นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 17-20

นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ บทนำ http://ppantip.com/topic/32975045
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/32977360
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 2-3 http://ppantip.com/topic/32991479
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 4-5 http://ppantip.com/topic/33031690
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 6 http://ppantip.com/topic/33043753
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 7-10 http://ppantip.com/topic/33099993
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 11-13 http://ppantip.com/topic/33167398
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 14-16 http://ppantip.com/topic/33167398

-------------------------------------------------------------

ขออภัยอย่างยิ่งที่ไม่ได้มาอัพที่พันทิปเสียนาน ผู้เขียนมีเหตุการณ์ต้องดูแลผู้ป่วยตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 58 เป็นต้นมา จนวันนี้ก็ยังต้องดูแลกันอยู่

ขอขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่ยังติดตามและรอคอยกันค่ะ และขอขอบพระคุณทุกคะแนนโหวต ทุกคะแนนถูกใจที่มอบให้นวนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ

รัก...
อ้อย/สุชาคริยา

ปล. ถ้าต้องการอ่านฉบับทันใจ สามารถติดตามได้ที่เว็บเด็กดีก่อนนะคะ ลิงก์นี้จ้า http://writer.dek-d.com/onlinenano/story/view.php?id=488592  แต่ท่านอาจปวดหัวสักเล็กน้อยกับเนื้อหาที่อาจกระโดด ไม่ต่อเนื่อง เจอคำผิดมาก กว่าที่เคยอ่านผ่านเว็บพันทิป เว็บเลิฟ หรือเว็บห้องสมุด เพราะผู้เขียนอัพไว้เป็นระยะกันนักอ่านลงแดงกันค่ะ แต่ถ้ารอฉบับที่ได้รับการแก้ไขบ้างแล้ว ก็จะมีสามเว็บตามที่ว่ามานี้เจ้าข้า (มาช้าบ้าง แต่ก็ได้คุณภาพกว่านั่นแล จุ๊บๆ)

-------------------------------------------------------------


ตอนที่ 17

          การเดินทางรอนแรมมาถึงวันที่สาม บุญรักษานั่งอยู่ในกระโจมหลังใหญ่สุดของค่ายพัก เป็นกระโจมของปัทมราชครู ลักษณะกระโจมหรือการตั้งค่ายเป็นเช่นเดียวกับครั้งแรกที่เธอถูกจับตัวมา ก่อนถูกส่งลงไปอยู่ในหลุมหลักเมืองเมื่อครั้งนั้น

            วันนี้เธอเพิ่งสัมผัสได้ถึงความเป็นอิสระ เจ้าชีวิตไม่อยู่ เขาไปทำธุระตั้งแต่เช้า จะว่าแสงแรกโผล่พ้นขอบฟ้าและหายตัวไปเลยก็คงใช่ ปัทมราชครูไม่บอกว่าไปไหน บอกแค่ว่าจะกลับมาในเวลาเดียวกันของวันพรุ่งนี้ ซึ่งเท่ากับเขาจะหายตัวไปหนึ่งวันเต็ม

            เธอไม่เข้าใจว่าการถือพรหมจรรย์ของปัทมราชครูมีเพื่ออะไร เขาไม่เข้าใกล้หรือเฉียดกรายให้โดนเนื้อตัวตั้งแต่วันที่โภไคยมาพบยังเรือน คือเมื่อรับสำรับเช้า ราชครูก็แยกตัวออกไป การอาบน้ำไม่ได้ขัดถูเนื้อตัวของเขา หรือเธอมีหน้าที่เตรียมน้ำให้อาบ ข้าวของเครื่องใช้ สำรับอาหารน้ำดื่ม ที่หลับนอนเธอล้วนดูแลไม่ขาดตกบกพร่อง เวลานอนเธอก็เหมาเสื่อผื่นหมอนใบเฝ้าข้างเตียงของเขา ดูแลเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงตอนเช้ามืดก่อนเขาจะจากไป

            นับว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อยที่เขาไม่เข้าใกล้หรือหาเรื่องแตะเนื้อต้องตัวเธอเหมือนทุกครั้ง อยากให้เขาทำแบบนี้ตลอดไป ค่อยโล่งอกและหายใจคล่องขึ้นมาหน่อย

            เธอคอยสังเกต ปัทมราชครูจะนั่งสมาธิเพื่อทำภารกิจบางอย่าง เธอไม่รู้ว่าเขาทำอะไร รู้แต่ว่ากำลังตามหาเฒ่าทับทิม และการมาถึงชายแดนของตักศิลานครก็เพื่อเหตุนี้

            “ส่งสำรับเจ้าข้า” นั่นคือเสียงของหัวหน้าผู้ดูแลสำรับ ซึ่งมาทำหน้าที่แทนคนเก่า

            บุญรักษาเดินออกไป การห่มสไบ นุ่งจีบหน้านาง เธอทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ใช่ว่าจะสวยงามอะไรนัก ส่วนเนื้อผ้านั้นเป็นผ้าพื้น ไม่แตกต่างจากผู้คนทั่วไป ไม่อาจรู้ได้ว่าราชครูนำมาจากไหน รู้แค่เขายื่นให้ เธอก็รับและใส่เช่นนั้น ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนซักด้วยมือ

            หญิงสาวเกี่ยวผ้าหน้ากระโจมไปไว้ทางหนึ่ง ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างคุ้นคุ้ย หลีกทางให้เขานำสำรับเข้าไป เปิดผ้าค้างไว้ ยืนรออยู่ตรงนี้เพื่อป้องกันคำครหา

            “วันนี้ส่งสำรับด้วยตนเองนะเจ้าข้า” เธอทักทาย สายตามองไปนอกกระโจม ไม่มีใครเดินผ่านแถวนี้เลยสักคนหนึ่ง ดูเงียบเหงาวังเวงพิกล แตกต่างจากทุกวันที่ต้องมีเดินตรวจยามสักเล็กน้อยให้รู้ว่าขยันขันแข็ง

            บุญรักษาหันกลับมา จึงเห็นว่าอีกฝ่ายค้อมตัว มาอยู่ตรงหน้าของเธอแล้ว

            “สำรับนี้ จัดเสร็จสิ้นแล้วเจ้าข้า” เขาพูดเหมือนเดิมทุกครั้ง และเดินจากไป

            เธอมองตาม วันนี้มาแปลก ปกติต้องมีบ่าวถือสำรับมาให้ แต่คราวนี้มาส่งด้วยตัวเองโดยไม่มีลูกน้อง ปกติเขาจะทำหน้าที่แค่เดินนำ คอยตรวจความเรียบร้อยอย่างที่เคยเห็น ส่วนวันนี้ไม่มีใครเดินตาม อีกทั้งยังดูระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ยิ้มแย้มเหมือนตอนราชครูอยู่ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะไม่ต้องเกรงใจรายนั้นก็เป็นได้ แต่ไม่เป็นไร เธอแค่ได้คุยลอยลมสักนิดสักหน่อยก็พอหายเหงา เพราะนอกจากปัทมราชครู่ คนที่พอจะพูดคุยและรู้จักในโลกแห่งนี้ก็มีหัวหน้าฝ่ายสงสำรับคนเดียวที่เธอคุยด้วยบ่อยที่สุด

            ว่าแต่... เธอจะหาทางหนีไปได้อย่างไรกันนะ

            คิดแล้วก็กลุ้มใจอยู่คนเดียว บุญรักษาปล่อยผ้าหน้ากระโจมลง หันหลังกลับมา ครุ่นคิดเงียบๆ โดยยังไม่เดินไปไหน

            “ทุกวันขึ้นแปดค่ำ ขึ้นสิบห้าค่ำ แลวันแรมแปดค่ำ แรมสิบห้าค่ำ ปัทมราชครูจักสะสางภาระบางอย่าง มิได้อยู่เรือนพำนัก เป็นเช่นนี้แต่นานมา แม่หญิงโปรดระวังตัวไว้ให้จงหนักเมื่อท่านราชครูมิได้อยู่คุ้มภัย”

            บุญรักษาหมุนตัวกลับ เลิกผ้าหน้ากระโจมขึ้นรวดเร็ว “ท่านโภไคย” เอ่ยดั่งละเมอเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนพูด

            อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงปากประตูกระโจมนี้ เธอรีบมองซ้ายมองขวา ระมัดระวังกิริยาไม่ให้เสียหายนัก แต่อย่างไรก็ต้องมองโดยรอบไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย

            “หาได้มีผู้ใด” เขาตอบโดยเธอไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ

            หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “ขอบพระคุณยิ่งนัก ที่บอกความนี้แก่ข้าพเจ้าเจ้าข้า” ถอยหลังเตรียมกลับเข้าไป

            “แม่หญิงจักสนทนากับข้าพเจ้าเพียงครู่ ได้ฤๅไม่เจ้าข้า” คำพูดประโยคนี้ทำให้ชะงัก ดูเหมือนว่าเขาจะให้เกียรติเธอไม่น้อย

            บุญรักษายิ้มตอบ “หากเป็นคุณ หรือเป็นประโยชน์แก่ท่านโภไคย มิได้มีภัยใดต่อตัวท่าน ตัวข้าพเจ้า หรือท่านราชครู ข้าพเจ้าย่อมยินดียิ่งเจ้าข้า”

            เธอส่งนัยไปกับถ้อยคำนี้ว่าหากการสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้นเธอไม่ได้เดือดร้อน ก็ไม่มีปัญหาอะไร

            โภไคยก้มหน้าที่มีรอยยิ้มเล็กน้อยลงครั้งหนึ่งพองาม “ล้วนมีคุณ มิได้มีโทษดอกเจ้าข้า” เขาผายมือไปยังทิศหนึ่ง “เชิญแม่หญิง”

            คนถูกเชิญละล้าละลังเล็กน้อย ‘ราชครูก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ออกไปไหนนี่นา คงไม่เป็นไรกระมัง’ คิดเช่นนั้นก็เดินตามออกไป

            ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากที่เห็นคือจุดหมายที่โภไคยเลือก เขานั่งตรงรากไม้ช่วงหนึ่ง เธอยิ้มให้ หาที่นั่งห่างจากอีกฝ่ายพอประมาณ หันหน้าเข้าหาเขา เห็นรากไม้แบบนี้แล้วอดคิดถึงวันนั้นที่ถูกจับตัวมาไม่ได้ หากไม่สะดุดรากไม้จนล้ม ตอนนี้เธอจะมีสภาพอย่างไรกันนะ ช่างน่าคิดไม่น้อยทีเดียว และโชคดีมากที่ไม่สะดุดผิดตำแหน่งจนหน้าคว่ำเลือดโชกเพราะมองอะไรไม่เห็น

            เธอยิ้มให้โภไคย เมื่ออีกฝ่ายยังเงียบไม่ยอมเอ่ย

            “แม่หญิงคงติดตามท่านราชครู แลรับใช้ใกล้ชิดมานานแล้ว จึ่งสามารถปรนนิบัติเยี่ยงนี้ โดยท่านราชครูมิได้ระแวงภัยใด”

            ถึงจะสงสัยว่าปกติปัทมราชครูอยู่คนเดียวหรอกหรือ แต่สีหน้าแววตาที่แสดงออกยังคงยิ้มน้อยๆ ให้โภไคยเช่นเดิมไม่เปลี่ยน เธอต้องไม่แสดงพิรุธใดแม้ได้ยินคำพูดของเขาที่สะดุดหู

            “เหตุนี้... ท่านโภไคยควรเรียนถามท่านราชครูดอกเจ้าข้า” ตอบไปอย่างผู้มีกิริยางาม ส่วนความหมายของคำพูดนี้บ่งบอกว่าทุกอย่างอยู่ที่ดุลพินิจของปัทมราชครูทั้งสิ้น ว่าเขาจะให้คำตอบไหน ส่วนเธอเป็นผู้ใต้ปกครอง ย่อมไม่ควรเอ่ยอะไรเกินขอบเขตของตนเอง ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีนัก

            อีกทั้งเธอไม่ควรหาเรื่องด้วยการบอกรายละเอียดใดๆ ออกไปเมื่อยังไม่รู้อะไรแน่ชัดกับสภาพในตอนนี้ เวลาก็ล่วงมาหลายวัน จนป่านนี้เธอยังไม่ได้เห็นสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม หรือความเป็นอยู่ มากไปกว่าสิ่งที่ได้เห็นมา

            “แม้นใบหน้ามิได้เฉิดฉันท์ แต่วาจาแลน้ำเสียงนั้นเป็นเอกยิ่งนัก สมแล้วที่ท่านราชครูจักเรียกใช้ปรนนิบัติใกล้ชิด”

            เธอเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์ถากถางกลายๆ “ข้าพเจ้าเป็นเพียงใบไม้ที่ตกในลำธาร กระแสน้ำพัดไปทางใดย่อมเป็นไปเช่นนั้นดอกเจ้าข้า” หวังว่าเขาจะเข้าใจความหมาย

            เธอใช้คำพูดนี้เพราะต้องการบรรเทาอารมณ์ของเขาที่ดูเหมือนจะ-กัน เพราะถ้าหากโภไคยฉลาดพอ เขาย่อมรู้ว่าชะตากรรมของเธอนั้นไม่ได้เป็นผู้ลิขิตเอง อีกทั้งจากสิ่งที่เห็น คนใกล้ตัวปัทมราชครูล้วนเก็บงำกิริยา ไม่มีใครแสดงอาการหรือคำพูดมากเกินไป ล้วนอยู่ในระเบียบเคร่งครัดโดยราชครูไม่ต้องมาพูดย้ำ และเธอก็มีชะตากรรมไมต่างจากคนอื่น นั่นรวมถึงว่าเธอจะอยู่หรือตาย ย่อมขึ้นกับความเมตตาของปัทมราชครูต่างหาก และนั่นไม่แตกต่างจากประโยคคำพูดที่เอ่ยออกไปสักนิด

            “เช่นนั้น... ข้าพเจ้าคงเป็นดั่งขอนไม้จมนิ่งใต้บึงใหญ่ ถูกโคลนตมจอกแหนพันรั้งทับถมไว้ ช่างไร้แสงแห่งชีวา”

            นี่เขาจะเล่นเกมลับสมองหรืออย่างไร เพราะคำพูดที่เขาเอ่ยย่อมแปลความหมายว่าเขามีโชคชะตาเลวร้ายยิ่งกว่าเธอ เพราะเขานั้นจมอยู่ใต้น้ำ แต่เธอยังลอยอยู่ มีโอกาสรอดมากกว่าเขา จึงเอ่ย...

            “ชนเหล่าใดย่อมมีเหตุให้เป็นไป ดั่งผลไม้ยากจักมีต้นเป็นปุยเมฆมิใช่ฤๅเจ้าข้า” ความหมายของคำพูดประโยคนี้คือบอกเขาว่าใครจะเป็นอย่างไรย่อมมีต้นเหตุของเรื่องนั้นทั้งสิ้น สิ่งที่เขากำลังเป็นหรือรู้สึกก็เช่นกัน ย่อมมีเหตุแห่งผลที่เกิด ส่วนเธอก็ไม่แตกต่าง เพียงแต่ในส่วนของเธอนั้นยังไม่รู้ว่าต้นเหตุคืออะไร ถึงได้เกิดผลที่พิลึกมากถึงเพียงนี้

            โภไคยยิ้มกว้างแบบไม่เห็นฟัน สีหน้าแววตาของเขานั้นดูฉลาดเฉลียวรู้ทันเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อเขายิ้มกว้าง จึงเห็นว่าเขามีเขี้ยวมหาเสน่ห์เสียด้วยแน่ะ ทำให้หล่อเหลาขึ้นมาเป็นพะเรอเกวียนเชียว

            เขาว่า... “ข้าพเจ้าทุกข์ด้วยว่ามิรู้ทุกข์ของตนเริ่มจากที่ใด ใจรุ่มร้อนถวิลหานางในฝัน ทว่าเมื่อลืมตากลับลืมเลือน ครั้นเห็นแววตาแม่หญิงวันนั้นตรงประตูเรือนท่านราชครู ส่วนลึกจึงรู้สึกสงสัย ว่าเหตุใดจึ่งคุ้นตา ด้วยเหตุว่าความจริงเรามิเคยพบกัน”

            เขาเข้าเรื่องที่ต้องการจะถามแล้ว บุญรักษายิ้มให้ ในใจสงสารโภไคยไม่น้อย แต่ก็ต้องเอ่ยว่า “ท่านคงเป็นผู้เจ็บไข้ แต่มิอาจรู้ว่าตนนั้นโดนพิษใด จึ่งยากแก้ไขกระนั้นฤๅเจ้าข้า” พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงให้ความเป็นมิตรไปบ้าง เผื่อเขาจะได้บรรเทาความทุกข์อันไม่รู้ที่มานี้

            ชายหนุ่มยิ้มเศร้า เขาส่ายหน้าช้าๆ “ข้าพเจ้าย่อมรู้เหตุแห่งตนเป็นแน่แท้ เพียงแต่ส่วนลึกช่างประหลาดล้ำ ใคร่มองหาผู้ปลดทุกข์นี้เป็นที่ยิ่ง แต่กลับมิทราบได้ว่าต้นเหตุนั้นคือผู้ใด เพียงเห็นแม่หญิง...ก็ดั่งว่ามีทุกข์ในใจมิแตกต่าง จึ่งใคร่เจรจา ด้วยหวังว่าคงพบมิตรผู้ตกยาก มิได้โดดเดี่ยวเกินไปนักเจ้าข้า”

            ไม่สงสารก็ต้องสงสารโภไคยละคราวนี้ เพราะเธอเองที่ไม่รู้สาเหตุว่ามาอยู่ที่โลกแห่งนี่ได้อย่างไร ยังอยากกลับบ้าน อยากพ้นสภาพที่กำลังเป็นก็ยังทำไม่ได้ และทรมานนัก ส่วนโภไคยนั้นกลับไม่รู้อะไรเลยว่าตนเองกำลังเป็นอะไร เจอกับอะไร จึงทำให้สงสารเขาเมื่อเธอรู้ดีว่าต้นเหตุของทุกข์ครั้งนี้มาจากใคร ครั้นจะให้พูดความจริงก็คงหาเรื่องเข้าตัว จึงได้แต่เอ่ยเพียง...
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่