นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 11-13

นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ บทนำ http://ppantip.com/topic/32975045
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ บทที่ 1 http://ppantip.com/topic/32977360
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 2-3 http://ppantip.com/topic/32991479
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 4-5 http://ppantip.com/topic/33031690
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 6 http://ppantip.com/topic/33043753
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 7-10 http://ppantip.com/topic/33099993


-------------------------------------------------------------



ตอนที่ 11


            เขาอมยิ้ม กอดอก บ่งบอกทางสีหน้าแววตาว่ามีอะไรจะบอกอีก ให้รีบบอกมา

            บุญรักษาจึงเอ่ย “ข้าพเจ้ามีเรื่องใคร่ถาม ท่านราชครูจะอนุญาต...ให้ข้าพเจ้าถามได้หรือไม่เจ้าข้า”

            “ว่ามาเถิด”

            เธอยิ้มให้เขาเล็กน้อย แต่ก็ปนมาด้วยความหวาดกลัวแต่พองามเช่นกัน “ก่อนนี้ข้าพเจ้ามิอาจเปล่งเสียง”

            “ด้วยต้องมนตร์เฒ่าทับทิม”

            บุญรักษาตาโต “ท่านราชครูทราบหรือเจ้าข้า” พูดทั้งที่จำได้ว่าเขารู้แน่นอน แต่ก็แสดงให้แนบเนียนนิดหนึ่งและยกย่องเขาเป็นนัย จะได้ขอคะแนนความเมตตาจากเขาไปในตัว ไม่หาเรื่องฆ่าเธออีกรอบ

            ราชครูเอียงหน้าเล็กน้อยเป็นการยอมรับโดยไม่เอ่ย

            เธอจึงยิ้มให้ว่าเข้าใจแล้ว “อีกทั้งข้าพเจ้ามิสันทัดภาษาพูดของดินแดนนี้ จึงขอเรียนถามท่านราชครู ว่าท่านเป็นผู้ร่ายมนตร์ให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจ และสามารถเอ่ยถ้อยภาษาเช่นที่เป็นอยู่...ใช่หรือไม่เจ้าข้า”

            ราชครูหลับตาช้าๆ เป็นการยอมรับเช่นกัน “มิดีดอกรึ” และค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง ยิ้มของเขางามจนทำให้ใจสั่น ตาพร่ามัว

            ทว่าบุญรักษากลับคิดถึงแต่ท่านราช เป็นห่วงมากเสียจนรอยยิ้มของคนตรงหน้าไม่อาจทำอันตรายแก่หัวใจของเธอได้สักนิด

            “น้ำเสียงแม่หญิงเป็นเอกยิ่ง...รู้รึไม่”

            เธอส่ายหน้า แต่ก็เป็นแค่การส่ายนัยน์ตาก่อนจะหรุบลงมองพื้นกระท่อม “มิทราบได้เจ้าข้า” และตอบเสียงแผ่ว

            ทว่าก็แอบสงสัย อีกฝ่ายรู้เรื่องเนื้อทิพย์ของเธอหรือไม่ แต่จากคำพูดย่อมมีความหมายเพียงว่าเขาอาจไม่ต่างจากโภไคยเสียแล้ว เพราะน้ำคำ...น้ำเสียงของเขาดูอ่อนโยน มีเมตตาต่อเธอไม่น้อย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น คงเป็นประโยชน์ต่อเธอมากกว่า แต่นั่นก็ยากจะคาดเดาถึงผลลัพธ์หลังจากนี้อยู่ดี ว่าเขาจะจัดการกับเธออย่างไร ดังนั้นการที่อีกฝ่ายรู้หรือไม่รู้เรื่องเนื้อทิพย์ของเธอจึงแทบไม่มีผล ฉะนั้นจงหาทางเอาตัวรอดในตอนนี้ให้ได้ก่อนเถอะ

            ส่วนเรื่องที่เขาถาม...

            “น้ำเสียงของข้าพเจ้าย่อมเป็นเช่นนี้มาแต่กำเนิด มิได้เป็นเอกแต่อย่างใดดอกเจ้าข้าท่านราชครู” พูดเหมือนพูดธรรมดา แต่ให้รู้ว่าเกรงอำนาจฐานะของเขา แต่ก็ไม่ตระหนก ไม่หวาดกลัวเกินเหตุ มีเพียงความอ่อนน้อมเข้าใจในสถานการณ์เท่านั้น

            “แม่หญิงมีสิ่งใดจักถามข้าพเจ้าฤๅไม่”

            บุญรักษาเหลือบมองเขานิดหนึ่ง ในหัวความคิดกำลังตีกัน เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังคิดเช่นไร จึงเอ่ยด้วยกิริยานอบน้อม...

            “ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความกตัญญูรู้คุณ ไม่งามนักจักเอ่ยถาม แต่หากปล่อยค้างคาใจ ย่อมมีแต่จะล่วงเกินท่านราชครู ข้าพเจ้ามีเรื่องร้องขอ ขอท่านราชครูโปรดเมตตา บอกแก่ข้าพเจ้าได้หรือไม่ ว่าผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้านั้น บัดนี้เป็นเยี่ยงไรเจ้าข้า”

            เขาหัวเราะในลำคอ ยิ้มเล็กน้อย “แม่หญิงเอ่ยดังว่าคาดเดามิได้เทียวฤๅ... ว่าเจ้าคนอุกอาจนี้ ย่อมหลีกหนีได้สำเร็จเป็นแน่แท้ จับได้ก็เพียงผ้าคลุม ข้าพเจ้าจึงติดตามเสาะหา เป็นเหตุให้พบแม่หญิงโดยมิได้คาดหมาย คำตอบนี้...เป็นที่พอใจฤๅไม่”

            เธอว่า... “ข้าพเจ้ายากจะเอ่ยว่าพอใจหรือไม่พอใจดอกเจ้าข้าท่านราชครู ชนเหล่าใดย่อมพึงระลึกถึงผู้มีพระคุณแห่งตนทั้งสิ้นเมื่อได้รับความช่วยเหลือ ครั้นรู้ว่าผู้มีคุณพบภัย จึงสมควรไต่ถาม แม้ดูมิงามนัก แต่ควรเจรจาโดยตรง ข้าพเจ้ากล่าวถามท่านราชครูก็ด้วยใจสัตย์ซื่อ มิได้คิดคดหาข่าวลับหลัง ด้วยมิใคร่ให้มีเหตุระแวงสงสัย หรือต่อไปมีเหตุให้ต้องตายอีกครา ข้าพเจ้าย่อมสบายใจแล้ว เหตุที่ถามท่าน ย่อมมีเพียงเท่านี้เจ้าข้า”

            หญิงสาวโล่งใจที่ได้รับคำยืนยันว่าท่านราชปลอดภัย ส่วนอีกใจก็เตือนตนเองว่าอย่าแสดงกิริยาผิดปกติให้อีกฝ่ายจับได้จนเป็นภัยแก่ตนเช่นกัน

            ราชครูมองบุญรักษาอย่างพิจารณาไม่มองไปทางอื่น และนั่นจึงกลายเป็นการสบตาเมื่อหญิงสาวเหลือบตาขึ้นมองอย่างไม่ได้ตั้งใจ

            “แม่หญิง... มิใช่ผู้คนในดินแดนนี้”

            “แววตาข้าพเจ้า โกหกท่านหรือไม่เจ้าข้า” เธอมองตอบ ไม่หลบหนี

            ราชครูยิ้มเล็กน้อยตรงมุมปาก เขาเชยคางของเธอขึ้น นี่คือสิ่งที่ไม่คาดคิด แน่นอนว่าบุญรักษาไม่ขัดขืน

            เธอมองเขา นัยน์ตาสีเทาอมฟ้าคู่นั้นจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเธอ

            หัวแม่มือของเขาลูบแก้มบุญรักษาแผ่วเบา เสียงทุ้มนั้นเหมือนครวญแผ่วบ่งบอกว่าพอใจในสิ่งที่ได้ยินและได้เห็นอย่างยิ่ง ทว่าเขากลับขมวดคิ้วเหมือนว่าต้องตัดสินใจบางอย่างด้วยความหนักใจเช่นกัน

            ขนคิ้วของเขาเรียงเส้นเป็นระเบียบงามนัก จนเมื่อรวมกันกับสีหน้าที่ปรากฏ ยิ่งส่งเสริมให้หล่อเหลามากมาย ชวนมองอย่างน่าพิศวง แม้ดูเย่อหยิ่งแต่ก็เย้ายวน แววตามีความสงสัยแต่ก็แฝงมาด้วยความฉลาดรู้ทัน ความหนักใจนั้นเมื่อประกอบกับสีหน้ายิ่งบ่งบอกว่าราชครูเป็นคนเด็ดขาด เด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจ เป็นประเภทกล้าได้กล้าเสีย ซึ่งนั่นทำให้บุญรักษาเกร็งยิ่งกว่าเดิม เหมือนกลั้นหายใจ ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายเผยยิ้มออกมาอีกครั้ง เป็นยิ้มที่ไม่เห็นฟัน

            เขาค่อยๆ หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าช้าๆ ด้วยสีหน้าเป็นสุข คล้ายกำลังเสพกลิ่นบางอย่างที่ให้พลังชีวิตแก่เขาและชื่นชอบยิ่งนัก

            บุญรักษาได้แต่มองด้วยใจระทึก

            “แม่หญิงควรทราบ ว่าข้าพเจ้านั้นมีฐานะใด”

            เขาค่อยๆ ลืมตา ปล่อยมือออกจากคางของเธอ ขยับห่างออกไปเล็กน้อย มือทั้งสองประสานไว้บนตัก นั่งหลังตรง ความหยิ่งทะนงมีอยู่เต็มเปี่ยม

            เขาเอ่ย “ฐานะที่หนึ่งของข้าพเจ้านั้น คือสามีเอกแห่งนางในตำนาน...นางอมรรตัย ผู้คนมากหลายรู้ฐานะนี้ของข้าพเจ้า คำเตือนแรก คือแม่หญิงอย่าได้กล่าวถึงฐานะนี้พร่ำเพรื่อ ฤๅกล่าวถึงฐานะนี้ของข้าพเจ้ากับผู้ใด”

            “ข้าพเจ้าจักเก็บคำพูด ระมัดระวังน้ำคำอย่างยิ่งเจ้าข้า ท่านราชครู” บุญรักษาตอบในทันทีเมื่อเขาหยุดดังว่าจะรอ

            เธอพอเดาได้ว่าในโลกนี้เขาคงเป็นที่รู้จัก หรือมีคนรู้จักว่าอีกฐานะหนึ่งของราชครูคืออะไร คำเตือนที่มอบให้ย่อมมีนัยไม่น้อย เพราะนอกจากนางในตำนานนั่นอาจมาหักคอเธอในวันใดวันหนึ่งที่รู้เรื่อง ที่น่ากลัวไม่ยิ่งหย่อนคือศัตรูของเขา คงไม่ดีหากเปิดเผยว่ารู้จักกับคนระดับ ‘สามีเอก’ ของนางในตำนาน การพูดถึงเขาและเอ่ยถึงตำแหน่งที่ว่านั้นย่อมเป็นภัย เผื่อว่าจะมีโอกาสรอดชีวิตหลังจากนี้และราชครูไม่ฆ่าเธอเสียก่อน แน่นอนว่าเธอควรอยู่เงียบๆ ให้มากที่สุด เพราะให้ตายเธอก็ไม่พูดหรอกเมื่อรู้ว่าเป็นอันตราย

            “สอง... ข้าพเจ้านั้นเป็นราชครูแห่งตักศิลานคร ฐานันดรนี้ย่อมมีผู้หมายโค่นล้ม”

            “เจ้าข้า” บุญรักษาน้อมรับ “ท่านราชครูเมตตาข้าพเจ้า บอกเล่าถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้าย่อมมิควรเลินเล่อ ให้เป็นภัยแก่ท่านราชครู ฤๅตนเองเจ้าข้า” เธอตอบไป สังเกตว่าเมื่อไรที่คิดถึงคำว่า ‘ค่ะ’ ปากนั้นจะเอ่ยออกมาเป็นว่า ‘เจ้าข้า’ ทันทีเช่นกัน คำนี้คงมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ‘คะ-ค่ะ’ ในภาษาไทยไม่ผิดไป

            “ยินดียิ่ง...ที่แม่หญิงว่าง่ายนัก” เขายิ้มให้มากกว่าเดิม และเอ่ยต่อ “ธรรมเนียมปฏิบัติของข้าพเจ้า ฤๅชายผู้เป็นสามีแห่งนางอมรรตัย คือคนผู้ใดอยู่ใต้ปกครองของผู้ดำรงฐานะเช่นข้าพเจ้า คนใต้ปกครองเหล่านั้นจงอย่าได้เอ่ยถึงฐานะสามีเอกนี้ ห้ามอย่างยิ่งคือ ‘นามอมรรตัย’ อย่าได้กล่าวออกมาเป็นอันขาด แม่หญิงพึงระลึกข้อสำคัญนี้ไว้เป็นแม่นมั่น นับจากนี้ข้าพเจ้าจักอุปการะแม่หญิงมิให้อดสู...มิให้อดอยาก ข้อแลกเปลี่ยนเดียวของข้าพเจ้าคือความซื่อสัตย์ แม่หญิงจักให้ได้รึไม่”

            บุญรักษากัดฟันแต่ก็ยังยิ้มขอบคุณ แววตาซาบซึ้ง “ยินดีเป็นแน่แท้เจ้าข้า” ขืนตอบว่าให้ไม่ได้ก็จบเห่ละสิ ทั้งที่ความจริงตอนนี้คือใจสั่นสุดๆ แผ่นหลังร้อนวาบๆ น้ำตาแทบไหล แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดยังสั่งให้พูดออกไปด้วยรอยยิ้มที่ระลึกบุญคุณของเขา นอบน้อมเหมือนที่เคยเป็น โดยเฉพาะ...

            “เป็นบุญของข้าพเจ้ายิ่งนัก ที่ท่านราชครูเมตตา แต่ข้าพเจ้านั้นอ่อนด้อยกฎเกณฑ์ ข้อห้ามใดมิเคยรับรู้ จึงกลัวว่าอาจล่วงเกิน เช่นนี้” พูดค้างไว้ บอกเป็นนัยให้รู้ว่าเธอเต็มใจไปกับเขาอย่างแน่แท้ แต่คนไม่เป็นงานอย่างไรก็อาจมีพลาดพลั้ง ซึ่งนั่น... เขาหรือคนของเขาอย่าได้ลงโทษเธอให้ถึงตายเลย

            ราชครูว่า “กฎใด ธรรมเนียมใด ข้าพเจ้าจักสอนสั่งแม่หญิงด้วยตนเอง มิให้ด่างพร้อย แม้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น จักสอบสวนทวนความอย่างแน่ชัด มิลงโทษใดแก่แม่หญิงหากมิรู้แจ้ง เช่นนี้...แม่หญิงจักเบาใจรึไม่”

            “ขอบพระคุณยิ่งนักเจ้าข้า” ยิ้ม แต่ก็เหมือนจะยิ้มไม่ออก บุญรักษาใช้ความคิดอย่างหนักว่าควรถามหรือไม่ กับคำถามหนึ่งที่ติดอยู่ตรงปาก

            “แม่หญิงมีสิ่งใดจักถาม จงว่ามาเถิด”

            เธอมองเขาตรงๆ ดีใจที่อีกฝ่ายยังให้พูด “ข้าพเจ้าจะถูก ... หักคอหรือไม่เจ้าข้า” เว้นชื่อนางอมรรตัยเอาไว้ พูดอย่างนอบน้อมรู้ฐานะตนเอง หวังใจว่าเขาจะรับรู้ว่าเธอได้ทราบแล้ว ว่าหลังจากนี้เธอจะเป็นใคร และต้องปรับตัวอย่างไร

            เขาส่ายหน้าเล็กน้อย บอกด้วยท่าทางว่าอย่ากังวล ก่อนจะยิ้มกว้างกว่าเดิมนิดหนึ่ง แต่ก็เป็นยิ้มที่ไม่เห็นฟันอยู่ดี สีหน้าท่าทางของเขาแสดงความเอ็นดูมากกว่าจะไม่ชอบใจ ทำให้บุญรักษาพอโล่งอก

            “แม่หญิงยังมิทราบธรรมเนียมปฏิบัติของข้าพเจ้า แม้นเป็นสามีเอก แต่ข้าพเจ้าย่อมบำรุงสตรีใด ฤๅหมายตาหญิงใดไว้ใช้ในงานตนได้ดอก ขอเพียงสตรีเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าเลือกเฟ้นรู้ฐานะตน เชื่อฟังคำสั่งของข้าพเจ้า ระมัดระวังการดำรงอยู่ในเรือนพักของข้าพเจ้า หญิงผู้นั้นนั่นย่อมปลอดภัย ส่วนตัวข้าพเจ้าจักดูแลแม่นายใหญ่เยี่ยงไร นั่นย่อมมีความหมายเดียวคือบำเรออย่างเต็มความสามารถ กิจใดที่ข้าพเจ้าได้รับต้องมิบกพร่อง เพียงเท่านี้...หากข้าพเจ้าปรารถนาสิ่งใด ย่อมเป็นสิทธิ์ของข้าพเจ้าโดยแท้”

            หญิงสาวยิ้มให้อย่างอ่อนน้อม บอกด้วยกิริยาว่าเข้าใจ ทว่าความคิดนะหรือ... นางในตำนานนี่ใจกว้างสุดๆ ไปเลย น่าจะหวงสามีเยอะๆ จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับชาวบ้านเขา แต่ปากก็เอ่ย...

            “ท่านราชครูเมตตาข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ นับเป็นบุญของข้าพเจ้ายิ่งนักเจ้าข้า” พูดก็อยากจะแหวะตัวเองไป ช่างไร้ศักดิ์ศรีเสียจริง หน้าไม่อาย

            แต่ไม่เป็นไรหรอก เธอไม่มีศักดิ์ศรีอะไรค้ำคออยู่แล้ว ขอแค่รอดตาย มีข้าวกิน มีลมหายใจ วันหน้ายังหาทางรอดและเป็นไทแก่ตนเอง ก็นับว่าอนาคตสดใสยังรออยู่ ตอนนี้อย่าท่ามาก ยอมได้ยอมไปก่อน ส่วนปัญหาอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากัน คนอย่างราชครูถ้าคิดจะทำอะไรก็คงหาทางออกเผื่อเธอไว้อยู่แล้ว อย่าไปคิดแทนเขา เธอจึงยิ้มขอบคุณให้อีกครั้ง

            ราชครูพยักหน้ารับเล็กน้อยเป็นความหมายว่ายินดีในคำตอบนี้ แววตาที่เห็นบ่งบอกว่าเขาชอบที่ไม่ต้องพูดอะไรมากมาย ชอบคนเข้าใจง่าย พูดง่าย และเอ่ย...

            “ถ้าหากข้าพเจ้าได้พบผู้ช่วยเหลือแม่หญิงเร็วไว จักให้คลายมนตร์กำบังดวงจิตของแม่หญิงมิเนิ่นช้า ข้าพเจ้าใคร่ทราบความเป็นมาของแม่หญิง หากเจ้าคนอุกอาจคลายมนตร์ ข้าพเจ้าจักเว้นชีวิตมัน”

            บุญรักษาหลับตาลงนิดหนึ่งเป็นการบอกรับรู้ ทว่าในใจนะหรือ... ใครเชื่อก็บ้าแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่