เรื่องสั้น : ราตรีสีเขียวตะไคร่
แม้ราตรีนี้จะฉาบทาผืนฟ้าให้ดำสนิทดุจห้วงแห่งนิล หากแต่ประกายเรืองรองสุกใสของหมู่ดาวน้อยใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่เต็มผืน ก็คือสิ่งที่มาช่วยแต่งเติมชีวิตและชีวาในยามดึกมิให้วังเวงจนเกินไป
สองร่างหญิงชายเดินกุมมืออิงแอบกันมาตามถนนโรยกรวดที่ทอดยาวไปสู่ตัวบ้าน พุ่มแก้วทรงกลมริมสนามที่เต็มไปด้วยสีขาวของดอกบานส่งกลิ่นหวานซึ้งราวกับจะช่วยประโคมใจผู้ที่กำลังตกอยู่ในห้วงเสน่หา
หญิงสาวในวัยที่เปล่งประกายสาวอย่างถึงพร้อมและบริบูรณ์เช่นเธอผู้นี้สวมชุดกระโปรงสั้นรัดรึงเรือนกายแบบไร้แขน ปล่อยผมยาวดำขลับให้ระเล่นบนแผ่นหลัง อาการเอนอิงศีรษะแนบไหล่ฝ่ายชายก่อให้เกิดประกายที่เส้นผมยามเมื่อต้องแสงไฟจากทางเดิน
บุรุษในชุดลำลองที่แลสูงวัยกว่าฝ่ายหญิงเล็กน้อยกุมมือเธอไว้มั่นขณะก้าวเดินเคียงกัน เขาก้มมองเมื่อเธอเอนศีรษะแนบไหล่ คล้ายจะเอ่ยบางอย่างแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ก่อนที่จะถึงลานบ้าน เขาปล่อยมือเธอแล้วค่อยๆ เคลื่อนแขนไปโอบเอวเอาไว้แทน ไล้ปลายนิ้วไปตามรอยโค้งของสรีระนั้นอย่างเจตนา
ไม่มีถ้อยคำใด นอกจากรอยยิ้มที่มาจากทั้งริมฝีปากและนัยน์ตาของทั้งเธอและเขา ความสงัดที่เย้ายวนใจถูกรบกวนเพียงแค่เสียงรองเท้าที่กระทบพื้นของคนทั้งคู่
เขาตระกองร่างเธอเดินผ่านลานบ้านที่ตกแต่งด้วยศิลาแลง มีกระถางปูนใส่ไม้ประดับทรงพุ่มเรียงรายเป็นรูปครึ่งวงกลม เมื่อถึงประตูหน้าบ้านซึ่งเป็นไม้สองบานขนาดใหญ่และมีแสงนวลสลัวจากดวงไฟเล็กๆ ใจกลางโคมไม้ไผ่ทรงฝาชีที่เหนือประตู เขาเพียงแต่ผลักเบาๆ มันก็เผยออกง่ายดาย ราวกับอาการผายมือต้อนรับของเจ้าบ้าน
เธอคงปล่อยให้เขาพาเดินไปเช่นนั้นกระทั่งเข้าไปถึงภายในตัวบ้านที่เป็นส่วนผสมระหว่างปูนและเนื้อไม้ ผนังทาสีทึบ บางตอนประดับด้วยหินหลากรูปทรงและผิวสัมผัส แม้ว่าแต่ละก้าวของหญิงสาวจะระคนด้วยความรู้สึกที่น่าตื่นเต้นสำหรับการได้มาเยือนเคหาของเขาเป็นหนแรก แต่เธอก็เคลื่อนฝีเท้าตามเขาไปด้วยความเต็มใจ
เขาโอบเอวเธอกระชับขึ้นอีกเมื่อพาเดินขึ้นบันไดกลางห้องโถงที่ไม่มีราวจับ เธอพยายามจะนับมัน ทั้งที่ในห้วงนั้นราวกับว่าความรู้สึกต่างๆ ได้ถูกอัดแน่นและเอ่อท้นอยู่ภายใน และแล้วเธอก็ได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองเมื่อแตะปลายเท้าลงที่บันไดขั้นสุดท้าย...
ในแสงสลัวราง หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ เมื่อรู้สึกว่ามีไอเย็นเข้ามากระทบผิวเนื้อบริเวณหัวไหล่และลำคออันเปลือยเปล่า เพราะยามนี้บานหน้าต่างที่เป็นกระจกเลื่อนขนาดใหญ่ถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง แลเลยออกไป ก็คือสีดำสนิทของท้องฟ้าที่ยังมีจุดดาวสว่างกระจัดกระจายราวกับภาพเขียน
ครู่เดียว หญิงสาวก็เบือนหน้าจากหน้าต่างนั้น พลิกศีรษะไปทางด้านซ้ายและป่ายแขนออกไปหาคนที่นอนเคียงข้าง แต่สิ่งที่พบใต้ผืนผ้าห่มนุ่มๆ และที่นอนหนาอันน่าสบายนั้นกลับเป็นความว่างเปล่า
เธอชะงักไป ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่า ที่นี่คือบ้านของเขา แล้วหญิงสาวก็ค่อยยิ้มกับตัวเอง
ก็วันนี้ไม่ใช่หรือที่เธอรอคอย...
หลังจากที่ได้พบกันครั้งแรกโดยบังเอิญในงานสังคมแห่งหนึ่งที่โรงแรมชานกรุงเมื่อสามเดือนก่อน ค่ำคืนที่อวลไปด้วยเสียงดนตรีและเสียงพูดคุยของพิธีกรบนเวที ช่วงหนึ่งเธอเลี่ยงออกไปยืนมองภาพประดับผนังบริเวณทางเดินเชื่อมต่อห้องโถงใหญ่อย่างไม่รู้จะทำอะไรแทนการนั่งละเลียดอาหารและพูดคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะที่ไม่สนิทชิดเชื้อ แล้วจู่ๆ เขาก็ตรงเข้ามาเป็นคู่สนทนากับเธออย่างเปิดเผย
“ผมชอบผู้หญิงที่สวมชุดสีเขียวแบบนี้”
เขาพูดโดยไม่ยิ้ม แต่สบตาเธอตรงๆ พร้อมกับทอดไมตรีออกมากับแววตานั้นอย่างชัดเจน ผู้ชายร่างใหญ่ ผิวค่อนข้างขาว มีเคราบางๆ ปล่อยผมยาวกว่าทรงผมบุรุษทั่วไปเล็กน้อย วันนั้นเขาสวมเสื้อและกางเกงสีน้ำตาลเข้าชุด ขณะที่เธอสวมชุดกระโปรงสั้นเข้ารูปสีเขียวหม่นอวดต้นแขนกลมกลึง ซึ่งก็คือชุดที่เธอสวมมาที่นี่วันนี้นั่นเอง
“ขอบคุณค่ะ”
เธอคลี่ยิ้มเมื่อมองตอบแววตาคู่นั้น รู้สึกมาดมั่นในตนเองขึ้นมาทันใด และยังทันได้เห็นว่าเขาเหลือบดูต้นแขนข้างขวาของเธอซึ่งเป็นด้านที่ชิดกับเขาอย่างพึงใจ
(ต่อกรอบล่าง)
เรื่องสั้นวันพุธ (7 มีนาคม 2561) : ราตรีสีเขียวตะไคร่
แม้ราตรีนี้จะฉาบทาผืนฟ้าให้ดำสนิทดุจห้วงแห่งนิล หากแต่ประกายเรืองรองสุกใสของหมู่ดาวน้อยใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่เต็มผืน ก็คือสิ่งที่มาช่วยแต่งเติมชีวิตและชีวาในยามดึกมิให้วังเวงจนเกินไป
สองร่างหญิงชายเดินกุมมืออิงแอบกันมาตามถนนโรยกรวดที่ทอดยาวไปสู่ตัวบ้าน พุ่มแก้วทรงกลมริมสนามที่เต็มไปด้วยสีขาวของดอกบานส่งกลิ่นหวานซึ้งราวกับจะช่วยประโคมใจผู้ที่กำลังตกอยู่ในห้วงเสน่หา
หญิงสาวในวัยที่เปล่งประกายสาวอย่างถึงพร้อมและบริบูรณ์เช่นเธอผู้นี้สวมชุดกระโปรงสั้นรัดรึงเรือนกายแบบไร้แขน ปล่อยผมยาวดำขลับให้ระเล่นบนแผ่นหลัง อาการเอนอิงศีรษะแนบไหล่ฝ่ายชายก่อให้เกิดประกายที่เส้นผมยามเมื่อต้องแสงไฟจากทางเดิน
บุรุษในชุดลำลองที่แลสูงวัยกว่าฝ่ายหญิงเล็กน้อยกุมมือเธอไว้มั่นขณะก้าวเดินเคียงกัน เขาก้มมองเมื่อเธอเอนศีรษะแนบไหล่ คล้ายจะเอ่ยบางอย่างแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ก่อนที่จะถึงลานบ้าน เขาปล่อยมือเธอแล้วค่อยๆ เคลื่อนแขนไปโอบเอวเอาไว้แทน ไล้ปลายนิ้วไปตามรอยโค้งของสรีระนั้นอย่างเจตนา
ไม่มีถ้อยคำใด นอกจากรอยยิ้มที่มาจากทั้งริมฝีปากและนัยน์ตาของทั้งเธอและเขา ความสงัดที่เย้ายวนใจถูกรบกวนเพียงแค่เสียงรองเท้าที่กระทบพื้นของคนทั้งคู่
เขาตระกองร่างเธอเดินผ่านลานบ้านที่ตกแต่งด้วยศิลาแลง มีกระถางปูนใส่ไม้ประดับทรงพุ่มเรียงรายเป็นรูปครึ่งวงกลม เมื่อถึงประตูหน้าบ้านซึ่งเป็นไม้สองบานขนาดใหญ่และมีแสงนวลสลัวจากดวงไฟเล็กๆ ใจกลางโคมไม้ไผ่ทรงฝาชีที่เหนือประตู เขาเพียงแต่ผลักเบาๆ มันก็เผยออกง่ายดาย ราวกับอาการผายมือต้อนรับของเจ้าบ้าน
เธอคงปล่อยให้เขาพาเดินไปเช่นนั้นกระทั่งเข้าไปถึงภายในตัวบ้านที่เป็นส่วนผสมระหว่างปูนและเนื้อไม้ ผนังทาสีทึบ บางตอนประดับด้วยหินหลากรูปทรงและผิวสัมผัส แม้ว่าแต่ละก้าวของหญิงสาวจะระคนด้วยความรู้สึกที่น่าตื่นเต้นสำหรับการได้มาเยือนเคหาของเขาเป็นหนแรก แต่เธอก็เคลื่อนฝีเท้าตามเขาไปด้วยความเต็มใจ
เขาโอบเอวเธอกระชับขึ้นอีกเมื่อพาเดินขึ้นบันไดกลางห้องโถงที่ไม่มีราวจับ เธอพยายามจะนับมัน ทั้งที่ในห้วงนั้นราวกับว่าความรู้สึกต่างๆ ได้ถูกอัดแน่นและเอ่อท้นอยู่ภายใน และแล้วเธอก็ได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองเมื่อแตะปลายเท้าลงที่บันไดขั้นสุดท้าย...
ในแสงสลัวราง หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ เมื่อรู้สึกว่ามีไอเย็นเข้ามากระทบผิวเนื้อบริเวณหัวไหล่และลำคออันเปลือยเปล่า เพราะยามนี้บานหน้าต่างที่เป็นกระจกเลื่อนขนาดใหญ่ถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง แลเลยออกไป ก็คือสีดำสนิทของท้องฟ้าที่ยังมีจุดดาวสว่างกระจัดกระจายราวกับภาพเขียน
ครู่เดียว หญิงสาวก็เบือนหน้าจากหน้าต่างนั้น พลิกศีรษะไปทางด้านซ้ายและป่ายแขนออกไปหาคนที่นอนเคียงข้าง แต่สิ่งที่พบใต้ผืนผ้าห่มนุ่มๆ และที่นอนหนาอันน่าสบายนั้นกลับเป็นความว่างเปล่า
เธอชะงักไป ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ว่า ที่นี่คือบ้านของเขา แล้วหญิงสาวก็ค่อยยิ้มกับตัวเอง
ก็วันนี้ไม่ใช่หรือที่เธอรอคอย...
หลังจากที่ได้พบกันครั้งแรกโดยบังเอิญในงานสังคมแห่งหนึ่งที่โรงแรมชานกรุงเมื่อสามเดือนก่อน ค่ำคืนที่อวลไปด้วยเสียงดนตรีและเสียงพูดคุยของพิธีกรบนเวที ช่วงหนึ่งเธอเลี่ยงออกไปยืนมองภาพประดับผนังบริเวณทางเดินเชื่อมต่อห้องโถงใหญ่อย่างไม่รู้จะทำอะไรแทนการนั่งละเลียดอาหารและพูดคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะที่ไม่สนิทชิดเชื้อ แล้วจู่ๆ เขาก็ตรงเข้ามาเป็นคู่สนทนากับเธออย่างเปิดเผย
“ผมชอบผู้หญิงที่สวมชุดสีเขียวแบบนี้”
เขาพูดโดยไม่ยิ้ม แต่สบตาเธอตรงๆ พร้อมกับทอดไมตรีออกมากับแววตานั้นอย่างชัดเจน ผู้ชายร่างใหญ่ ผิวค่อนข้างขาว มีเคราบางๆ ปล่อยผมยาวกว่าทรงผมบุรุษทั่วไปเล็กน้อย วันนั้นเขาสวมเสื้อและกางเกงสีน้ำตาลเข้าชุด ขณะที่เธอสวมชุดกระโปรงสั้นเข้ารูปสีเขียวหม่นอวดต้นแขนกลมกลึง ซึ่งก็คือชุดที่เธอสวมมาที่นี่วันนี้นั่นเอง
“ขอบคุณค่ะ”
เธอคลี่ยิ้มเมื่อมองตอบแววตาคู่นั้น รู้สึกมาดมั่นในตนเองขึ้นมาทันใด และยังทันได้เห็นว่าเขาเหลือบดูต้นแขนข้างขวาของเธอซึ่งเป็นด้านที่ชิดกับเขาอย่างพึงใจ
(ต่อกรอบล่าง)