ”
“ไม่ตั้งใจเรียนวิชาภูมิศาสตร์ล่ะสิเจ้าชาย” เอลซ่ากอดอกแล้วพูดจิกอย่างไม่เกรงใจในฐานันดรศักด์ของคนตรงหน้าเลยสักนิด
“ใครจะสน” มิคาเอลยักไหล่ “คอยดูนะ ถ้าฉันพ้นจากเหตุการณ์บ้าๆ นี้ได้ ฉันจะจ้างพ่อมดที่เก่งที่สุดในควาเดเรียมาทำให้ตรงนี้มีสัญญาณ ชีวิตในป่าจะได้ง่ายขึ้น!”
สตรีทั้งสองกลั้นขำ ก่อนที่เอลซ่าจะจะชิงตัดบทก่อน “ลำพังแค่ศาสตราจารย์เลโกลัสยังทำได้แค่ตอนต้นของป่าเอ๊ง สงสัยนายคงต้องนอนแล้วฝันน่าจะง่ายกว่านะ”
“จำคำพูดฉันไว้นะ –”
“ชู่ว์” คนผมน้ำตาลประกายแดงส่งเสียงจุ๊ก่อนจะทำมือเป็นเชิงบอกให้คนทั้งสองที่กำลังเถียงกันอยู่นั้นลดระดับเสียงลง
“มีอะไรเหรอโรซาลิน” เจ้าชายหนุ่มหันมาถาม นัยน์ตาสีฟ้าหรี่เล็กลงอย่างสงสัย
“เงียบก่อน... ” เจ้าของชื่อโรซาลินตอบกลับเร็วๆ เรียวคิ้วสวยขมวดลงอย่างครุ่นคิด “ฉันได้ยินเหมือนเสียง... ”
สวบ สวบ สวบ!
ใครบางคนกำลังย่ำฝีเท้ามาทางนี้ พร้อมๆ กับสายลมที่พัดแรงขึ้นทุกขณะราวกับจะพัดพาร่างของเด็กทั้งสามให้ปลิวว่อนไปด้วย
“อะไรกันเนี่ย!?” มิคาเอลบ่นเสียงเครียด แหงนหน้ามองท้องฟ้า กลุ่มเมฆทะมึนเคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็ว
“หนีเร็ว!!” โรซาลินตะโกนสั่งเสียงดังเพราะรับรู้ได้ถึงสัญญาณของบางสิ่งที่กำลังมา บางสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งตอนที่พวกเขายังอยู่ใต้ร่มของโรงเรียนโฮลี่ลูซ
บางสิ่งที่มาพร้อมกับความมืดและเปี่ยมไปด้วยพลังอาฆาตอันรุนแรง บางสิ่งที่พร้อมเผาพลาญร่างกายให้สลายกลายเป็นจุณได้เพียงชั่วพริบตา
และบางสิ่งที่ว่านี้กำลังมา...
เปรี้ยง!
เพียงสิ้นความคิด สายฟ้าวาบวับพร้อมกับส่งเสียงคำรามลั่นก็บังเกิด เด็กทั้งสามสะดุ้งสุดตัวอย่างตกใจ ปรากฏร่างสูงของชายหนุ่มที่ไม่สามารถระบุวัยได้ ร่างทะมึนสวมผ้าคลุมสีดำสนิทราวกับยมทูตปลิวสไวล้อสายลม เรือนผมสีดำยาวตรงถึงกลางหลัง ปีกสีดำทมิฬขนาดใหญ่ที่กางออกกว้างนั้นเก็บซ่อนไว้ที่แผ่นหลัง
โรซาลินยืนตาค้างอย่างตกใจไม่แพ้เอลซ่า ทว่าเด็กหนุ่มข้างกายดันเป็นลมล้มพับไปแล้วนี่สิ และนั่นเลยทำให้เอลซ่าหัวเสียอย่างสุดขีด ปลายเท้าน้อยๆ ของเธอเตะเข้าให้ที่สีข้างของคนบนพื้นอย่างหงุดหงิด
“ฟื้นมานะโว้ย!” ตามด้วยเสียงตะโกนอย่างไม่ยอมแพ้ “บอกให้ตื่นไงไอ้เจ้าชายทุเรศ!” ก่อนที่เจ้าหล่อนเตะมิคาเอลอีกครั้ง จนคราวนี้คนเป็นลมถึงกับผุดลุกขึ้นแล้วต่อว่าเสียงดัง
“เธอนี่! มันเจ็บนะเฮ้ย” มิคาเอลโวยวาย นัยน์ตาสีฟ้าจะทอประกายระยับ “ไม่เคยได้ยินรึไงที่ว่าเจอหมีให้แกล้งตาย เจอคนร้ายให้แกล้งหลับ”
“สำนวนบ้าอะไรของนายเนี่ย!? เลิกเพ้อเจ้อแล้วลุกขึ้นมาได้แล้ว” สาวผมบลอนด์เงินพูดอย่างหงุดหงิดพลางกระชากคอเสื้อสีหม่นของคนเป็นเจ้าชายขึ้นมา
หมอกสีดำจางหายไปจนปรากฏร่างผู้มาใหม่ได้เด่นชัด นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลทองของโรซาลินถลึงราวกับไข่มังกร ริมฝีปากสีสวยอ้าค้างเป็นรูปตัวโออย่างตกตะลึง “นั่นมันปีศาจ... ”
เพียงแค่นั้นสองหนุ่มสาวก็หยุดทะเลาะกันแล้วหันไปยังเบื้องหน้า ก่อนจะพร้อมใจกันอุทานเสียงดังโดยมิได้นัดหมาย
วิจารณ์บทนำนิยายให้หน่อยค่ะ :: My Futuristic Beloved สะดุดรักอันตรายนายปีศาจตัวดี
เริ่มวันไหน จบวันนั้น
ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บในยามรัตติกาล กลุ่มก้อนไอน้ำสีดำบนท้องนภาเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วปิดทับแสงนวลของจันทราที่กำลังลอยเด่นให้มืดมิดไป สายลมเย็นเฉียบประสานเสียงร้องหวีดหวิว ต้นไม้ลู่เอนไปตามแรงลมเป็นเงาวูบวาบ ส่งผลให้นักเดินทางยามค่ำคืนต่างก็ต้องหนาวสะท้านไปถึงขั้วของหัวใจ
ภูเขาน้ำแข็งสูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยว โอบล้อมด้วยสีเขียวขจีของหมู่พรรณไม้ทั่วทั้งผืนป่า ทว่าบัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวเพราะถูกกลบด้วยหิมะบริสุทธิ์ที่ตกโปรยปรายลงสู่ผืนดินอย่างผิดฤดู
เด็กสาวร่างสูงเจ้าของเรือนผมบ๊อบสั้นสีบลอนด์เงินวัยสิบเจ็ดปีหันไปมองด้านหลังเป็นระยะๆ เพื่อดูว่าบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนกายหมายจะเอาชีวิตพวกเธอนั้นตามมาหรือไม่ มือเรียวยังคงผลักหลังเพื่อนทั้งสองเป็นเชิงบอกว่าให้วิ่งต่อไปอย่าหยุด
คนแรกเป็นบุรุษร่างสูงผู้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ เจ้าของดวงหน้าที่หล่อติดจะสวยรับเข้ากับเรือนผมสีน้ำตาลประกายทองสไลด์สั้นระต้นคอขาว ต่อมาเป็นสตรีสาวตัวเล็กที่สุดในบรรดาพวกเธอ เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงประกายม่วงผูกเปียสองข้างดูหลุดรุ่ย สวมชุดนักเรียนที่เปรอะไปด้วยเขม่าควันและกระโปรงสีกรมท่าที่ขาดวิ่น
จะว่าไปแล้ว สภาพของทั้งสามในตอนนี้ก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร เพราะชุดนักเรียนที่เคยขาวสะอาด บัดนี้กลับเต็มไปด้วยรอยเปื้อนย้อมสีเสื้อให้กลายเป็นสีเทา กางเกงของเด็กหนุ่มเองก็ขาดบริเวณหน้าขาจนเผยให้เห็นรอยแผลจากการต่อสู้ด้วยเวทมนตร์จนเห็นเลือดไหลซิบๆ ราวกับว่าพวกเขานั้นเพิ่งจะผ่านสมรภูมิรบมาหมาดๆ
“เร็วเข้าพวกเธอ ก่อนที่มันกำลังจะมา ฉันสัมผัสได้...” สาวผมบลอนด์เงินกระซิบเร่งทุกคน นัยน์ตาสีเทาฉายแววหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
คนถูกเร่งทั้งสองไม่ตอบอะไรแต่ยังคงวิ่งต่อไปราวกับไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย จุดมุ่งหมายของทั้งสามคือมหาวิหารน้ำแข็งที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดภูเขาอันไกลลิบ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวที่จะช่วยให้พวกเขามีชีวิตรอดได้
สถานที่หนึ่งเดียวที่มัน... หวาดกลัว
“ให้ตายเถอะเอลซ่า เราใช้เวทมนตร์หายตัวไปไม่ได้เรอะ!?” เด็กหนุ่มหันกลับมาบ่นเสียงดัง น้ำเสียงเจือไปด้วยอารมณ์คุกกรุ่นจนอีกฝ่ายแทบจะเอามือมาอุดปากเกือบไม่ทัน
“ใจเย็นสิ!” เจ้าของชื่อเอลซ่าพูดเสียงเบาแล้วปล่อยมือออกจากปากอีกฝ่าย นิ้วชี้เรียวทำท่าปาดคอราวกับต้องการจะย้ำเตือนให้รู้ว่า ‘ถ้าพูดดังมีหวังได้ตายยกแผงแน่’
“เขตเวทมนตร์ใช้ไม่ได้ในตำแหน่งนี้” เด็กสาวตัวเล็กที่สุดตอบแทน นัยน์ตาสีน้ำตาลทองหันกลับไปจ้องคนสูงกว่าอย่างจริงจัง “ในป่ามนตรามันอับสัญญาณนะมิคาเอล นายก็รู้”
มิคาเอลเบ้ปาก ขยี้เรือนผมสีน้ำตาลทองไปมาอย่างรำคาญใจ “ให้ตายเถอะ นึกว่าเครือข่ายสัญญาณจะกระจายทั่วถึงซะอีก ไม่ได้เรื่องเลยแฮะ”
“ไม่ตั้งใจเรียนวิชาภูมิศาสตร์ล่ะสิเจ้าชาย” เอลซ่ากอดอกแล้วพูดจิกอย่างไม่เกรงใจในฐานันดรศักด์ของคนตรงหน้าเลยสักนิด
“ใครจะสน” มิคาเอลยักไหล่ “คอยดูนะ ถ้าฉันพ้นจากเหตุการณ์บ้าๆ นี้ได้ ฉันจะจ้างพ่อมดที่เก่งที่สุดในควาเดเรียมาทำให้ตรงนี้มีสัญญาณ ชีวิตในป่าจะได้ง่ายขึ้น!”
สตรีทั้งสองกลั้นขำ ก่อนที่เอลซ่าจะจะชิงตัดบทก่อน “ลำพังแค่ศาสตราจารย์เลโกลัสยังทำได้แค่ตอนต้นของป่าเอ๊ง สงสัยนายคงต้องนอนแล้วฝันน่าจะง่ายกว่านะ”
“จำคำพูดฉันไว้นะ –”
“ชู่ว์” คนผมน้ำตาลประกายแดงส่งเสียงจุ๊ก่อนจะทำมือเป็นเชิงบอกให้คนทั้งสองที่กำลังเถียงกันอยู่นั้นลดระดับเสียงลง
“มีอะไรเหรอโรซาลิน” เจ้าชายหนุ่มหันมาถาม นัยน์ตาสีฟ้าหรี่เล็กลงอย่างสงสัย
“เงียบก่อน... ” เจ้าของชื่อโรซาลินตอบกลับเร็วๆ เรียวคิ้วสวยขมวดลงอย่างครุ่นคิด “ฉันได้ยินเหมือนเสียง... ”
สวบ สวบ สวบ!
ใครบางคนกำลังย่ำฝีเท้ามาทางนี้ พร้อมๆ กับสายลมที่พัดแรงขึ้นทุกขณะราวกับจะพัดพาร่างของเด็กทั้งสามให้ปลิวว่อนไปด้วย
“อะไรกันเนี่ย!?” มิคาเอลบ่นเสียงเครียด แหงนหน้ามองท้องฟ้า กลุ่มเมฆทะมึนเคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็ว
“หนีเร็ว!!” โรซาลินตะโกนสั่งเสียงดังเพราะรับรู้ได้ถึงสัญญาณของบางสิ่งที่กำลังมา บางสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งตอนที่พวกเขายังอยู่ใต้ร่มของโรงเรียนโฮลี่ลูซ
บางสิ่งที่มาพร้อมกับความมืดและเปี่ยมไปด้วยพลังอาฆาตอันรุนแรง บางสิ่งที่พร้อมเผาพลาญร่างกายให้สลายกลายเป็นจุณได้เพียงชั่วพริบตา
และบางสิ่งที่ว่านี้กำลังมา...
เปรี้ยง!
เพียงสิ้นความคิด สายฟ้าวาบวับพร้อมกับส่งเสียงคำรามลั่นก็บังเกิด เด็กทั้งสามสะดุ้งสุดตัวอย่างตกใจ ปรากฏร่างสูงของชายหนุ่มที่ไม่สามารถระบุวัยได้ ร่างทะมึนสวมผ้าคลุมสีดำสนิทราวกับยมทูตปลิวสไวล้อสายลม เรือนผมสีดำยาวตรงถึงกลางหลัง ปีกสีดำทมิฬขนาดใหญ่ที่กางออกกว้างนั้นเก็บซ่อนไว้ที่แผ่นหลัง
โรซาลินยืนตาค้างอย่างตกใจไม่แพ้เอลซ่า ทว่าเด็กหนุ่มข้างกายดันเป็นลมล้มพับไปแล้วนี่สิ และนั่นเลยทำให้เอลซ่าหัวเสียอย่างสุดขีด ปลายเท้าน้อยๆ ของเธอเตะเข้าให้ที่สีข้างของคนบนพื้นอย่างหงุดหงิด
“ฟื้นมานะโว้ย!” ตามด้วยเสียงตะโกนอย่างไม่ยอมแพ้ “บอกให้ตื่นไงไอ้เจ้าชายทุเรศ!” ก่อนที่เจ้าหล่อนเตะมิคาเอลอีกครั้ง จนคราวนี้คนเป็นลมถึงกับผุดลุกขึ้นแล้วต่อว่าเสียงดัง
“เธอนี่! มันเจ็บนะเฮ้ย” มิคาเอลโวยวาย นัยน์ตาสีฟ้าจะทอประกายระยับ “ไม่เคยได้ยินรึไงที่ว่าเจอหมีให้แกล้งตาย เจอคนร้ายให้แกล้งหลับ”
“สำนวนบ้าอะไรของนายเนี่ย!? เลิกเพ้อเจ้อแล้วลุกขึ้นมาได้แล้ว” สาวผมบลอนด์เงินพูดอย่างหงุดหงิดพลางกระชากคอเสื้อสีหม่นของคนเป็นเจ้าชายขึ้นมา
หมอกสีดำจางหายไปจนปรากฏร่างผู้มาใหม่ได้เด่นชัด นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลทองของโรซาลินถลึงราวกับไข่มังกร ริมฝีปากสีสวยอ้าค้างเป็นรูปตัวโออย่างตกตะลึง “นั่นมันปีศาจ... ”
เพียงแค่นั้นสองหนุ่มสาวก็หยุดทะเลาะกันแล้วหันไปยังเบื้องหน้า ก่อนจะพร้อมใจกันอุทานเสียงดังโดยมิได้นัดหมาย